พอได้เข้าใจเช่นนี้ หลินหลันจึงรู้สึกวางใจ ยิ้มน้อยๆ พลางเดินไปด้านข้างเหยาจินฮวา “ซ่าวจื่อ พี่เป็นห่วงเป็นใยข้าเสียขนาดนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ข้ารู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย!”
เหยาจินฮวาเผยสีที่ดูหน้าจริงจัง “ไฉนถึงเอ่ยว่ากะหันหันล่ะ ข้าก็เป็นห่วงเป็นใยเจ้าเช่นนี้มาโดยตลอดนั่นแหละ”
ใช่สิ! เป็นห่วงเป็นใยมาก เป็นห่วงเป็นใยที่จะขายนางออกไปในราคาเท่าไหร่ดี หลินหลันแกล้งทำเป็นปลาบปลื้ม “ซ่าวจื่อ ท่านจะทำเสื้อผ้าตัวใหม่ให้ข้าจริงหรือ”
“แน่นอนว่าจริง จะหลอกกันไปทำไม?” เหยาจินฮวาได้คำนวณเงินจำนวนนี้ตลอดทั้งคืนแล้ว การทำเสื้อผ้าใหม่ให้หลินหลันมีค่าใช้จ่ายสองถึงสามร้อยเหรียญเงิน นี่ยังไม่นับรวมค่าแรงของนาง โชคดีที่หลินเฟิงจับหมูป่าได้เมื่อวานนี้ และขายได้เงินมาถึงห้าเหรียญเงิน มิฉะนั้นนางคงยอมสละเงินนี่ไม่ได้จริงๆ อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าใหม่หนึ่งชุดแลกกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหลินหลันมันก็คุ้มค่าอยู่ เพียงแค่หลินหลันเต็มใจที่จะเป็นนางบำเรอให้จางต้าฮู่ อย่าว่าแต่สองหรือสามร้อยเหรียญเงินเลย ในอนาคตจำนวนเงินที่มากกว่าพันหมื่นเหรียญเงินนางก็สามารถได้รับกลับคืนมาได้อยู่ดี ดังนั้นเหยาจินฮวาจึงเอ่ยตอบไปอย่างแสนสุขใจยิ่ง
“เช่นนั้น…ข้าขอถามหน่อยสิ เงินที่ใช้ทำเสื้อผ้าเป็นเงินที่พี่ชายของข้าขายหมู่ป่ามาได้ใช่หรือไม่” หลินหลันยิ้มอย่างเป็นมิตร
หลินเฟิงเอ่ยขึ้นมา “ใช่แล้ว! เมื่อวานหมูป่าขายได้ตั้งห้าเหรียญงินแหนะ! เหม่ยจื่อ เจ้าอยากได้อะไรหน่อยไหม ว่ามาเลย พี่ซื้อให้เจ้าเอง”
เหยาจินฮวาใช้เท้าเตะเข้าไปที่ขาของหลินเฟิงซึ่งอยู่ใต้โต๊ะ ใครใช้ให้เจ้าปากมากขึ้นมา?
หลินเฟิงที่โดนเตะเข้าไปหนึ่งทีไม่อาจเก็บอาการได้ จึงส่งเสียงร้อง ไอ้ย่า ขึ้นมา
“เกอ พี่เป็นอะไรไปรึ?” หลินหลันเอ่ยถามทั้งที่รู้ดี ในใจแสนขุ่นเคือง พี่ชายผู้ซื่อสัตย์ถูกรังแกในมุมมืดอีกแล้ว
หลินเฟิงเห็นเหยาจินฮวาที่กำลังปั้นหน้า เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก ทว่าเขาไม่เข้าใจเลยว่าไฉนจินฮวาถึงเอาแต่หันหน้าไปหันหน้ามา? ไม่ใช่ว่าจินฮวาเป็นคนพูดเองหรอกหรือ หลายปีมานี้ติดค้างน้องสาวเอาไว้มากมาย ต้องชดเชยให้แก่น้องสาวให้ดีๆ อีกทั้งยังเอ่ยว่าน้องสาวโตมากแล้ว จะสวมใส่อะไรก็ต้องให้ดูเป็นรูปเป็นร่างเสียหน่อย…หลินเฟิงเอ่ยพึมพำ “เหมือนว่าจะมีอะไรอยู่ในรองเท้าเลยทิ่มเข้าไปที่ฝ่าเท้าซะแล้ว”
หลินหลันขี้เกียจจะมองดูใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ของเหยาจินฮวาอีกต่อไป จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเพียงหนึ่งประโยค “อ่อ! ที่ใช้คือเงินของพี่ที่หามาได้เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
นางเพียงเอ่ยดักหน้าขึ้นมาไว้ก่อน พอถึงเวลาเหยาจินฮวาอย่าได้มาเรียกร้องค่าแรงทำเสื้อผ้าใหม่ให้แก่นางก็พอ และต่อให้มาพูดนางก็ไม่ยอมรับมันหรอก
หลินหลันหยิบกะละมังแล้วเดินออกไป ไม่ทันจะออกไปถึงพื้นที่ลานโล่งก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้เป็นพี่ชายในห้องนั่นขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าคงจะถูกเหยาจินฮวาดึงหูเข้าให้แล้ว หลินหลันเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
วันนี้เป็นวันที่ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ เหล่าบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ล้วนออกมาซักเสื้อผ้าที่ริมลำธาร บรรดาหนุ่มๆ ต่างพากันพูดคุยหัวเราะเฮฮา แลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตประจำวันรวมไปถึงการซุบซิบนินทา พลางออกแรงทำงานกันอย่างหนักไปด้วย หลินหลันรู้สึกชอบบรรยากาศเช่นนี้เป็นพิเศษ ครึกครื้น มีชีวิตชีวา และเรียบง่าย ไม่เหมือนกับยุคสมัยใหม่ สองคนอยู่บ้านตรงข้ามกันมาเนิ่นนานหลายปียังไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
“แม่ของซวนจื่อ ซวนจื่อของครอบครัวเจ้าแต่งงานแล้วหรือ” ท่านป้าผู้หนึ่งเอ่ยถาม
แม่ของซวนจื่อยิ้มออกมาจนปากจะฉีกถึงใบหู “ใช่แล้ว! เป็นแม่นางของตระกูลจ้าวจากหมู่บ้านใกล้เคียงนี่เอง ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปมอบของขวัญแต่งงานให้อยู่”
“ไอ้ย่า! แม่นางตระกูลจ้าวนั้นเป็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่าฉลาดและมีความสามารถ ซวนจื่อของครอบครัวเจ้าช่างโชคดีเสียจริง” ป้าอีกท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกอิจฉา
“หากพูดถึงฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถ ในสิบแปดหมู่บ้านนี้ จะมีใครสามารถเทียบทานหลินหลันของพวกเราได้” ป้าจินแม่ของเป่าจู้ก็นั่งซักผ้าอยู่ที่ริมธาร เมื่อได้ยินผู้คนต่างพากันชื่นชมแม่นางตระกูลจ้าว นางก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยลื่นหูซักเท่าไหร่
ป้าผู้นั้นที่เอ่ยชื่นชมยกยอแม่นางตระกูลจ้าวยิ้มและเอ่ยขึ้น “ใครๆ ก็รู้ว่าในสายตาของป้าจินก็มีเพียงหลินหลันเท่านั้น ทว่าหลินหลันก็เป็นเพียงแค่ดอกไม้ดอกหนึ่งในหมู่บ้านเจี้ยนซีของพวกเราเท่านั้น”
“ป้าจิน ท่านอย่าได้มัวชักช้า เดี๋ยวจะถูกผู้อื่นเขาแย่งไปก่อน” มีบางคนพากันร้องโห่
“ข้าก็อยากอยู่หรอก แต่ก็ต้องให้เขายินยอมด้วยถึงจะได้” ป้าจินหัวเราะเสียงดัง เปิดเผยอย่างหมดเปลือกถึงความรักความเอ็นดูที่นางมีต่อหลินหลัน
พอป้าจินพูดถึงขนาดนี้ ทุกคนก็ต่างพากันสาดสายตามายังหลินหลัน และมีคนตะโกนขึ้นถามเสียงสูง “หลินหลัน เจ้ายินยอมหรือไม่ล่ะ?”
หลินหลันรู้สึกอับอาย ทำเพียงมุดศีรษะลงแสร้งทำเป็นหูหนวกและเป็นใบ้ต่อเสียงโวกเวกโวยวายที่ดังขึ้น บรรดาแม่ๆ ทั้งแปดคนนี้ หากไม่เอาเรื่องของนางมาพูดกันจะตายหรือไง!
ผู้คนต่างพากันส่งเสียงหัวเราะเริงร่าขึ้นมา
เอ้อร์นิวที่ไม่ได้สนใจไปกับบทสนทนาพวกนั้นกำลังนั่งยองๆ อยู่ด้านข้างสะกิดหลินหลันด้วยข้อศอก ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ตามด้วยการเอ่ยล้อเล่น “เอ้! หลินหลัน หลินหลัน เร็วสิโผโผ่ะกำลังถามเจ้าอยู่ว่ายินยอมหรือไม่น่ะ!”
หลินหลันหยิบก้อนหินจากข้างลำธารขึ้นมาทำท่าจะปาไปทางนาง เสียงดัง ต่อง ทันใดนั้นหยาดน้ำก็กระเซ็นเข้าใบหน้าของเอ้อร์นิว
“หน้าไม่อาย แม่สามีในอนาคตของเจ้า สามีในอนาคตของเจ้า รวมถึงลูกชายในอนาคตก็ล้วนกำลังร้องเรียกเจ้าอยู่ รีบๆ ไปที่ของเจ้าไป” หลินหลันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เอ้อร์นิวก็ช่างทนทานยิ่งนัก ไม่แสดงออกถึงความเขินอายแถมยังเอาน้ำขึ้นมาลูบหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น “สามีของข้ายังไม่รู้เลยว่าไปเกิดอยู่ในท้องแม่นางผู้ใด!”
หลินหลันมองไปที่นางอย่างตระหนักได้ในบางสิ่ง “อ่อ? ที่แท้แล้วเอ้อร์นิวก็ชอบสามีตัวน้อยสินะ!”
สาวๆ ที่อยู่ด้านข้างได้ฟังแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา ทำให้เหล่าบรรดาท่านป้าทั้งหลายที่นั่นมองมาอย่างสงสัย
เอ้อร์นิวหมดสิ้นคำพูด หลินหลันนั้นมีพลังและดุเดือดกว่านางเยอะเลย
“ยอมแล้วยอมแล้ว ข้าพูดยังไงก็ไม่ชนะเจ้า ข้าซักผ้า…”
ที่จริงแล้วหลินหลันไม่ได้รู้สึกโกรธจริงจัง เพียงแค่การล้อเล่นโดยพูดมากไป ก็จะกลายเป็นความคิดที่ตายตัว จะกลายเป็นการยากที่ทำให้ความคิดของทุกคนไม่เอาแต่จะจับนางและเป่าจู้มาโยงอยู่ด้วยกัน ซึ่งหลินหลันไม่ชอบการล้อเล่นเช่นนี้
“เอ้! หลินหลัน เจ้าดูด้านนั้นสิ…” ซี่ซ่านจากหมู่บ้านเดียวกันชี้ไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำพลางเอ่ยขึ้นมา
หลินหลันเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงคนสองคนกำลังเดินไปตามถนนเข้าหมู่บ้านสายเล็กๆ คนแปลกหน้าสองคน
ซี่ซ่านเอ่ย “สองคนนี้เมื่อวานก็มา เห็นว่าสอบถามเกี่ยวกับหลี่ซิ่วฉายน่ะ! สำเนียงการพูดไม่ใช่คนในพื้นที่ จะฟังทีก็ต้องสิ้นเปลืองพลังอย่างมาก วันนี้ก็มาอีกแล้ว”
หลินหลันแอบแปลกใจ ตามหาหลี่ซิ่วฉาย อีกทั้งยังพูดด้วยสำเนียงคนนอกพื้นที่…
“เมื่อวานพวกเขาก็สอบถามมาจากพี่ชายของข้าแล้ว พี่ชายข้าบอกว่าเห็นบนตัวของสองคนนั้นพกมีดด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าตามหาหลี่ซิ่วฉายทำไม พี่ชายข้าก็ไม่กล้าบอกพวกเขาไปว่าหลี่ซิ่วฉายอาศัยอยู่ที่หลังภูเขานั่น” เอ้อร์นิวก็เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน
หลี่ซิ่วฉายค่อนข้างเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่บ้านเจี้ยนซี ไม่ว่าจะเป็นหญิงแก่ไปจนถึงเด็กสาวตัวน้อยๆ ก็ล้วนชื่นชอบเขาทั้งนั้น ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขาเกิดมาหน้าตาหล่อเหลาล่ะ? อีกทั้งยังดูเป็นคนที่มีความรู้อีก
หลินหลันตกตะลึง พกมีดด้วยงั้นหรือ ไม่ใช่ว่าจะประสงค์ร้ายต่อหลี่ซิ่วฉายหรอกนะ? หลี่ซิ่วฉายเข้าเมืองไปวันก่อน ตอนนี้ไม่รู้ว่ากลับมาแล้วหรือยังด้วยสิ
ไอย้า! ไม่ดีแล้ว สองคนนั้นเรียกเด็กเลี้ยงวัวให้หยุด พวกนั้นยังเป็นแค่เด็กน้อยไม่รู้ประสา ไม่แน่ว่าคงบอกออกไปแล้ว
และผลก็คือ ทั้งสองยิ้มอย่างพึงพอใจและแตะมือลูบศีรษะของเด็กน้อยผู้นั้น ส่งสิ่งของบางอย่างคืนให้แก่เด็กน้อย หลังจากนั้นก็ตรงไปที่หลังภูเขา
หลินหลันรีบร้อนนำเสื้อผ้าที่เพิ่งซักไปได้เพียงครึ่งเดียวเก็บใส่กะละมัง แล้วหันไปพูดกับเอ้อร์นิว “เอ้อร์นิว เจ้ารีบกลับไปตามคนมา ส่วนข้าจะสะกดรอยตามไปดู”
เอ้อร์นิวรีบตอบรับทันที “ตกลง ข้าไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“ข้าก็ไปตามคนมาด้วยอีกแรง” ซี่ซ่านอาสาอย่างกล้าหาญ
ทั้งสามคนทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่ริมธารน้ำไม่ใยดีอีกต่อไป และพากันแยกย้ายไปตามทางของตน
หลินหลันแอบตามทั้งสองไปยังด้านหลังภูเขา มองดูชายสองคนที่มีรูปร่างดีและฝีเท้าเบา คงจะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นแน่ หากเขาสองคนประสงค์ร้ายต่อหลี่ซิ่วฉาย หลี่ซิ่วฉายคงได้ถึงขั้นปางตายแน่นอน
ทั้งสองคนนั้นเดินอย่างเร่งรีบ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกระตือรือร้นที่อยากจะพบหลี่ซิ่วฉายเป็นอย่างมาก หลินหลันคิดแผนการมองหาทางลัดใกล้เคียงแล้วส่งจดหมายไปเตือนหลี่ซิ่วฉายแต่นั่นคงเสียเวลาเปล่า ทำได้เพียงคอยตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและหวังว่าหลี่ซิ่วฉายจะไม่อยู่ในกระท่อมผุพังนั่น
เมื่อมาถึงยังกระท่อมซึ่งหลี่ซิ่วฉายใช้เป็นที่พักอาศัย สองคนนั้นก็เคาะประตูสองสามที ไร้ซึ่งการตอบกลับ หนึ่งในนั้นพลักบานประตูเข้าไป แล้วตะโกนออกมา “กงจื่อ [1] เขาไม่อยู่”
ผู้ที่ถูกเรียกว่ากงจื่อขมวดคิ้วขึ้น “เจ้าเด็กคนนี้หนีไปไหนแล้ว?”
“กงจื่อ ทำอย่างไรดี?”
“ทำอย่างไร? ก็รออยู่ที่นี่ไง จะหนีอย่างไรก็หนีไปไม่พ้นหรอก สุดท้ายก็ต้องถูกข้าจับได้อยู่ดี…”
หลินหลันเมื่อได้ฟังบทสนทนาของพวกเขา ก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าสองคนนี้ไม่ได้มาดีแน่
——
[1] 公子 กงจื่อ แปลว่า คุณชาย องค์ชาย เจ้าชาย