คนสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างหน้าอีกคนอยู่ข้างหลัง เดินกันไปเป็นระยะเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงเขตเมืองเฟิงอาน
หลี่ซิวฉายนำไข่เป็ดส่งคืนให้แก่หลินหลัน “ช่วยเจ้าถือแค่นี้ก็แล้วกัน”
หลินหลันยิ้มกว้าง “ขอบใจเจ้ามากนะ!”
หลี่ซิวฉายเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า “อีกประเดี๋ยวตลาดก็คงจะวายแล้ว”
จากการร่วมทางในครั้งนี้มุมมองของหลินหลันที่มีต่อหลี่ซิ่วฉายเปลี่ยนไปมาก ประการแรกคือหลี่ซิวฉายไม่ได้อ่อนแออย่างที่นางคิด ไข่เป็ดหนึ่งตะกร้าจะว่าไปแล้วอย่างน้อยๆ น้ำหนักคงอยู่ที่สิบถึงสิบห้าจินเขาหิ้วมาตลอดทางโดยไม่สลับเปลี่ยนมือเลยซักครั้ง แถมท่าทีอย่างกับเดินเล่นอยู่ในสวน ประการที่สองคือหลี่ซิ่วฉายยังคำนึงถึงว่านางจะทันขายไข่เป็ดหมดหรือไม่ ไม่เหมือนกับท่าทีเมินเฉยเย็นชาที่เขาแสดงออกมาเช่นนั้น
“ไม่เป็นไร ข้ามีวิธี” หลินหลันฉีกยิ้ม เรื่องขี้กระจิ๋วแค่นี้นางจัดการได้อยู่แล้ว
หลี่ซิวฉายพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก และเดินตรงเข้าเมืองนำไปก่อน
หลินหลันถือตะกร้าไข่เป็ดมายังร้านขายยาฮู๋จี้
ร้ายขายยาฮู๋จี้มีชื่อเสียงยิ่งนักในเขตเฟิงอาน แม้ว่าจะไม่ใช่ร้านที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึงร้อยปี แต่ทว่าร้านขายยาฮู๋จี้ของท่านหมอฮู๋ผู้มีความเมตตาก็เป็นที่รักของเหล่าชาวบ้านชาวเมืองยิ่งนัก คนที่ร่ำรวยขอให้เขาไปทำการรักษา เขาจะคิดค่ารักษาพยาบาล หากเป็นคนยากคนจนขอให้เขาทำการรักษา เขาจะคิดเพียงค่ายาเท่านั้น ถ้าหากคนยากจนไม่สามารถจ่ายค่ายาได้ เขาก็ไม่เคยลังเลใจ ที่จะไม่คิดแม้กระทั่งค่ายารักษา หมอท่านอื่นไม่เพียงแต่เรียกเก็บค่าเล่าเรียน อีกทั้งยังต้องเซ็นสัญญาสิบปีเพื่อช่วยเขาทำงานสิบปีโดยไม่ได้รับค่าแรง อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่มีใจรักเรียนท่านหมอฮู๋ไม่คิดค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนและยังสอนอย่างเต็มที่รวมไปถึงมีคำแนะนำดีๆ มอบให้เสมอ เขาเคยเอ่ยไว้ว่า บนโลกนี้หากมีผู้สามารถช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บได้เพิ่มขึ้นมาอีกคน ก็จะยิ่งสามารถลดความทุกข์ไปได้อีกส่วน นี่นับเป็นการกระทำความดีช่วยเหลือผู้อื่น แล้วใยถึงไม่ลงมือกระทำกันเล่า? ช่างเป็นแนวคิดที่ซื่อตรงและเรียบง่าย และช่างให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ แล้วจะไม่ให้ผู้คนพากันเคารพนับถือและชื่นชมกันได้อย่างไร
แน่นอนว่า การทำเรื่องดีๆ ก็ต้องมีการเสียสละ การเสียสละที่ว่าก็คือแม้ว่าร้านขายยาฮู๋จี้จะเจริญรุ่งเรือง แต่ทว่าที่ติดค้างไว้ก็จำนวนมาก ดังนั้นแม้ท่านหมอฮู๋จะเปิดร้านขายยามาหลายปี ทว่าไม่เพียงแต่ไม่ทำเงินแต่กลับขาดทุนด้วยซ้ำไป หากไม่ใช่เพราะชาวไร่ที่ปลูกพืชสมุนไพรในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตากรุณาของท่านหมอฮู๋ พวกเขาจึงยินดีนำสมุนไพรมาขายให้แก่ท่านหมอฮู๋ในราคาที่ต่ำ ไม่เช่นนั้นฮู๋จี้ก็คงต้องปิดกิจการไปนานแล้ว
หลินหลันเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นแม้จะได้รับเงินเพียงเล็กน้อย ก็อยากจะขายสมุนไพรให้แก่ฮู๋จี้ ถือเสียว่าเป็นการจ่ายค่าเล่าเรียนให้แก่ท่านหมอฮู๋
