“นี้มันดาบที่ผู้กล้าคิรามิใช้จริงๆเหรอ ดูโทรมชะมัด”
เทลจ้องมองดาบธรรมดามีร่องรอยการบิ่นมากมายที่ผ่านตู้หลังกระจกใส เพื่อจัดแสดงเอาไว้
“มันเขียนเอาไว้ว่าเป็นดาบที่ผู้กล้าใช้ตอนเริ่มต้นนะครับ จะดูโทรมขนาดนั้นก็ไม่แปลกหรอก”
“สกสัยตอนที่เริ่มต้นผู้กล้าคงยาจกน่าดู ขนาดมีดเก่าๆ ของหนูยังดูดีกว่าอีก”
“ก็คงอย่างงั้นแหละครับ ก็คนเราก็ย่อมเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ก่อนเสมอ และพยามพัฒนามันไปเรื่อยๆจนเป็นสิ่งที่ดีและได้ยังไงละครับ ผู้กล้าคิรามิเองก็เริ่มต้นจากการใช้ดาบทั้วไปก่อนจะมาถือดาบศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้น หากความคุณพยามต่อไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยที่ไม่ยอมแพ้ ผมก็เชื่อว่าคุณจะสามารถยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครได้แน่นอนครับ”
“อืม…งั้นแสดงว่าในอนาคต ถ้าหนูพยามมากๆเรื่องหน้าอก ก็จะสามารถใหญ่แบบคุณหม่าม๊าได้ใช่มั้ย?”
“ทำไมถึงต้องพยามเรื่องหน้าอกด้วยละครับ ของแบบนั้นใหญ่ไปก็ไม่มีความหมายเลยสักนึด กลับกันมันเป็นภาระมากกว่านะครับ”
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ก็หน้าอกของคุณหม่าม๊าแล้วรู้สึกดีสุดๆ เลยนี้น่า หนูเองก็อยากใหญ่ให้ได้แบบคุณหม่าม๊าบางนะ แต่ดูจากขนาดของแม่ที่มีขนาดปกติ หนูเองก็น่าจะหมดหวังแล้วละมั้ง”
“อะไรที่ใหญ่เกินไปมันมักมีแต่ข้อเสียมากกว่าข้อดี หากลองยกตัวอย่างง่ายๆ การที่มีหน้าอกแบบนี้จะทำให้การสวมใส่เสื้อผ้าปกติยากเป็นเท่าตัวการใส่เสื้อที่ง่ายที่สุดคือการใส่เสื้อที่มีขนาดกว้างกว่ารอบอกซึ่งมันจะทำให้ดูรูปร่างใหญ่ผิดจากความจริงมากหากไม่ต้องเป็นเช่นนั้นก็จำเป็นต้องใส่สายรัดเอวไม่ก็คอเซ็ทที่มีเฉพาะช่วงเอวซึ่งตัวเลือกของชุดเหล่านั้นก็จะเหลือเพียงชุดเดรสและชุดสำหรับอื่นๆเท่านั้น หากต้องการใส่ชุดปกติที่ไม่ใช่ชุดกระโปรงก็ต้องหาเสื้อผ้าที่มีความสามารถยืดหยุ่นพอจะยืดหยุ่นได้โดยที่ไม่รัดจนเกินไปซึ่งจะหาเสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติแบบนั้นก็ยากจนเกินไป ตัวเลือกเดียวที่เหลือก็คือเสื้อที่สั้งตัดเท่านั้น ส่วนเวลานอนเองก็ไม่สามารถนอนคว้ำได้เพราะจะรู้สึกอึดอัดสุดๆ และยังมีปัญหาอีกมากมายจนคุณนึกไม่ถึงเลยละครับ เพราะฉะนั้นในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ตรงก็ต้องขอบอกว่า ขนาดปกติดีที่สุดแล้วครับ”
“ถึงจะไม่เข้าใจที่คุณหม่าม๊าพูดเลยก็เถอะ แต่ฟังดูลำบากน่าดูเลยนะ”
“ใช่แล้วละครับ”
“แต่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี้!! หน้าอกใหญ่แบบคุณหม่าม๊าดูดีจะตาย ยิ่งอยู่ในชุดประหลาดนั้นก็ยิ่งดูโดดเด่นเข้าไปอีก แลกกับลำบากนึดหน่อยยังไงก็คุ้ม!!”
“.….”
ไทเอลไม่พูดตอบโต้อะไร หลังจากเสร็จธุระตอนเช้าและกำลังจะออกจากโรงแรม เขาก็ถูกเจมินี่จับใส่เสื้อคอลึกสีขาวที่เผยให้เห็นเนินอกขนาดใหญ่ของเธอ ส่วนล่างเองก็เป็นกระโปรงทรงเอที่มีความยาวเหนือหัวเข่าประมาณหนึ่ง เผยให้เห็นเรียวขาอันสวยงามที่ใส่ถุงน่องสีดำบางๆเอาไว้ โดยเธอให้เหตุผลว่าเพื่อกันไทเอลไปคุยกับผู้หญิงคนอื่นและให้สายตาของผู้ชายทั้งหมด จับจ้องมาที่ไทเอลคนเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้เรย์หวาดกลัวโดยให้ไทเอลเว้นระยะห่างจากเธอพอสมควร แม้จะไม่อยากใส่มันเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ขัดใจเจมินี่ไม่ได้เช่นกัน
“จะว่าไปคุณหม่าม๊าเริ่มใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
“เอาตามหลักความจริงคือหลังจากเกิดมาได้4ชม.ครับ”
“คุณหม่าม๊า..นั้นมันยังเป็นเด็กทารกอยู่เลยไม่ใช่รึไง ใครมันจะเริ่มมีหน้าอกได้เร็วขนาดนั้นละ ขนาดหนูกับพี่เองยังพึ่งเริ่มมีเร็วๆ นี้เองนะ จะหลอกหนูละก็เอาให้น้อยๆหน่อยเถอะ หนูไม่ใช่เด็กเล็กอย่างดรีมที่จะมาหลอกกันได้ง่ายๆนะ”
“จะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ เพราะมันค่อนข้างเหนือสามัญสำนึกพอสมควร เอาไว้มีโอกาศเดียวผมจะอธิบายให้ละเอียดเองครับ”
“ทำหน้าจริงจังแบบนั้นไปหนูก็ไม่เชื่อคุณหม่าม๊าอยู่ดีนั้นแหละ”
“เอ่อ..ขอรบกวนเวลาสักหน่อยได้ไหมคะ?”
