ตอนที่ 116 ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีก
ทุกคนมีความสุขสนุกสนานมากในคืนนี้ ยกเว้นหยางมู่คุน ถังซีดื่มเหล้าเข้าไปมากมายและเริ่มรู้สึกมึน เฮ่อหว่านอีเมาเล็กน้อย รีบขึ้นไปร้องเพลงบนเวที ถังซีนั่งเท้าคางอยู่ที่โซฟา ดูเฮ่อหว่านอีร้องเพลง ‘My Darling’ (ที่รักของฉัน) อยู่บนเวที
ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนเธอเหมาะที่จะร้องเพลงนี้ ถังซีชอบเพลงนี้มาก แม้เธอจะขึ้นบัญชีดำไว้เมื่อหลายปีก่อน ใช่แล้ว เฉียวเหลียงเป็นคนแนะนำให้เธอฟังเพลงนี้
เธอเคยมีความสุขกับการฟังเฉียวเหลียงร้องเพลงนี้ด้วยเสียงทุ้มแต่อ่อนหวาน ถังซีส่ายแก้วในมือเบาๆ ฟังเสียงนุ่มนวลของเฮ่อหว่านอี แต่ภายในใจเธอได้ยินเป็นเสียงทุ้มของใครอีกคนหนึ่ง กำลังร้องเนื้อเพลงท่อนโปรดของเธอ ‘ความเสน่หาที่ฉันมีต่อเธอนั้นชัดเจนมิอาจซ่อนเร้น เปี่ยมล้นเกินจะหักห้าม ด้วยหัวใจดื้อรั้น อยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ’
เมื่อจบเพลงทุกคนปรบมือ ถังซีกล่าวว่า “เพราะจังเลยค่ะ ฉันอยากร้องบ้าง”
เฮ่อหว่านอีเปิดเพลงให้เธอด้วยรอยยิ้ม และส่งไมโครโฟนให้ ถังซีเข้ามาแทนที่ แล้วเพลงก็เริ่มขึ้น เธอนั่งลงบนเก้าอี้บนเวที หลับตาลง ซาบซึ้งไปกับถ้อยคำของเนื้อเพลง ทุกถ้อยคำที่ออกจากปากเธอเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก
หนิงเหยี่ยนทอดสายตามองถังซีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมกับสงสัย “ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเป็นเหมือนบุคคลปริศนา เธออายุยี่สิบสามปีและมาจากชนบท แต่ฉันมักจะรู้สึกว่าเธอมีเรื่องราวมากมายที่จะบอกเล่า”
เฮ่อหว่านอีนั่งอยู่ที่โซฟา รินเหล้าให้ตัวเองแก้วหนึ่ง แล้วมองไปที่ถังซีซึ่งกำลังหลับตาพริ้มร้องเพลง แม้ท่วงทำนองจะร้องยากและเนื้อเพลงก็ไม่ง่ายที่จะจดจำ แต่เธอร้องได้ไพเราะจนเฮ่อหว่านอีอดอุทานออกมาไม่ได้ “เพราะจัง ฉันชอบฟังเธอร้องเพลง”
เซียวเหยายิ้ม มองตรงไปที่ถังซีโดยไม่พูดอะไร
เซียวจิ่งกับเซียวส่าก็ภาคภูมิใจในตัวน้องสาวคนเล็กเช่นกัน
เมื่อถังซีมาถึงท่อน “ความเสน่หาที่ฉันมีต่อเธอนั้นชัดเจนมิอาจซ่อนเร้น เปี่ยมล้นเกินจะหักห้าม ด้วยหัวใจดื้อรั้น อยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ” เธอใส่อารมณ์ทั้งหมดลงในบทเพลง ราวกับกำลังร้องให้เฉียวเหลียงฟัง แล้วทันใดนั้นประตูห้องพิเศษก็ถูกผลักเข้ามา ทุกคนในห้องหันขวับไปมอง เห็นคนสองสามคนยืนอยู่ที่ประตู เฮ่อหว่านโจวหน้านิ่วคิ้วขมวดผลุดลุกขึ้นยืน กำลังจะพูดอะไรออกมา ขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาจนต้องตกตะลึงของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้า