“ศิษย์น้องเหม่ยเหม่ยมาแล้ว!” หวังต้าไห่ผู้เป็นศิษย์พี่รองซึ่งรับผิดชอบในการจัดลำดับผู้เข้ารับการรักษาเห็นหลินหลันมาถึงแล้ว ก็ยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจพลางเดินเข้ามาทักทาย
“ศิษย์พี่รอง ท่านอาจารย์ล่ะ?” หลินหลันนำไข่เป็ดวางลงบนด้านหน้าโต๊ะยา แล้วปลดตะกร้าไม้ไผ่ลง
“ท่านอาจารย์ออกไปให้การรักษา ส่วนศิษย์พี่ใหญ่นั่งอยู่ในห้องโถงน่ะ!” หวังต้าไห่รับเอาตะกร้าไม้ไผ่ไว้และมองเห็นอย่างรวดเร็วแล้วก็เอ่ยขึ้น “ฮา ครั้งนี้เก็บดอกเหมยมาไม่น้อยเชียว! ในร้านที่กำลังขาดแคลนอยู่ก็เจ้านี่ล่ะ!”
“ก็รู้ไงว่าในร้านขาดแคลน ข้าก็เลยตั้งใจเก็บมา ในแถบของพวกเราดอกเหมยมีน้อยเกินไป ข้าเลยต้องลงแรงไปไม่น้อยเชียว” หลินหลันม้วนแขนเสื้อขึ้น “ข้าไปช่วยศิษย์พี่ใหญ่ก่อนล่ะ”
หวังต้าไห่รีบเอ่ยขึ้นทันควัน “ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ ศิษย์น้องเหม่ยไปกินข้าวกินปลาก่อนเถิด ข้าให้พ่อครัวเก็บอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว”
หลินหลันยิ้มระรื่นทำหน้าตาทะเล้น เอ่ยเยินยอ “ศิษย์พี่รองช่างดีเหลือเกิน”
ขณะที่กำลังเอ่ยพูดอยู่นั้น ก็เห็นท่านหมอฮู๋เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
ด้านหลังตามมาด้วยศิษย์พี่ห้าที่แบกกล่องยาเอาไว้ กำลังก้มหน้าก้มตา มีท่าทีเหมือนกับทุกข์ใจเจ็บแค้นเคืองโกรธ
หลินหลันและหวังต้าไห่ต่างมองหน้ากัน คงไม่ใช่ว่าวันนี้ท่านอาจารย์พบโรคประหลาดที่รักษายากเข้าให้แล้ว?
“ท่านอาจารย์…” หลินหลันและหวังต้าไห่เอ่ยเรียกพลางแสดงความเคารพ
ท่านหมอฮู๋พยักหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจออกมาหนึ่งทีแล้วเดินเข้าไปในห้องโถง
หวังต้าไห่เรียกศิษย์น้องห้าโม่จื่อโหยว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านอาจารย์เป็นอะไรไปหรือ”
โม่จื่อโหยวนำกล่องยาวางลง แล้วเอ่ยด้วยอารมณ์ขับแค้นใจ “ที่ว่าคนชั่วจะต้องได้รับผลกรรม ไร้สาระสิ้นดี ข้าเห็นแต่คนทำเรื่องเลวร้ายต่างพากันอายุยืนนั่นสิถึงเป็นความจริง”
“ศิษย์พี่ห้า ช่วยพูดเข้าประเด็นหน่อย” หลินหลันเอ่ยขัดจังหวะ
โม่จื่อโหยวกวักมือเรียกสองคนนั้น บ่งบอกให้พวกเขายื่นหูเข้ามาใกล้ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตระกูลจางต้าฮู่มีคนตายอีกแล้ว”
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือก “ทำร้ายแม่นางบ้านไหนเข้าอีกแล้วงั้นหรือ”
“เป็นลูกสาวของผู้เช่าที่นาครอบครัวจาง เพราะติดค้างเงินตระกูลจางต้าฮู่ จางต้าฮู่ก็เลยนำตัวลูกสาวของผู้นั้นลากไปเพื่อปลดหนี้ แม่นางผู้นั้นด้วยเป็นคนที่นิสัยทะนงในตนเองผู้หนึ่ง และเมื่อรู้สึกเหลืออดและจนหนทาง เช้าวันนี้ก็เลยกลืนทองลงไปเพื่อฆ่าตัวตาย…” โม่จื่อโหยวยื่นลิ้นออกมา เกลือกตาขึ้นให้ดวงตาเห็นสีขาวโพลน ทำสีหน้าเหมือนทุกอย่างได้จบสิ้นลง
“ทันทีที่ข้าและท่านอาจารย์ไปถึง แม่นางผู้นั้นก็เอ่ยพูดออกมาไม่ได้แล้ว มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่หยุด เฮ้อ! ท่านอาจารย์ตั้งใจอย่างมากที่จะช่วยชีวิตนาง ทว่าพยายามแค่ไหนก็ยื้อชีวิตเอาไว้ไม่ได้”
หลินหลันได้ฟังก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก “ไม่มีใครจะจัดการเลยหรือ รังแกทั้งผู้ชายและผู้หญิงเช่นนี้ กระทำสิ่งเลวร้ายมากมาย ยังจะไม่มีใครสนใจอีก?”