เสียงที่ฟังดูอ่อนโยนดังขึ้นมาขัดการสนทนาของทั้งสอง เมื่อหันไปก็พบกับซิสเตอร์สาวที่มีหน้าตาที่งดงามเธอมีรูปร่างที่ดีเหมาะสมกับหน้าตาของเธอกับเด็กอีกหนึ่งคนที่อยู่ด้วยกัน กำลังยืนส่งยิ้มให้กับพวกเขาอยู่
“ไม่ทราบว่าอะไรรึเปล่าครับ? คุณซิสเตอร์”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกคะ ก็แค่อยากจะขอรบกวนคุณทั้งสองนึดหน่อยเท่านั้นเองคะ”
ซิสเตอร์คนนั้นยื่นกระดาษใบหนึ่งให้กับไทเอลและเทลที่ยืนอยู่ข้างๆกัน ในกระดาษนั้นมีข้อความที่เขียนว่า ตามหาคู่หหมั้นขององค์ชายที่หายตัวไป และก็มีภาพของเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่มีอายุพอๆกับเทลกำลังส่งยิ้มอยู่ เธอใส่เสื้อที่เป็นของสถาบันเวทมนต์อันมีชื่อเสียงในแกรนเทล เทียร่า ในใบประกาศจับนั้นได้ระบุ รางวัญนำจับไว้ถึง300,000เหรียญทองเลยทีเดียว
“นี้มันคู่หมั้นขององค์ชายที่หายไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วนี้น่า ค่าหัวถึงขนาดนี้แล้วยังตามหาไม่เจอไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรอกเหรอ?”
“อย่ามาปากเสียนะ!! ยัยเด็กกระโปโหล!! ท่านพี่มีเรียไม่มีทางตายง่ายๆหรอก!!”
เด็กที่อยู่ข้างๆซิสเตอร์ต่อว่าเทลที่ปากเสีย เธอดูมีอายุน้อยกว่าเทลเล็กน้อยเท่านั้น เธอมีผมสีแดงสดเหมือนมะเขือเทศ เธอทำหน้าตาเหมือนไม่พอใจเทลเล็กน้อย
“ขอโทษนะคะ ที่รีแนนพูดจาเสียมารยาทไว้ฉันจะอบรมให้เธอทีหลังเองคะ”
“หนูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ หนูไม่รู้ว่าเธอคนนี้เป็นพี่ของเธอ ก็เลยเผลอพูดตามอารมไปหน่อย เพราะงั้นเลิกก้มหัวขอโทษหนูเถอะ มันทำให้หนูลำบากใจนะ”
เทลทันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่ซิสเตอร์ที่มีอายุมากกว่าเธอก้มหัวขอโทษ
“ใช่แล้วละ!! ยัยนี้เป็นฝ่ายผิดชัดๆ!! ไม่เห็นต้องไปขอโทษเลยนี้!!”
“รีแนน!! อย่าเสียมารยาทกับคนที่เรามาขอความช่วยเหลือสิ!!”
“หึ!!”
“รีแนน!!”
รีแนนไม่ได้สนใจคำเตือนของซิสเตอร์เลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรๆ หนูไม่ได้ถือสาอะไรเด็กคนนี้หรอก ยังไงซะ หนูก็ผิดจริงๆนั้นแหละ”
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ..”
“จะว่าไปทำไมถึงมาเดินแจกใบประกาศแบบนี้ละครับ? เรื่องการตามหาคนหายไม่น่าใช่ธุระของนักบวชแห่งแสงอย่างคุณนี้ครับ”
“มีเรียเธอเคยเป็นเด็กที่ฉันเคยดูแลสมัยที่เป็นซิสเตอร์ฝึกหัดนะคะ และตัวฉันเองก็ค่อนข้างสนิทกับเธอมากด้วย ในฐานะที่เป็นผู้ที่นับถือในเทพธิดาแห่งแสงและสหายของเธอ นี้คือสิ่งที่ฉันควรทำคะ แน่นอนว่าเรื่องนี้ผ่านความเห็นชอบจากท่านบิชอปและบาทหลวงชั้นผู้ใหญ่คนอื่นแล้ว ไม่ต้องกลัวว่ามันจะไม่เหมาะสม เพราะการตามหาผู้ที่ได้รับเลือกจากเทพธิดาแห่งแสงเองก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราเช่นกันคะ”
“ดะ..เดี๋ยวนะ..เมื่อกี้คุณซิสเตอร์พูดว่าผู้ได้รับเลือกจากเทพธิดาแห่งแสงงั้นเหรอ!! อย่าบอกนะว่าคู่หมั้นขององค์ชายเป็นนักบุญนะ!!”
“ใช่แล้วละ ท่านพี่มีเรียของฉันเป็นถึงนักบุญเชียวนะ!! จงดีใจซะเถอะ ที่ได้ยินข่าวจากพวกเราก่อนที่ทางศาสนจักรจะประกาศอย่างเป็นทางการนะ”
รีแนนยื่นอกพร้อมพูดด้วยความภูมิใจ ในขณะที่เทลดูตกตะลึงเป็นอย่างมากที่ได้ยินว่ามีเรียคือนักบุญ มันไม่ใช่ข่าวดีแต่เป็นข่าวร้าย ทุกๆคนรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร เมื่อมีนักบุญถือกำเนิดขึ้นมาก็ย่อมมีสิ่งหนึ่งที่ตามมาเสมอ…
“ถ้ามีนักบุญละก็…งะ..งั้นแสดงว่าจอมมารก็คืนชีพแล้วนะสิ!!”