ทุกคนตะลึงงัน และเงียบกริบ
มีเสียงสิ่งของกระทบกัน… เสียงคลื่นแทรก… เสียงไมโครโฟนหอน… แล้วไมโครโฟนก็ร่วงลงกับพื้น และเงียบไป
ถังซีจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ทำไมชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในห้วงคำนึงของเธอจึงมาปรากฏตัวขึ้นได้ในฉับพลัน น้ำตาเธอเริ่มพร่างพรู
เฉียวเหลียงได้ยินเสียงเพลงอันคุ้นเคยแต่มีท่วงทำนองแปลกไป เพลงซึ่งเขาไม่ได้ฟังมานาน เพราะหัวใจเขารู้สึกเหมือนจะแหลกสลายทุกครั้งที่ได้ฟัง
เซียวจิ่งเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยา เขาลุกขึ้นทักทายเฉียวเหลียง “นี่นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกฉัน”
เฉียวเหลียงสีหน้านิ่ง กวาดสายตาไปตามผู้คนในห้อง ก่อนจะหยุดที่ถังซี ซึ่งยังคงยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางเลื่อนลอย จากนั้นเขาก็ผลักเซียวจิ่งที่ยืนขวางหน้าอยู่ เดินเข้าไปหาที่ถังซีทีละก้าวๆ
ทุกคนรู้สึกประหลาดใจกับภาพที่เห็น สายตาของพวกเขามองตามเฉียวเหลียง
เซียวจิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร ขณะที่เซียวเหยาขมวดคิ้ว เขาสังเกตเห็นว่าโหรวโหรวตกใจและสับสนเมื่อเห็นเฉียวเหลียง ไมโครโฟนที่ลื่นไหลหล่นจากมือแสดงให้เห็นอารมณ์ที่แท้จริงของเธอ
ยิ่งไปกว่านั้น เฉียวเหลียงดูเหมือนเป็นบุคคลอันตรายมากในตอนนี้
ทั้งสองคนรู้จักกันหรือเปล่า
เฉียวเหลียงหยุดอยู่ตรงหน้าถังซี จ้องมองใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาอย่างพินิจพิจารณา ทันใดนั้นเขาก็คว้ามือเธอพาเดินออกไปข้างนอก ถังซีซึ่งยังมีสติไม่ครบถ้วนเกือบจะล้มลงเมื่อถูกเขาดึง การกระทำของเฉียวเหลียงสร้างความโมโหให้เซียวเหยาในทันที เขาผลุดลุกขึ้นพุ่งเข้าไปหาคนทั้งคู่ เอื้อมมือไปคว้ามือเฉียวเหลียงไว้ และกล่าวอย่างเยือกเย็น “ปล่อยเธอ!”
ดวงตาเฉียวเหลียงเข้มขึ้น เขาจ้องหน้าเซียวเหยาอย่างเย็นชาและตะคอก “หลีกไปให้พ้น!”
ถังซีเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่แวววาวด้วยหยาดน้ำตา พยามยามจ้องมองหน้าเฉียวเหลียงให้ชัดเจน แต่ก็ต้องพบว่าน้ำตาทำให้ดวงตาเธอพร่ามัว เห็นเขาไม่ชัด
เซียวเหยากล่าวเสียงแข็ง “ปล่อยน้องสาวผม!”
เฉียวเหลียงมองกลับไปที่ถังซี แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ!”
“นายมาทำอะไรที่นี่ เฉียวเหลียง!” เซียวจิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเดินออกมาจับมือเฉียวเหลียงไว้ และกล่าวอย่างจริงจัง “ใจเย็นๆ ปล่อยโหรวโหรวก่อน”
เฉียวเหลียงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “อาห้า นายตายไปแล้วหรือ!”
อาห้าและอาหกรีบเข้ามาทันทีพร้อมกับกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้น ในห้องจึงก็มีคนเต็มไปหมด อาห้ากล่าวกับเซียวจิ่งอย่างไม่มีทางเลือก “คุณเซียวจิ่งครับ ผมขอโทษจริงๆ แต่คุณก็รู้ว่านายน้อยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณถัง” น้ำเสียงเขาแผ่วเบามาก มีเพียงเซียวเหยากับเซียวจิ่งที่อยู่ใกล้เขาเท่านั้นที่ได้ยิน
เซียวจิ่งขมวดคิ้วและกำลังจะพูด เมื่อถังซีเอ่ยขึ้น “พี่ๆ คะ คุณเฉียวอาจมีบางอย่างพูดกับฉัน ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวฉันกลับมา”
หลังจากกล่าวเช่นนั้นถังซีก็หันไปมองเฉียวเหลียง เขาปล่อยมือเธอ แล้วเดินออกไปก่อน พร้อมกับกล่าวอย่างเยือกเย็น “อาห้าเฝ้าดูพวกเขาให้ดี อย่าให้ใครออกมาแม้แต่คนเดียว”
“มากเกินไปแล้ว คุณเฉียว!” เฮ่อหว่านโจวลุกขึ้น “พวกเราไม่ใช่คนของคุณ จะมาสั่งพวกเราแบบนี้ไม่ได้!”
ใบหน้าเฉียวเหลียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา ทันใดนั้นถังซีก็ดึงเขาออกมา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง “ไปได้แล้ว”
เฉียวเหลียงเพ่งมองถังซี แต่ไม่พูดอะไร แล้วหันหลังเดินออกไปข้างนอก
ทุกคนตะลึง หางตาข้างหนึ่งของอาห้าหรี่ลง ขณะที่เขาขอให้คนอื่นๆ ถอยกลับเข้าไปในห้องและกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะครับทุกท่าน กลับไปสังสรรค์กันต่อเถอะครับ พวกเราจะออกไปอยู่ข้างนอก ถ้าต้องการอะไรก็เรียกพวกเราได้นะครับ”
หนิงเหยี่ยนกล่าวประชด “พวกเราเป็นนักโทษ ใครจะกล้ารบกวนผู้คุมอย่างคุณห้าล่ะครับ”
อาห้าปาดเหงื่อที่หน้าผาก นึกตำหนินายน้อยอยู่ในใจเป็นครั้งที่ร้อย ก่อนจะถอยออกไป
เฮ่อหว่านโจวหรี่ตามองเซียวจิ่งขณะถามว่า “นายกล้าพูดกับเฉียวเหลียงแบบนี้ด้วยหรือ”
เซียวจิ่งขมวดคิ้วไม่พูดอะไร ในที่สุดเขาก็คิดออกว่ามีอะไรผิดปกติ ปฏิกิริยาของน้องสาวเขาแปลกไป และเฉียวเหลียงเป็นแค่คนแปลกหน้า นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้พบกับโหรวโหรว แต่ทำไมเขาถึงเชื่อฟังคำพูดเธอ และเซียวจิ่งจำได้ว่าโหรวโหรวเคยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องราวของเฉียวเหลียง แต่ทำไมตอนนี้จึงเหมือนกับว่าเธอคุ้นเคยกับเฉียวเหลียง
ที่ระเบียงโล่งเปิดออกสู่สายลมยามเที่ยงคืน ถังซีหายมึนงงแล้ว เธอกอดอก ยิ้มให้เฉียวเหลียงขณะกล่าวว่า “ฉันคิดว่าคงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าคุณจะหาฉันเจอ คิดไม่ถึงว่าคุณจะหาเจอเร็วมากขนาดนี้”
ใบหน้าเฉียวเหลียงเยือกเย็น ขณะมองหน้าหญิงสาวแสนสวยเบื้องหน้าเขาท่ามกลางแสงจันทร์ เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณเป็นใคร”
เขาตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดของเธอ พบเพียงว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับถังซี แล้วเธอเข้าไปในกล่องอีเมล์ของถังซีได้อย่างไร หรือนี่เป็นเพราะ…