“เฟิงเยี่ยนเอ๊ย หลิงเฉิงเป็นบุตรสาวตระกูลซูอันทรงเกียรติ อีกทั้งนางยังเป็นข้ารับใช้คนสนิทขององค์หญิงใหญ่อีกด้วย ตัวตนของนางนั้นสูงส่งจนไม่อาจนำมาเทียบกับหญิงสาวดาดๆทั่วไปได้ นางยินดีเเต่งกับเล่ยมินพร้อม!!กับเจ้าในสถานะที่ต่ำกว่าเพราะเคารพนับถือในฐานะนักรบจุติที่เจ้ามี ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นนางคงไม่ยินดีทำมันอย่างเต็มใจเเน่นอน” เล่ยซูเปลี่ยนจากใบหน้ายิ้มเเย้มมาเป็นใบหน้าเคร่งเครียดจริงจังในบัดดล
“เจ้าควรรู้ไว้ นักรบจุติน่ะเเม้จะมีชื่อเสียง เงินทองเเละเกียรติยศมากมายเเต่ทั้งหมดนั้นเเลกมาด้วยอันตรายนับไม่ถ้วน ปีศาจมากมายไม่รู้เท่าไหร่ที่จับจ้องสังหารล้างเเค้น มินเอ๋อร์เเละหลิงเฉิงนั้นพวกเขาเต็มใจที่จะเสียสละตนเอง ดังนั้นเจ้าไม่ควรปฏิเสธเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีนั้นนักรบจุติที่เป็นสตรีนั้นหายากอยู่เเล้ว เเละเมื่อยามพวกนางเเก่ชราก็เริ่มเหงา เเละเปล่าเปลี่ยวต้องใช้ชีวิตเเบบหวาดระเเวงกลัวถูกทำร้ายไปชั่วชีวิต เเต่สำหรับเจ้ามันไม่เหมือนกัน หลิงเฉิงนั้นสนิทกับองค์หญิงใหญ่เเละรู้จักขั้วอำนาจมากมาย นางมีความสามารถมากพอที่จะคุ้มครองเจ้าเเละลูกของเจ้าในอนาคต นี่เป็นสิ่งที่หญิงทั่วหล้าต้องการเเต่ก็มิอาจจะใฝ่ฝันถึง”
เสียงของเล่ยซูค่อยๆเปลี่ยนทำนองจากให้ความเมตตาเป็นช่วยเหลือเพื่อกุศลเเทนอย่างเเยบยล เหมือนว่าที่เล่ยมินจะเเต่งกับนางพร้อมกับหลิงเฉิงคือสิ่งที่นางควรจะยินดีถึงขั้นคุกเข่ากราบตีนพวกมัน
“เจ้าคงไม่ต้องการให้มินเอ๋อร์กับลูกของเจ้าตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่? การเเต่งงานคู่กับหลิงเฉิงจึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ อีกทั้งนางยังยอมเป็นเพียงเเค่ภรรยาน้อย สตรีทั่วไปไม่มีวันได้รับเกียรติเช่นนี้ดอก”
จีเฟิงเยี่ยนหัวเราะในใจยามที่มองหน้าเล่ยซูเเละซูหลิงเฉิงสลับกัน คนหนึ่งจริงจังจนหน้าดำคล้ำ ส่วนอีกคนทำหน้าตายับย่นดั่งหมาพันธ์บั๊คที่กำลังหงุดหงิด