หวังต้าไห่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “มีเงินเสียอย่างจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แล้วยิ่งไปกว่านั้นเป็นบรรดาข้าราชที่เห็นเงินทีก็ตาลุกวาวกันถ้วนหน้า”
โม่จื่อโหยวส่ายหัวพลางถอนหายใจ และโบกมือ “ข้าว่าท่านอาจารย์คงจะอารมณ์ไม่ดีไปซักพัก พวกเราก็ระวังๆ หน่อยเถอะ!”
ท่านอาจารย์อารมณ์ไม่ดี หลินหลันที่มีคำถามอยากจะขอคำชี้แนะเห็นทีว่าคงไม่สะดวกเสียแล้ว หลังกินข้าวเสร็จจึงได้ไปช่วยงานที่ห้องยาอยู่ซักพัก หลังจากนั้นหลินหลันก็เอ่ยลาขอตัวกลับ แล้วหยิบไข่เป็ดไปยังตระกูลเยี่ยในเขตเฟิงอาน
ในแง่ของอำนาจความร่ำรวย ตระกูลเยี่ยนั้นชนะขาดตระกูลจาง แต่ทว่าตระกูลเยี่ยทำการอันใดก็จะรู้จักถ่อมตน บางครั้งก็ทำทาน แบ่งปันช่วยเหลือผู้ยากไร้ ด้วยเหตุนี้หัวหน้าตระกูลเยี่ยจึงได้รับตำแหน่งเยี่ยคนดีผู้ยิ่งใหญ่ ได้ยินเขาว่ากันว่า ตระกูลเยี่ยมีผู้มีอำนาจค่อยสนับสนุน ดังนั้น จางต้าฮู่กล้ายั่วยุรังควานทุกคนในเขตเฟิงอาน ยกเว้นก็แต่ตระกูลเยี่ย
ประจวบเหมาะกับที่ หลินหลันรู้จักแม่เหยาซึ่งทำหน้าที่ดูแลจัดการข้าวปลาอาหารให้แก่ตระกูลเยี่ย หลินหลันจึงตั้งใจว่าจะนำไข่เป็ดตะกร้านี้ไปขายให้แก่ตระกูลเยี่ย
“หลินหลันจ๊ะ! ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า แต่คนในบ้านล้วนกินไข่เป็ดกันจนเบื่อแล้วจริงๆ ” แม่เหยามองดูไข่เป็ดที่มีอยู่เต็มตะกร้าแล้วเอ่ยออกมาอย่างลำบากใจ ตั้งแต่ได้รู้จักกับหลินหลัน ก็ดูเหมือนว่าโต๊ะอาหารของบ้านเยี่ยก็ไม่เคยขาดไข่เป็ดอีกเลย และคนในบ้านก็ต่างติดใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางซึ่งเป็นผู้ดูแลในการจัดหาอาหารจึงรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก!