“เรื่องนั้นพวกเราเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดค่ะ แต่ถึงอย่างงั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่พระเจ้าได้ประทานนักบุญมาเพื่อช่วยเหลือพวกเรา”
“ไม่ดีเลยสักนึด!! ไม่ใช่ว่าสงครามรอบที่แล้วนักบุญทรยศไปอยู่ฝั้งจอมมารไม่ใช่รึไง!! แถมได้ยินว่าเธอหายตัวไปจากโรงเรียนเวทมนต์แบบดื้อๆโดยไม่มีใครเห็นอีก คงไม่ใช่ว่าตอนนี้อยู่กับพวกปีศาจแล้วหรอกนะ..”
“อย่ามาพูดพล่อยๆนะ ท่านพี่มีเรียไม่ใช่คนแบบนั้นซักหน่อย!!”
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พวกเธอไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆไม่ใช่รึไง เธอรู้จักพี่ตัวเองดีขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าพี่เธอไม่ทำอะไรผิดแล้วจะหายไปตัวทำไมละ”
“ว่ายังไงนะ!! ลองพูดแบบนี้อีกรอบสิ!! ฉันฆ่าเธอแน่!!”
“รีแนนใจเย็นๆหน่อย!! ท่าเธอทำกิริยาก้าวร้าวอีก ฉันจะงดข้าวเย็นเธอเป็นการลงโทษแล้วนะ!!”
ซิสเตอร์สาวพูดขู่รีแนน เธอจึงยอมสงบลงแม้จะดูไม่เต็มใจนักก็ตาม
“ผมว่าคุณควรขอโทษคุณรีแนนเขานะครับ”
“อะ..อืม..นั้นสินะ..คุณหม่าม๊าพูดถูกแล้วละ ขอโทษด้วย ที่พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับพี่สาวเธอนะ”
เทลพูดพร้อมก้มหัวขอโทษรีแนนที่กำลังยืนหงุดหงิดอยู่ เทลรู้ดีว่าเธอได้พูดอะไรที่ไม่ดีสุดๆ ใส่รีแนน หากมีคนมาพูดแบบนี้ใส่พี่สาวของตัวเองเธอก็คงโกรธเหมือนรีแนนเช่นกัน
“แม้จะฟังดูเสียมารยาท แต่เดี๋ยวพวกเราต้องขอตัวไปแจกใบประกาศที่อื่นต่อ เพราะฉะนั้นพวกเราคงต้องไปแล้วละคะ”
“เข้าใจแล้วครับ ท่างั้นก่อนไปให้ผมแนะนำตัวหน่อยนะครับ ผมชื่อไทเอล ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ฉันชื่อ แองเจล่าคะ เป็นซิสเตอร์ที่อยู่โบสถ์ใกล้ๆ นี้ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันคะ”
“เป็นชื่อที่ดีนะครับ ดูเหมาะกับผู้หญิงสวยๆอย่างคุณมากเลยนะครับ คุณซิสเตอร์แองเจล่า”
“ตายจริง”
ไทเอลพูดพร้อมจับมือของซิสเตอร์ขึ้นมาและก็จูบมันไปเบาๆ ตามนิสัยของเธอ ซึ่งมันทำให้แองเจล่ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ถูกทำแบบโดยผู้หญิงด้วยกันเอง
“อย่ามาแตะซิสเตอร์แองเจล่าของฉันนะ!!”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี้ครับ ผมก็แค่ทักทายเท่านั้นเอง จะให้ผมทำกับคุณด้วยไหมละครับ เลดี้ตัวน้อย”
ไทเอลพยามก้มลงไปจับมือของรีแนน แต่เธอเองก็บัดมือของไทเอลทิ้งไป ด้วยท่าทางที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉันเลย!! ที่สำคัญอย่ามาเรียกว่าตัวน้อยนะ!! ยัยนมโตโรคจิตชอบโชว์!!”
“จ..ใจเย็นหน่อยนะรีแนน..เราคงต้องไปกันแล้วละคะ ต้องขอโทษที่เด็กคนนี้ทำตัวหยาบคายด้วย ขอให้พระเจ้าคุ้มครองพวกคุณนะคะ”
เมื่อพูดจบซิสเตอร์แองเจล่าก็จูงมือรีแนนและเดินจากไปทันที
“ปกติคุณหม่าม๊านี้ทำแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนเลยเหรอ”
“ก็นานๆทีนะครับ ไหนๆ ได้มีโอกาศจุมพิตไปที่มือผู้หญิงสวยๆ แบบคุณแองเจล่าก็นับว่าไม่เลวเหมือนกันนะครับ”
“ไม่กลัวคุณเจมินี่โกรธเอาเหรอ คุณหม่าม๊า”
“กลัวสิครับ เวลาคุณเจรามี่โกรธ เธอจะน่ากลัวจนคุณคาดไม่ถึงเลยละครับ แต่ตอนนี้เธอกำลังไปหาซื้อของฝากอยู่ คงไม่กลับมาเร็วๆนี้หรอกครับ เพราะงั้นคนที่รู้เรื่องก็มีแต่คุณกับผมเท่านั้น ช่วยกรุณาอย่าบอกเธอด้วยนะครับ”
ไทเอลพูดพร้อมกับเอานิ้วชี้วางไว้ที่ริมฝีปากตัวเอง เพื่อเป็นการบอกเป็นนัยๆให้เก็บไว้เป็นความลับ ทางเทลเองก็ยิ้มแหยงๆ และมองไปที่ด้านหลังของไทเอล.. การที่เทลทำแบบนี้มันทำให้ไทเอลรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เมื่อลองหันกลับไปก็พบกับเจมินี่กำลังหิ้วของเต็มสองมือกำลังส่งยิ้มมาจากไกลๆ พร้อมกับมีเรียและเด็กๆที่ยืนอยู่ด้วย
“ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ..”