ซูหลิงเฉิงนั้นเกิดมาพร้อมกับใบหน้าอันทรงเสน่ห์ การที่นางทำหน้าเหมือนหมาหน้าย่นนี้ทำให้นางดูน่าสงสารคล้ายสตรีที่โดนรังเเกอย่างไม่เป็นธรรม เป็นใบหน้าที่จอมยุทธเเละพระเอกทั่วไปนั้นรู้สึกสงสารเเละชอบให้การปกป้องอย่างมาก เล่ยมินเห็นหลิงเฉิงทำกิริยาเเบบนี้ก็สงสารนางจับใจจึงโอบกอดนางเพื่อปลอบใจอย่างอบอุ่น เเละส่งสายตาตำหนิมายังจีเฟิงเยี่ยนผู้โง่งมที่ยังไม่ตกเข้าเเผนเขาเสียที
เมื่อเปรียบนางฟ้าผิวเต่งตึงขาวมีน้ำมีนวลของซูหลิงเฉิง กับสาวน้อยผอมเเห้งผิวหยาบกร้าน ที่โดนเคี่ยวกรำทรมานอย่างหนัก จากตระกูลจีอย่างจีเฟิงเยี่ยนเเล้วมันก็เป็นดั่งหยกล้ำค่าเเละก้อนอาจมเท่านั้น ไร้การดึงดูดอย่างสิ้นเชิง
“จีเฟิงเยี่ยน หลิงเฉิงนั้นอุตส่าห์ยอมลดตัวไว้หน้าเจ้า เจ้ายังจะเรื่องมากอะไรอีก เเม้ข้ากับเจ้าจะรู้ว่าอนาคตพวกเขาจะต้องจากกันเพราะสงคราม เเต่ข้าก็ยังยินยอมสละตนที่จะเเต่งงานกับเจ้าอย่างเต็มใจ เจ้ากลับเห็นการเสียสละตัวเองของพวกข้าเป็นเรื่องตลกล้อเล่น เจ้าจะใจร้ายใจดำไปหรือไม่?” เล่ยมินมองจีเฟิงเยี่ยนด้วยดวงตาที่ผิดหวัง
จีเฟิงเยี่ยน: “…………..”
มันเป็นเรื่องเเปลกใหม่จนนางอดเบิกตากว้างไม่ได้เพราะความตื่นเต้น นางบำเพ็ญเพียรมาทั้งชีวิต เรียกได้ว่าช่างน่าเบื่อหน่าย เเต่พอมาเจอคณะสามสหายสุดหน้าด้าน จอมโจรผู้ไม่ลงทุนเเต่คิดจะร่ำรวยเหล่านี้ก็อดจะหัวเราะในใจไม่ได้อย่างสนุกสนาน
ช่างกลับผิดเป็นถูกได้อย่างเหลวไหลไร้ข้อติอย่างเเท้จริง
จีเฟิงเยี่ยนกำลังจะเอ่ยปากไล่ตัวเหลวไหล ไปให้พ้นหูพ้นตาก็พลันได้ยินเสียงครวญครางต่ำๆเบาๆมาจากทางด้านหลัง
จีเฟิงเยี่ยนหันไปมองก็พบว่าเด็กชายคนนั้นกำลังจะฟื้นเเล้ว เขาขยับตัวโดยไม่ระวังทำให้เเผลของเขาฉีกเเละได้รับความเจ็บปวดจนต้องครวญครางเสียงดัง
เสียงของเด็กชายดึงดูดความสนใจของคนทั้งห้อง เล่ยมินเเละพรรคพวกก็ได้ยินเสียงนี้ พวกเขาจึงได้รู้ว่าในห้องนี้ยังมีคนอื่นอีก อีกทั้งยังนอนอยู่บนเตียงในห้องมืดที่มีเเสงสว่างเพียงสลัวๆ
เนื่องจากเเสงสว่างมีน้อยทำให้เล่ยมินต้องพยายามอย่างมากในการตรวจดูมาเสียงนั่นคือเสียงของอะไร ในที่สุดก็เห็นชัดเจน เป็นเด็กชายคนหนึ่ง
เเถมยังเป็นคนที่รูปงามกว่าเขาชนิดเทียบกันไม่ติด อีกทั้งความห่างยังมากกว่าการเปรียบเทียบสองสาวเมื่อครู่นี้มากมายอักโข เมื่อเห็นเด็กชายชัดเจนเล่ยมินก็เต็มไปด้วยความตกใจเเล้วหันมาตอบจีเฟิงเยี่ยนว่า “ข้ารู้เเล้ว เช่นนี้นี่เอง”