“แม่เหยา ท่านช่วยข้าอีกซักครั้งเถิด! อีกอย่าง ไข่เป็นพวกนี้ดีนะ มีคุณค่าทางโภชนาการ บำรุงธาตุและทำให้ปอดโล่ง แก้ร้อนในหรือไอคอแห้ง เจ็บคอ ท้องเสีย โรคอุจจาระร่วงและโรคบิดล้วนกินแล้วดีทั้งนั้น…” หลินหลันเอ่ยขึ้นชุดใหญ่
แม่เหยาเผยสีหน้าลำบากใจ “ข้ารู้ว่าไข่เป็ดประโยชน์นั้นมีมากมาย แต่ว่า…ทุกคนกินกันจนเบื่อแล้วจริงๆ ”
หลินหลันทำได้เพียงดึงดันที่จะเอ่ยต่อไป “เช่นนั้นท่านเอาไปทำไข่เป็ดเค็มสิ ฤดูร้อนกินคู่กับข้าวต้มอร่อยเลิศเลยล่ะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว คราวหลังจะไม่รบกวนแม่เหยาอีกต่อไปแล้ว”
แม่เหยามิอาจหนีรอดไปได้ แต่จะว่าไปแล้วหลินหลันก็เคยช่วยชีวิตลูกสะใภ้และหลานชายของครอบครัวนางเอาไว้ นางเองก็เอ่ยพูดมามากมายเสียขนาดนี้แล้ว…แม่เหยาจึงเอ่ยออกไปแม้จะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก “งั้นก็ได้ ครั้งนี้จะรับเอาไว้แล้วกัน”
หลินหลันดีใจยกใหญ่ “ขอบคุณแม่เหยามาก แม่เหยาช่างเป็นคนดีเสียจริง”
แม่เหยายิ้มขื่น ได้แต่หวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ
เมื่อจัดการเจ้าไข่เป็ดไปได้แล้ว หลินหลันก็เบาตัว เตรียมกลับบ้าน
บนถนนเส้นเล็กของหมู่บ้านเจี้ยนซี เหยาจินฮวาบิดเอว ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม อารมณ์เบิกบาน
นางเพิ่งจะไปบ้านของแม่สื่อหวังมา และได้รับข่าวดีครั้งยิ่งใหญ่ ว่ากันว่าจางต้าฮู่จากเขตเมืองเฟิงอานประสงค์ที่จะรับเด็กสาวที่สวยงามและมีสุขภาพดีไปเป็นนางบำเรอในห้องที่สิบแปด แถมพ่วงด้วยข้อเสนอมากมาย จางต้าฮู่ปีนี้อายุห้าสิบสาม มีกลุ่มภรรยาและนางสนมในตระกูล แต่น่าเสียดายที่พออายุมากก็ทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว อายุอานามมากกว่าครึ่งร้อยปีจึงมิอาจมีบุตรให้ได้ มีก็เพียงบุตรสาวสามคนเท่านั้น จางต้าฮู่จึงกล่าวว่าหากห้องสนมนางใดสามารถให้ลูกชายแก่เขาได้ จะได้รับรางวัลที่ดินอันอุดมสมบูรณ์สามร้อยไร่และทองแปดร้อยสอง เหยาจินฮวาที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สาวสวยวัยเยาว์สุขภาพแข็งแรง ไม่ใช่หลินหลันที่เหมาะสมพอดีหรอกหรือ หากหลินหลันแต่งงานไปและโชคดีพอที่จะให้กำเนิดลูกชาย ธุรกิจครอบครัวที่แสนยิ่งใหญ่ของตระกูลจางก็จะตกเป็นของหลินหลันผู้เป็นแม่ของลูก นางในฐานะที่เป็นพี่สะใภ้ก็จะได้รับอานิสงค์นี้ไปด้วยเช่นกัน นางได้ขอให้แม่สื่อหวังไปที่บ้านของจางต้าฮู่เพื่อช่วยพูดให้ แม่สื่อหวังถึงกับทุบอกฟันธง เอ่ยว่าเรื่องนี้ทำสำเร็จอย่างแน่นอน ให้นางรอรับข่าวดีได้เลย
เหยาจินฮวายิ่งคิดก็ยิ่งเพ้อฝัน จินตนาการว่ามองเห็นกองทองระยิบระยิบอยู่เบื้องหน้าของนาง…เมื่อสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ไปเหยียบเข้ากับสิ่งเละๆ หนึ่งกอง จนเกือบจะลื่นล้ม
เหยาจินฮวาก้มลงมอง ที่แท้ก็เป็นกองขี้วัวนั่นเอง นางกระโดดสะบัดเท้าไปพร้อมอารมณ์โกรธ เอ่ยด่าทอออกมา “ซวยจริงๆ วัวบ้านใครถึงได้ไม่มีจิตสำนึกขนาดนี้เที่ยวขี้เรี้ยราดไปทั่ว รอให้ข้ามีเงินแล้วจะไปอยู่บ้านหลังใหญ่ๆ จะไม่อยู่ที่ผุพังเช่นนี้อีก…”