“ก็ตั้งแต่หนูทะเลาะกับเด็กคนนั้นแล้วละ ตอนแรกหนูก็กะจะบอกคุณหม่าม๊าอยู่หรอก แต่เหมือนจะไม่มีโอกาศแล้วละมั้ง”
“…..”
ไทเอลเงียบไม่พูดอะไรตอบกลับไป และเมื่อเธอหันกลับไปอีกที ใบหน้าของเจมินี่ที่กำลังยิ้มอยู่นั้นก็มาอยู่ใกล้ๆเธอ โดยที่มีระยะไม่ถึง10เซน. ไทเอลจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆถอนลมหายใจตัวเองอย่างช้าๆ เธอคุกเข่าลงต่อหน้าของเจมินี่ที่กำลังจ้องมองเธออยู่และเนื่องจากชุดที่ดูค่อนข้างวาบวิวทำให้เธอยิ่งตกเป็นเป้าสายตาเข้าไปใหญ่
“ชอบแนวนั้นมากเลยเหรอ? ถึงขนาดกล้าจับมือผู้หญิงมาจูบ แบบนั้นหม่าม๊ายังไม่เคยทำกับแม่เลยนะ..”
“เอ่อ..ก็มีเรื่องอะไรนึดหน่อยเท่านั้นเองครับ ผมเลยต้องทำแบบนั้น ถ้าไม่เชื่อละก็ลองถาม–“
ไทเอลพยามหันไปขอความช่วยเหลือจากเทล แต่เมื่อหันไปตัวเทลนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว เมื่อหันกลับไปมองจุดที่เจมินี่เคยอยู่ ก็พบเทลยืนอยู่กับพี่น้องของตัวเองแล้ว และกำลังปะกบมือเป็นการบอกว่า ขอโทษอย่างเป็นกลายๆ แม้มันจะใกล้ถึงฤดูหนาวแล้วแต่มันกลับรู้สึกร้อนจนเหงื่อออกเต็มไปหมด
“พยามจะลากเด็กๆมายุ่ง เพื่อให้แม่ใจอ่อนเหรอ.. สมแล้วจริงๆ ที่เป็นคนเจ้าชู้จอมกระล่อน.. ขนาดอยู่ในสภาพนั้นยังอุส่าออกลายได้อีก แถมอีกฝ่ายยังเป็นซิสเตอร์ด้วย… ประมาทไม่ได้จริงๆเลยนะ หม่าม๊าเนี้ย”
“จะ..ใจเย็นๆ หน่อยครับ เรื่องนี้ผมอธิบายได้นะ”
“ก็กำลังใจเย็นๆอยู่นี้ไงละ แต่ก่อนหน้านั้นมีเรื่องอะไรจะพูดรึเปล่าเอ่ย?”
“……”
ไทเอลสูดหายใจลึกๆ อีกครั้ง เธอค่อยๆประกบมือทั้งสองไว้ที่หน้าอก จากนั้นก็ก้มหัวลงช้าๆจนจมูกชิดกับนิ้วโป้ง และก็กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ที่ดูสวยงามและอ่อนช้อย ตามแบบตำรากุศสตรีไทย ก่อนที่จะเบล่งเสียงออกมาจากลำคอเพื่อพูดคำๆ หนึ่ง คำๆหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยความหมายและความหวังของเธอที่จะอยู่รอดเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตในวันพรุ้งนี้ต่อไป..
“ขอโทษครับ…”
เธอได้กล่าวมันออกไปท่ามกลางสายตาฝูงชน ทางที่เจมินี่เองก็ทำท่าทางเหมือนจะใจอ่อนลงเล็กน้อย
“ก็รู้อยู่ดีไม่ใช่เหรอว่าท่านอกใจอีกจะโดนอะไรนะ”
“รู้ครับ..”
“เตรียมใจไว้แล้วใช่มั้ย? หม่าม๊า”
“เรื่องนั้น..”
ไทเอลลังเลที่จะพูดออกมา เธอไม่ได้เตรียมใจถึงเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ช่างเถอะ..ตามมาซะ..และอย่าตุกติกละ ไม่งั้นโดนดัดหลังอีกรอบแน่”
“ครับ…”
ไทเอลลุกขึ้นมาและเดินตามหลังเจมินี่ไปอย่างว่าง่าย และมีฝูงชนอีกไม่นานที่เดินตามพวกเธอไปเพราะต้องการเผือก ทำให้ที่นี้ที่ค่อนข้างโล่งอยู่แล้ว กลับโล่งเข้าไปอีก
“ป้ามีเรีย ทำไมหม่าม๊ากับเจมี่ถึงอารมไม่ดีเหรอ?”
“เรื่องนั้น..พวกเขาแค่ทะเลาะกันนึดหน่อยนะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
“จะคืนดีกันไหม?”
“แน่นอนสิจ๊ะ …ป้าคิดว่าน่าจะเร็วๆนี้แหละ”
มีเรียหลบสายตาของดรีมที่จ้องเธอ ด้วยแววตาอันไร้เดียงสา
“ป้ามีเรีย เดี๋ยวหนูขอตัวไปดูชุดเกราะตรงนั้นหน่อยนะ”
“อย่าไปไกลนักละ ป้าจะยืนเฝ้าของอยู่ตรงนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นละก็ตะโกนออกมาเลยนะ”
“รู้แล้วน่า หนูเองก็เรียนรู้เหมือนกันนะ”
เมื่อพูดจบเทลก็วิ่งไปดูชุดเกราะที่ถูกจัดแสดงเอาไว้ มันเป็นชุดเกราะที่เต็มไปด้วยลวดลายสวยงามสีทอง ข้างล่างชุดเกราะเองก็สลักข้อความอะไรบ้างอย่างเอาไว้ ซึ่งเทลอ่านมันไม่ออกแม้จะเป็นภาษาแกรนเทลเองก็ตาม
“แย่จังเลยแหะ รู้งี้น่าจะตามพี่มาด้วย ดันลืมไปซะได้ว่าตัวเองอ่านหนังสือไม่ออกซะได้”
“งั้นให้ฉันช่วยเธอดีไหมละ?”
ในขณะที่กำลังบ่นพึมพำก็ได้ยินเสียงมาจากด้านหลังของเธอ เมื่อหันกลับไปก็พบกับเด็ดหนุ่มผมสีฟ้าหน้าตาดีที่แต่งตัวดูค่อนข้างดูดีมีฐานะ ต่างจากเธอที่เป็นแค่ชุดชาวบ้านธรรมดาทั้วไป
“นายเป็นใคร..”
“ฉันนะเหรอ? ก็แค่เด็กหนุ่มปริศนาที่ผ่านมาทางมาเท่านั้นนะ”
“นายนี้พูดจาน่าดูสกสัยชะมัด…”
“ก็เป็นเรื่องจริงนี้น่า ฉันแค่ผ่านมาตรงนี้มาพอดีและเห็นเธอกำลังจ้องป้ายอยู่ ก็เลยอยากมาช่วยเท่านั้นแหละ”
“งั้นขอรับน้ำใจนั้นไว้ละกันนะ ช่วยอ่านไอ้ป้ายนี้ให้หน่อยสิ”
“นึกว่าจะโดนปฏิเสธแล้วซะอีกนะเนี้ย”
“ฉันไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนที่เต็มใจมาช่วยหรอกนะ แถมฉันก็อยากรู้ด้วยไว้ไอ้เกราะนี้มันมีที่มายังไง เพราะงั้นช่วยอ่านให้ฟังทีสิ คุณเด็กหนุ่มปริศนา”
เทลพูดพร้อมกับประกบมือทำท่าทางขอร้องเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ไม่ต้องขอฉันก็จะอ่านให้อยู่แล้วละ ไอ้เกราะนี้มันมีชื่อว่า’เกราะแห่งเถาวลย์ต้องห้าม’นะ”
“ชื่อมันฟังดูไม่เหมือนของที่ผู้กล้าใช้เลยสักนึดเลยแหะ”
“ก็นะ แต่มันก็เคยเป็นของผู้กล้ายุคแรกใช้จริงๆนี้นะ จะมีชื่อประมาณนี้ก็ไม่แปลกหรอก”
“เข้าใจแล้วละ เล่าต่อสิ”
“มันเขียนไว้ว่า’ผู้กล้าได้รับมันมาจากดันเจี้ยนแห่งป่าต้องห้ามที่ในอดีตเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ประเภทพืชมากมาย ผลของมันคือ เมื่อสวมใส่เกราะนี้ก็จะสามารถควบคุมเถาวลย์ในป่าทุกหนแห่งได้ตามใจนึก’ ก็คงประมาณนี้ละมั้ง”
“ความสามารถมันฟังดูกระจอกไม่สมกับรูปร่างของมันเลยแหะ ทั้งที่เกราะมันดูสวยขนาดนี้แท้ๆ”
“อย่ามาดูถูกเชียวนะ การที่สามารถควบคุมเถาวลย์ในป่าได้ มันได้เปรียบในการต่อสู้ในป่ามาปกว่าที่เธอคิดนะ”
“ยังไงละ? ก็แค่ควบคุมเถาวลย์ได้เฉยๆไม่ใช่รึไง อีแบบนี้มันฆ่าปีศาจได้ซะที่ไหนละ”
“ก็ลองนึกดูสิ สามารถควบคุมเถาวลย์ได้นี้ได้เปรียบเห็นๆเลยนะ ทั้งในเรื่องการพันธะนาการศัตรูเพื่อสร้างจังหวะเข้าไปโจมตี หรือท่าเป็นพวกอ่อนๆ อย่างก็อบลินก็สามารถถูกเถาวลย์รัดคอจนตายได้เชียวเลยนะ แถมยังไม่บอกอีกว่าสามารถควบคุมได้ขนาดไหน บางทีอาจจะใช้เถาวลย์ทั้งหมดในป่าเพื่อโจมตีกองทัพศัตรูจนตายทั้งหมดเลยก็ได้ การเป็นศัตรูกับธรรมชาติน่ากลัวกว่าที่เธอคิดนะ”
“อย่างงี้นี้เอง.. พอฟังนายพูดแล้ว มันดูเจ๋งดีแหะ ไอ้เจ้าเกราะอันนี้นะ”
“แน่นอนสิ ถึงมันจะเป็นแค่ของจำลองก็เถอะ แต่แค่มองก็รู้สึกได้ถึงความขลังของมันแล้วละนะ”
“นี้มันของจำลองหรอกเหรอ.. ฉันก็นึกว่ามันคือของจริงซะอีก”
“มันเป็นของอันตรายนี้น่า จะเอามาโชว์เฉยๆกัน ไม่ได้หรอก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นะ ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่จำลองขึ้นมาทั้งนั้นแหละ”
“ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ แต่ฉันก็อยากเห็นของจริงมากกว่าอยู่ดีนั้นแหละ”
เทลพูดพร้อมกับมองไปที่ชุดเกราะอีกครั้งด้วยความเสียดายเล็กน้อย
“ไม่ต้องเศร้าไปหรอกน่า ที่นี้ยังมีของจริงอยู่นะ ก็อย่างเช่นดาบเล่มนั้นไง”
เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับชี้ไปที่ดาบยาวที่ส่องประกายอยู่ในมุมๆหนึ่ง มันเป็นดาบที่มีสีเงินทั้งเล่มไม่เว้นแม้กระทั้งตัวด้ามเองก็ตามมันไม่มีลวดลายอะไรเลยเป็นแค่ดาบสีเงินเท่านั้น ส่วนฝักนั้นเป็นเพียงฝักดาบธรรมดาไม่ได้มีความเข้ากันกับตัวดาบเลยสักนึด
“นั้นมันดาบอะไรละนั้น?”
“มันคือดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งแกรนเทลเล่มแรกที่ผู้กล้าคิรามิใช้ปราบจอมมารนั้นแหละ”
“เอ๋!! ไอ้ดาบที่ดูธรรมดานั้นอะนะ ดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มแรก!!”
“ใช่แล้วละ แถมยังเป็นของแท้ด้วยนะ ถึงมันจะดูธรรมดาไปหน่อยก็เถอะ”
“งั้นบอกมาหน่อยสิ!! ว่ามันทำอะไรได้!! แยกฟ้าออกจากกันได้!! หรือฟันทีเดียวปีศาจหายไปทั้งกองทัพละ”
เทลถามเด็กหนุ่มด้วยความตื่นเต้น ส่วนทางเด็กหนุ่มเองก็ได้แค่ยิ้มให้กับท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กผู้ชายของเทล
“ก็รู้นะ ว่าคาดหวังอะไร แต่ดาบเล่มนั้นนะ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก มันก็แค่ดาบปกติที่ทำมาจากแร่เงินเท่านั้นเอง”
“ห๊า?”
“ไม่ต้องงงไปหรอก แม้มันจะเป็นดาบปกติแต่มันก็มีผลเอาไว้สู้กับมอนสเตอร์ประเภทโกสได้นะ”
“ไม่ๆๆ แล้วมันจะเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไงละ!! ในเมื่อมันก็เป็นแค่ดาบธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษเลยนะ!!”
“ความพิเศษของมันก็’เคยมี’อยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้ละก็ไม่มีแล้วละ”
“เคยมี? หมายความว่ายังไงละนั้น”
“ก็หมายความตามที่พูดนั้นแหละ ความพิเศษมันจะมีเมื่อต่อเมื่อผู้กล้าคนที่ถูกเลือกได้จับดาบ และผู้ที่สร้างดาบนั้นต้องส่งพลังเข้าไปในดาบเพื่อให้ดาบนั้นมีความพิเศษด้วยละนะ”
“ละ..แล้วไอ้ความพิเศษที่ว่านั้นมันคืออะไรละ!!”
“ตามตำนานมันเขียนไว้ว่า’สามารถปัดเป่าความมืดมิดได้ทั้งปวงด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียว และจะคุ้มครองผู้ที่ผู้เลือกจนกว่า จะบรรลุภารกิจจากสวรรค์’เอาจริงๆ แม้แต่ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกว่ามันหมายถึงอะไรเหมือนกัน เพราะงั้นก็เลยบอกไม่ได้ว่าความสามารถมันคืออะไรกันแน่”
“งั้นเหรอ..แสดงว่ามันเคยมีความสามารถมาก่อนสินะ ถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แค่มันต้องเป็นความสามารถที่พิเศษสุดๆแน่ๆ”
“เธอนี้ดูชอบผู้กล้าน่าดูเลยนะ”
“แน่นอนว่าชอบสิ ก็ผู้กล้านะ ทั้งกล้าหารและปกป้องคนอ่อนแอด้วยนี้น่า ฉันเองก็อยากจะเป็นให้ได้อย่างงั้นบ้างจัง”
“หืม? ฉันก็นึกว่าเธอชอบหน้าตาหล่อๆของผู้กล้าเหมือนผู้หญิงทั้วไปซะอีก”
“อันนั้นก็ชอบนะ แต่ฉันชอบนิสัยและฝีมือของเขามากกว่า ถ้าแค่หล่ออย่างเดียวแต่นิสัยแย่ฉันเองก็ไม่ไหวหรอกนะ”
“งั้นเหรอ..อย่างงี้นี้เอง เป็นผู้หญิงที่แปลกยันเนื้อในจริงๆเลยนะ เธอนะ”
“ก็มีคนอื่นพูดอยู่บ่อยๆ เหมือนกันนั้นแหละ แต่ฉันเองก็ดีใจนะ ถ้าเป็นผู้หญิงปกติฉันคงปกป้องคนที่ฉันรักไม่ได้หรอก”
“อย่างงี้นี้เอง อยากปกป้องคนสำคัญงั้นเหรอ.. งั้นรับนี้ไปสิ”
เด็กหนุ่มยื่นมีดสั้นออกมาให้กับเทล มันเป็นมีดที่ฝักของมันประดับไปด้วยอัญมณีเม็ดเล็กๆ มันดูค่อนข้างมีราคามาก แม้แต่เทลยังรู้ว่ามันมีค่าถึงขนาดไหน
“นายจะบ้ารึไง ขนาดที่ฝักมันยังมีอัญมณีประดับไว้ด้วย ของแบบนี้คงแพงมากแหงๆ ฉันรับมันไว้ไม่ได้หรอก”
“งั้นเหรอ? งั้นถอดฝักมันออกก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่มั้ย?”
เด็กหนุ่มถอดฝักของมีดออกเผยให้เห็นเนื้อในของมันที่ส่องประกายสีขาวบริสุทธิ์
“ที่ฉันบอกว่ารับมันไม่ได้เพราะตัวฝักของมันซะหน่อย แต่หมายถึงมูลค่าของมันต่างหากละ!!”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า มันก็แค่ของถูกๆสำหรับฉันเท่านั้นแหละ ถือซะว่าเป็นของขวัญจากคนที่เป็นแฟนคลับผู้กล้าด้วยกันไง”
“ดะ..เดี๋ยวสิ!! อย่ามายัดในกางเกงฉันนะ!! มันอันตรายไม่ใช่รึไง!!”
เด็กหนุ่มพยามยัดเหยียดมีดเล่มนั้นให้กับเทล ซึ่งวิธีของเด็กหนุ่มนั้นคือการเอามีดมายัดไว้ในกางเกงของเธอ เทลจึงร้องโวยวายออกมาเด็กหนุ่มจึงหยุดและยื่นมันดีๆให้กับเทล
“งั้นก็ยอมรับมันไปซะดีๆสิ”
“ก็พึ่งบอกไปไม่ใช่รึไงว่าไม่เอา”
“ถ้าไม่เอาฉันจะเดินตามเธอไปเรื่อยๆ และยัดเยียดมันแบบเมื่อตะกี้จนกว่าเธอจะรับไว้นั้นแหละ ขอบอกไว้ก่อนนะว่าคนอย่างฉันไม่มีวันพูดล้อเล่นเด็ดขาด”
“ตื้อชะมัดยาด!! ก็ได้ๆ รับก็รับ แล้วอย่ามายัดในกางเกงฉันอีกละ ถ้าทำอีกฉันเอานายตายแน่”
“เข้าใจแล้วละน่า เอ้ารับมันไปซะสิ”
เทลหยิบมีดมาจากเด็กหนุ่มด้วยท่าทีดูไม่พอใจเล็กน้อย ทางเด็กหนุ่มเองก็ทำท่าเหมือนจะพอใจที่เทลยอมรับมันไป
“อ๋ออีกอย่างถึงฉันจะไม่ทราบมูลค่าจริงๆของมันก็ตาม แต่แค่ตัวมีดนั้นก็น่าจะมีมูลค่ามากกว่า20เหรียญทองแล้วละนะ”
“แหงะ..เอาจริงดิ..นายนี้มันลูกคุณหนูชัดๆ มาให้ของมีค่าแบบนี้กับคนที่พึ่งเจอได้ไงเนี้ย”
“ก็แค่รู้สึกถูกชะตากับเธอนึดหน่อยนะ ถ้าให้เรียกง่ายๆ คงอารมประมาณรักแรกพบละมั้ง”
“ฉันว่านายเพ้อหนักแล้วละ แต่ช่างเถอะ รับนี้แทนคำขอบคุณจากฉันไปละกัน”
เทลหยิบมีดพร้อมปลอกเก่าๆ ของตัวเองและยื่นไปให้กับเด็กหนุ่ม
“ดูจากภายนอกแล้ว มันไม่น่าจะใช้งานได้เลยนะ ไอ้เจ้ามีดเล่มนี้เนี้ย”
“นะ..หนวกหูน่า!! อย่าน้อยมันก็ใช้หั้นผักได้ตอนฉุกเฉินละกัน”
“มันต้องเป็นสถานการณ์แบบไหนละนั้น ถึงเอามีดที่ใช้ต่อสู้มาหั้นผักแทนมีดทำครัวนะ”
“เรื่องนั้น..”
“แต่เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้ ฉันขอรับมันไว้แค่ตัวมีดมันก็พอ”
เมื่อพูดจบเด็กหนุ่มก็ดึงตัวมีดออกไปจากฝักทันที และนำมันไปเก็บไว้ในฝักที่ดูหรูหราของตัวเอง เทลรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่มันสามารถเก็บไว้ได้อย่างพอดี เมื่อเธอลองเก็บมีดที่ได้รับมานั้นลงไปในฝักก็พบว่ามันก็สามารถใส่ได้อย่างพอดีอย่างน่าประหลาด
“ถึงจะยังไงก็เถอะ พอมีดหรูๆมาเก็บไว้ในฝักกากๆของฉันแล้วมันรู้สึกประหลาดยังไงชอบกลแหะ”
“แต่มันก็ใส่ได้พอดีไม่ใช่รึไง ขนาดดาบที่ใกล้จะพังของเธอยังใส่เข้าไปในฝักของฉันได้อย่างพอดีเชียวนะ ไม่แน่มันอาจจะสร้างมาโดยใช้ฐานแบบเดียวกันก็ได้ ถึงสภาพของมันจะต่างกันคนละขั้วก็เถอะ”
“ก็จริงของนายละมั้ง.. อ๊ะ!! ลืมแนะนำตัวไปเลย ฉันชื่อเทลนะ แล้วนายละคุณเด็กหนุ่มปริศนา”
“ชื่อของฉันงั้นเหรอ…นั้นสินะ ถ้าเธอฟังชื่อของฉันบางทีเธออาจจะเข่าอ่อนเลยก็ได้นะ”
“ชื่อของนายเป็นคาถาของพวกแม่มดรึไง พอฉันฟังแล้วถึงต้องเข่าอ่อนนะ รีบๆบอกมาซะ ลีลาเยอะซะจริงนะนาย”
“หึๆๆ ฟังไว้ให้ดีๆละ ชื่อของฉันก็คือ–“
“เทล!! อยู่นี้นี้เองตามหาแทบ–อี้!!!”
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดจบเรย์ก็ปรากฏตัวขึ้นมา เพื่อตามหาน้องสาวเธอ แต่เมื่อเด็กหนุ่มหันไปมองเธอ เรย์ก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวทันที แม้เด็กคนนั้นจะอ่อนกว่าเธอก็ตาม
“โทษทีนะ ฉันต้องไปแล้วละ เอาไว้เจอกันนะ คุณเด็กหนุ่มปริศนา”
“เดี๋ยวสิ!! แล้วชื่อของฉันละ!!’
“เรื่องนั้นไว้เจอกันครั้งหน้าค่อยมาบอกละกัน และก็ขอบคุณสำหรับมีดนี้ด้วยนะ ไปละ”
เทลรีบวิ่งไปหาเรย์ที่กำลสั่นด้วยความกลัวและพาเธอไปหลบอย่างรวดเร็วทันที โดยทิ้งเด็กหนุ่มที่พยามจะบอกชื่อของตัวเองให้กับเทลทราบ
“ไม่ทราบว่าโดดเรียนช่วงเช้ามาทำอะไรที่นี้เหรอคะ?”
“ฟะ..เฟท!!”
เด็กที่ฟังดูคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลังของเด็กหนุ่ม เมื่อเขาหันไปก็พบกับผู้หญิงในชุดเกราะที่ดูหรูหรา เธอมีดวงตาสีแดงเข้มราวกับเลือดเหมือนกับสีผมของเธอ เธอมีใบหูเช่นเดียวกับเผ่าสุนัขทั้วไป และต้องใส่แว่นเอาไว้เพราะสายตาที่ค่อนข้างแย่ของเธอ แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่ทำให้ฝีมือด้านดาบของเธอตกลงเลยแม้แต่น้อย
“ใช่แล้วละคะ ฉันเอง ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก.. ฉันคิดว่าจะกลับแล้วละ ขอบคุณที่มาตามนะ”
“ทางกลับวังอยู่ทางนั้นต่างหากคะ”
“เหวอ!!”
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้เดินไปไหน เขาก็ถูกจับคอเสื้อจนลอยและพาเดินไปอีกทาง
“เดี๋ยวสิเฟท!! ฉันเดินเองได้นะ!! ให้ฉันได้เดินเองเถอะ!!”
“ไม่ได้ค่ะ ขืนปล่อยให้ท่านเดินเองคงใช้จังหวะที่ฉันเผลอหนีเข้าไปหลบในฝูงชนอีกแน่นอน”
“ไม่ทำหรอกน่า!! ฉันเองก็โตมาจากตอนนั้นตั้งเยอะแล้วนะ”
“ขอโทษทีนะคะ ไอ้ตอนนั้นที่ท่านพูดถึงมันเมื่ออาทิตย์ก่อนเองไม่ใช่เหรอคะ? แถมยังขโมยแว่นฉันหนีไปด้วยอีก รู้ไหมว่ามันลำบากแค่ไหนสำหรับคนที่สายตาไม่ดี ที่ต้องใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีแว่นนะ”
“ก็ขอโทษไปแล้วไง!! ใครจะไปคิดละ ว่าเธอจะลื่นขี้หมาในเมืองจน–โอ๊ยย!!”
เฟทใช้มืออีกข้างมะเงกไปที่หัวของเด็กหนุ่มทันทีก่อนที่เข้าจะพูดจบ
“นี้เธอกล้าเขกหัวฉันเรอะ!! ฉันเป็นเจ้านายเธอนะ!!”
“เจ้านายของฉันคือพระราชาต่างหากละคะ ไม่ใช่ท่าน”
“ถึงอย่างงั้นการที่หล่อนกล้ามาเขกหัวลูกของเจ้านายตัวเองมันก็ผิดอยู่ดีนั้นแหละ!!”
“พระราชากับพระราชินีพวกท่านทรงเห็นชอบกับเรื่องนี้แล้วคะ และก็ทรงมีกระแสรับสั้งมาด้วย ให้ฉันมีอำนาจจัดการกับท่านได้เต็มที่ ท่านเจ้าชายลำดับที่3 คาซิส แกรนเทล ทีนี้พอจะเข้าใจสถานะตัวเองขึ้นมาบ้างรึเปล่าคะ?”
“งั้นโชคร้ายหน่อยนะ เธอจับผิดคนแล้วละ!! ฉันไม่ใช่ คาซิส หรือ เจ้าชายลำดับที่3 หรอก!! แต่เป็นเด็กหนุ่มปริศนาต่างหากละ!!”
“…..”
เฟทไม่ได้พูดตอบโต้อะไรคาซิส สิ่งที่เธอทำก็แค่มองเขาด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนที่เธอทำตามปกติ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่อยู่ตรงเอวและหยิบสิ่งๆหนึ่งขึ้นมา
“อยากได้โพชั่นขวดนี้ไหมคะ?”
“ฉันไม่ได้ป่วยซักหน่อย!! เก็บไปเลยนะ ยัยหมาบ้าหน้าตาย!!”
“คนที่ป่วยทุกคนก็พูดอย่างงี้แหละคะ กว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว ได้โปรดดื่มเพื่อรักษาเบื้องต้นไปก่อน เดี๋ยวพอกลับถึงวังฉันจะตามหมอหลวงมาให้แน่นอนคะ ไม่ต้องห่วงฉันจะอยู่เคียงข้างท่านแน่นอน ต่อให้ท่านกลายเป็นไอ้โง่ที่โง่ลงกว่าเดิม ที่ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ อยู่บนเตียงก็ตาม ฉันก็จะตามปกป้องไอ้โง่คนนั้นอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
“นี้หล่อนหลอกด่าฉันนี้หว่า!! เธอจงเกลียดจงชังฉันมาจากไหนเนี้ย!! ฉันเคยไปเผาบ้านเธอรึไง!!”
“ขอโทษคะ เผอิญหลุดความนึดหน่อยเท่านั้น หวังว่าท่านคงไม่โกรธนะคะ”
“นี้หล่อน… แต่เอาเถอะ ถ้าอยากขอโทษฉันละก็ปล่อยฉันลงซะสิ”
“กรุณาดื่มโพชั่นนี้และก็ไปนอนฝันไปเถอะคะ ว่าฉันจะทำอย่างงั้นนะ”
เฟทพูดพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับคาซิส สุดท้ายแล้วไม่ว่าคาซิสจะพยามโวยวายยังไง เขาก็ถูกเฟทลากกลับวังไปอยู่ดี ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม