“เจ็บตรงไหนบอกมาดิ”
ผมเอ่ยถามเด็กหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้าที่ดูปกติดีไม่มีอะไร ก็แค่ชุดดูขาดไปนึดหน่อยเท่านั้น
“เอ่อ..คะ..คือ..ว่า”
“ไม่เจ็บก็ไสหัวไป!! คนเขาต่อคิวกันเยอะแยะ ไม่เห็นรึไง? นี้มันโต๊ะของฮิลเลอร์นะโว้ย!! ไม่ใช่ห้องสอบจะนึกห่าอะไรเยอะแยะ!!”
“เอ่อ..คือว่า..ผมโดนพวกมอนสเตอร์โจมตีที่แขนข้างซ้ายนะครับ ตอนนี้มันเลยไม่รู้สึกอะไรเลย แถมยังขยับมันไม่ได้ด้วย พอจะรักษาได้ไหมครับ”
เขายื่นแขนที่กลายเป็นสีม่วงทั้งแขนให้ผมดู ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี้หว่า
“อืมคงชำหน่อยๆละมั้ง ลองไปหาซิสเตอร์ตรงโน้นให้เขาเอาน้ำมนต์ราดแล้วก็ให้เขาสวดมนต์ให้เอาละกัน เผื่อแผลจะหายเองตามธรรมชาติได้”
“เอ๋!! แต่แขนของผมมันขยับไม่ได้แล้วนะครับ”
“นั้นคงเพราะนายเผลอนอนทับแขนตัวเองจนชาละมั้ง ก็เลยขยับไม่ได้นะ ลองสวดมนต์แล้วก็นอนพักเอาเดี๋ยวก็หายเองแหละน่า”
“เดี๋ยวสิครับ!! คุณเป็นฮีลเลอร์ไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยก็ควรร่ายเวทรักษาหรืออะไรบ้างสิ!!”
“เด็กหนุ่มเดี๋ยวนี้ ช่างไม่มีความอดทนเอาซะเลย แค่แผลแค่นี้ถึงกับต้องใช้เวทรักษาเลยรึไง แค่ดื่มน้ำมนต์ก็พอแล้วน่า หัดมีศรัทธาในเทพธิดาหน่อยสิ”
“ไม่ใช่ไม่มีความอดทนและมันก็ไม่เกี่ยวกับท่านเทพธิดาด้วย!! แต่คุณควรรักษามันเดี๋ยวนี้!! ไม่งั้นผมจะร้องเรียนท่านบารอนแน่ ว่าคุณปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบนะ!!”
“ชิ!! แม่งขี้ฟ้องชิบหาย..เออๆๆ ก็ได้ๆ [Heal]!!! เสร็จละ พอใจยัง?”
ผมร่ายเวทรักษาใส่แขนของเขา แขนของเขาก็กลับมาเป็นสีเนื้อตามปกติทันที
“สะ..สุดยอด แขนที่ไม่มีความรู้สึกเมื่อกี้กลับมารู้สึกอีกครั้ง นี้มันเยี่ยมซะยิ่งกว่าฮีลของหลวงพ่อซะอีก”
“เออ!! จะชมอะไรก็ไปชมตรงโน้นไป๊!! คนเขายิ่งรีบๆอยู่!! มาเกะกะอยู่ได้”
“คะ..ครับ!!”
เด็กหนุ่มวิ่งจากไปทันทีเมื่อแขนของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว ก็แค่นี้แหละจะมาบ่นอะไรนักหนาน่ารำคาญชิบเป๋ง ก็แค่แขนไม่มีความรู้สึกจะอะไรนักหนาแขนไม่ได้ขาดซักหน่อย
อ๋ออีกอย่างตอนนี้ผมอยู่ในสภาพชายชราร่างเล็กละ ตอนเช้าที่นัดเจอกันก็เจอไอ้หัวทางม้าลายดักอยู่ตรงแต่เช้ามืด เหมือนหมอนั้นจะมีความรู้เรื่องเวทมนต์แปลงกายก็เลย เสกให้ผมเป็นชายแก่หนวดเฟื้อมอะนะ นอกจากหล่อและรวยแล้วยังมีความสามารถเรื่องเวทมนต์อีก น่าโมโหชะมัด ทั้งๆที่แม่งเป็นแค่โลลิค่อนแท้ๆ….
ช่างเรื่องของหมอนั้นมันละกัน หลังจากที่มาโบสถ์ผมก็ตั้งโต๊ะสำหรับรักษาแบบฉุกเฉินเพื่อเตรียมรักษาพวกที่ได้รับบาดเจ็บ แต่เหมือนจะได้รับความนิยมกว่าที่คิดแถวยาวเหยียดจนเกือบล้นออกไปนอกโบสถ์เลยทีเดียว ขนาดคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมพอได้ยินว่ารักษาฟรีกับฮิลเลอร์ยังแห่มารักษาฟรีกันเลย มีทั้งรักษาอาการปวดไหล่ คอเคล็ด รักษาแผลมีดบาดลึก น้ำแข็งกัดเท้า กระทั้งรักษาเล็บขบก็ยังมา..ไอ้พวกนี้แม่ง… ทั้งๆที่ตรงโต๊ะนี้เอาไว้สำหรับรักษาพวกที่ออกไปสู้ที่ออกไปสู้กับพวกมดยักแท้ๆ แต่ไหงพวกแนวหน้าถึงยังไม่กลับมาสักกะตัวเลยฟะ ปล่อยให้ให้พวกนี้มาใช้สิทธิ์ทับอยู่ได้ มันสู้สบายนักรึไงวะ ไอ้มอนแร๊งBเนี้ยถึงได้ไม่มีใครบาดเจ็บกลับมาเลย น่าหงุดหงิดชะมัดยาด อีแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเปิดคลีนิกรักษาทั้วไปเลยนี้หว่า
“คนต่อไปเชิญครับ”
“คะ..ค่ะ”
หญิงสาวอีกคนเดินด้วยท่าทางเก้ๆกังๆและค่อยๆเดินมานั้งตรงโต๊ะ ที่ผมประจำอยู่ เธอเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้าที่ดูเรียบร้อย..แจ่มไม่เลวเลยแหะ นานๆทีก็มีของดีๆโผล่มาบางนี้นะ
“เป็นอะไรมาละครับ? คนสวย”
“คือหนูโดนพวกหนูท่อกัดมานะคะ แม้จะรีบดึงออกแล้วก็เถอะ..แต่แขนเองก็เป็นแบบนี้ซะแล้วละค่ะ”
เธอยื่นแขนขาวๆ มาทางผมมันมีรูปที่เหมือนคนโดนเอามีดคัตเตอร์ปักลงไปและกรีดมันเป็นแนวยาว..นี้ดึงออกอีท่าไหนกันเนี้ย ถึงได้เป็นแผลแบบนี้เนี้ย.. แต่ช่างเถอะ แบบนี้มันก็ดีเหมือนกันละนะ
“นี้มันบาดแผลร้ายแรงมากเลยนะ แบบนี้คงติดเชื่อหากไม่รีบรักษาละก็…..ไม่สิ..แผลแบบนี้แม้แต่ผมเองก็เกินมือไปแล้ว..ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“เอ๋!! แต่หนูโดนพวกนั้นกัดแค่นิดเดียวเองนะคะ!! แถมคนเมื่อกี้เป็นหนักกว่าหนูคุณลุงยังรักษาได้สบายเลยนะคะ”
“ไม่หรอก คุณอาจจะไม่รู้ตัว แต่ในฐานะที่ผมทำงานด้านนี้มามากกว่า30ปี จุดที่คุณโดนกัดมันใกล้กับเส้นประสาทมากซึ่งเป็นจุดสำคัญ หากไม่รีบรักษาด้วยวิธีการพิเศษคุณอาจจะสูญเสียแขนข้างนี้ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้”
“มันหนักถึงขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ!!”
“ใช่แล้วละครับ หลายๆชอบละเลยบาดแผลเล็กๆ จนปล่อยให้มันลุกลามไปทั้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คุณทำตามที่ผมแนะนำ คุณก็กลับมาเป็นปกติแล้วละ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยอมทำรึเปล่านี้สิครับ”
“ทำค่ะ!!! ไม่ว่ายังไงหนูก็จะทำค่ะ!!”
“งั้นเหรอครับ..ท่างั้นก่อนอื่นช่วยถอดชุดเกราะนั้นออกหน่อยได้ไหมครับ”
“มะ..มันเกี่ยวอะไรกับการรักษาเหรอค่ะ คุณลุง?”
“คือผมจะทำพิธีเขย่าพลังเวทเพื่อรีดพลังชีวิตออกมาให้ได้มากที่สุดเพื่อเสริมพลังในการรักษา หากคุณใส่ชุดเกราะหรืออะไรที่เป็นเหล็กมันจะขัดขวางวงจรพลังชีวิตในร่างกายได้..เพราะฉะนั้นช่วยถอดมันออกมาหน่อยได้ไหมครับ”
“อย่างงี้นี้เอง!! เข้าใจแล้วละคะ!!”
เธอค่อยๆถอดชุดเกราะที่ตีขึ้นรูปเป็นสองเต้าสำหรับคนหน้าอกใหญ่ แม้จะดูกระตุกกระตักไปบ้างแต่มันก็มองได้ทั้งวันเลยละนะ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เมื่อถอดชุดเกราะออกมาก็เผยให้เห็นหน้าอกขนาดคัพFของเธอที่แน่นอยู่ในเกราะ.. สะ..สุดยอด!! สมกับที่ได้ฉายาก้อนเนื้อเดินได้จริงๆ!! ดูสิ!! เด้งได้เด้งดีเลย ของแรร์นะเนี้ย!!
“ทีนี้ลองกอดตัวเองโดยให้แขนอยู่ใต้หน้าอกด้วยนะครับ”
“แบบนี้เหรอคะ?”
หน้าอกเหล่านั้นถูกดันขึ้นมาตามแรงของตัวเธอเอง..นี้มันเยี่ยมจริงๆ
“ทีนี้ช่วยเขย่าตัวทั้งๆอย่างงั้นด้วยครับ”
“ทำไมเหรอคะ คุณลุง”
“พลังเวทและพลังชีวิตคนเราจะถูกกักเก็บเอาไว้ส่วนบนสุดนะครับ หากคุณเขย่าตัวไปมาในท่านั้นพลังเวทมันจะกระจายไปทั้วร่างกายและมันจะทำให้ผมรักษาง่ายขึ้น หากยิ่งใส่แรงและยิ่งถี่มันจะยิ่งได้ผลดีขึ้นด้วยนะครับ”
“งะ..งั้นเหรอคะ..เป็นวีธีรักษาที่แปลกจังเลยนะคะ”
“หากคุณไม่ทำก็ไม่เป็นไรนะ ทางนี้เองก็ไม่ได้เดือดร้อนหากคุณจะเสียแขนไปหรอกนะ ยังไงซะไม่ว่าผมจะรักษาหรือไม่สุดท้ายผมก็ได้รับเงินอยู่ดี”
“กะ..ก็ได้ค่ะ..ฉันจะทำค่ะ!!..ฮิบ!!”
เ ธอเขย่าตัวอย่างแรงหน้าอกของเธอกระเพื่อมไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก
“แรงขึ้นไปอีกครับ!!”
“ค่ะ!!!”
“นี้มันยังใช้ไม่ได้เลยนะครับ!! เขย่าให้มันแรงกว่านี้หน่อยสิ!!”
“ค่า~!!!”
หน้าอกกระเพื่อมอย่างรวดเร็วจนตาของผมนั้นมองแทบไม่ทัน สมแล้วจริงๆที่เป็นพวกนักรบเกราะหนักพลังเหลือล้นจริงๆ แบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วสินะ
พับๆๆๆๆๆ
อีกนึด!!
พับๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อีกนึดเดียวเท่านั้น!! อีเว้นนั้นจะปรากฏแล้ว!!
พับๆๆๆๆ แกร๊ก!!!
“เอ๋?”
เสียงบางอย่างดังขึ้นมาในจังหวะเสี้ยววินาทีผมก็พุ่งตัวออกไปทันทีโดยไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย มือของผมคว้าไปที่หน้าอกของเธอที่ตอนนี้ไร้การป้องกันจากสิ่งประดิษที่น่ารังเกียจอย่างบรา มือของผมนั้นประทับไปที่หน้าอกของเธอโดยผ่านเสื้อบางๆเท่านั้น
“กะ-“
“ความปราถนาแห่งข้า การรักษาทั้งหมดจงเป็นผล[Heallllllllllllll]!!!”
ก่อนที่เธอจะได้กรื้ด ผมก็ตะโกนสุดเสียงและใส่พลังเวทไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แสงสว่างจากพลังเวทของผมนั้นส่องประกายไปทั้วห้อง ทำให้ผู้คนต่างตื่นตกใจ จนแม้แต่ตัวผมเองยังตกใจเลยด้วยเหมือนกัน.. แต่ก็ดีแล้วละนะ ที่มันดึงดูดความสนใจได้นะ
“แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วละครับ เป็นยังไงบ้าง? รู้สึกเจ็บตรงไหนอีกรึเปล่าครับ”
“เอ่อ..อะ.เอ๋??”
เธอสำรวจไปร่างกายของตัวเองอย่างละเอียด หลังจากที่สตันไปเพราะแสงสว่างเมื่อกี้
“สะ..สุดยอด ขนาดอาการเจ็บไหล่ยังหายเป็นปลิดทิ้งเลย..แถมแผลยังหายไปด้วย”
“นั้นแหละครับ ผลลัพธ์จากการทำพีธีเขย่าพลังเวท”
“นี้มันสุดยอดมากๆเลยค่ะ!! ตอนแรกหนูก็นึกว่าโดนหลอกลวนลามซะอีก แต่หนูคิดผิดไปจริงๆด้วย!!”
“การที่ผมต้องจับหน้าอกคุณก็เพราะจุดนั้นมันเปี่ยมไปด้วยพลังเวทต์นะครับ ต้องขอโทษด้วยที่ต้องจับโดยไม่ได้รับอนุญาติด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ!! หนูไม่ว่าอะไรหรอกคะ คุณลุงทำเพื่อรักษาหนูนี้น่าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีซักหน่อย”
“ขอบคุณที่เข้าใจครับ นอกจากคุณเป็นสาวสวยแล้วยังใจดีอีก ผมขอให้เทพธิดาแห่งแสงคุ้มครองคุณนะครับ”
“เช่นกันคะ หนูไปก่อนนะคะ คุณลุง”
“เอาไว้เจอกันใหม่นะครับ”
“ค่ะ!!”
ผมลาเด็กสาวคัพFสุดน่ารัก…ดูเหมือนเธอลืมไปแล้วสินะว่าตะขอบราเธอมันแตกไปแล้วนะ แต่หน้าอกของเธอสุดยอดจริงๆแหะ ทั้งนุ่มและแน่นสุดๆ แม้จะสัมผัสการมีอยู่ของส่วนหัวไม่ได้แต่มันก็โอเคแล้วละ.. แต่ไม่คิดเลยนะเนี้ยว่าไอ้ละครตบตาโง่ๆแบบนั้นมันจะได้ผลด้วย ได้มุขใหม่ไว้ใช้แล้วสิ
“คนต่อไปเชิญ…”
หญิงสาวคนถัดไปนั้งลงทันทีที่ผมพูดจบ เธอมีหน้าจาที่สวยงามและใส่ชุดเกราะบิกินี่และบวกกับผิวสีแทนผมสีทองทำให้เธอดูเซ็กซี่เข้าไปอีก เรียกได้ว่าเป็นสาวสวยสไตล์พี่สาวขี้แกล้งละนะ…แต่หน้าอกของเธอขาดแคลนชะมัด ท่าไม่ใส่เกราะบิกินี่ที่เปิดให้เห็นส่วนโค้งเว้าของเธอละก็ ผมคงนึกว่าเธอเป็นเด็กหนุ่มหน้าสวยไปแล้วละนะ
“ขอบอกไว้ก่อนนะตาแก่ ฉันไม่ยอมโดนนายหลอกเหมือนเด็กสาวคนตะกี้หรอกนะ”
“ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอตั้งแต่แรกแล้วละยัยหนู ทางนี้เองก็สนใจแต่ของใหญ่ๆ ไม่สนกระดานซักผ้าแบบเธอหรอกนะ”
“พูดแบบนั้นหมายความว่าไงห๊า!! ตาแก่!!”
ก็แหม ผมไม่ชอบสาวแนวพี่สาวอกแบนนี้น่า แถมยังมีผิวสีแทนอีกทำเอานึกถึงพวกภูติดำเลย อีแบบนี้ผมไม่มีอารมหรอกนะ
“[Heal]”
“เอ๋??”
ผมร่ายเวทรักษาให้เธอทันทีโดยไม่ทันให้เธอตั้งตัว เหนื่อยชะมัดยาด
“เสร็จละ”
“เดี๋ยวสิ!! นายยังไม่ถามว่าฉันเป็นอะไรเลยนะ!!”
“ก็มันไม่จำเป็นนี้ แค่นี้ฉันก็รักษาเธอหายแล้วละ เชิญกลับไปนอนตีพุงนอนอยู่บ้านได้แล้วไป๊”
“ห๊า!! จะเป็นแบบนั้นได้ไง!! ดูแผลข้างหลังฉันสิ!! มันเป็นแผลเบ้อเร่อเลยนะ แค่ฮิลอย่างเดียวมันพอที่ไหนละ!!! แถมยังรักษาไม่ตรงจุดด้วย!! คิดว่าฉันโง่รึไง!!”
เธอหันหลังมาให้ผมดู มันเป็นแผ่นหลังที่เล็กแต่มันก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ก็นับว่าเป็นแผ่นหลังที่ไม่เลวละนะ
“ไหนละแผล?”
“เอ๋?”
“จะมาเอ๋อะไร ท่าแผลหายแล้วก็ไปไกลๆได้แล้ว ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกนะ คนยิ่งยุ่งๆอยู่”
“อะ..อืม”
เธอยอมจากไปแต่โดยดี โดยที่ไม่พูดอะไร ก็นะอุส่าโวยวายเรื่องแผลซะขนาดนั้นแต่พอพบว่าตัวเองไม่มีแผลแล้วก็เงิบเป็นธรรมดา
“คนต่อไป”
“ครับ..”
คราวนี้เป็นผู้ชายอีกคนสินะ เฮ้อ~ เมื่อไหร่สาวสวยนมโตที่หลอกง่ายๆแบบเด็กคนนั้นจะมาอีกนะ รู้งี้น่าจะเขียนไว้บนโต๊ะว่ารับเฉพาะสาวสวยนมโตก็น่าจะดีแหะ
.
.
.
.
“ท่าทีแบบนั้นมันอะไรกันค่ะ!! คุณกราฟ!!”
หล้งจากที่ผมรักษาคนจนหมดแล้วซิสเตอร์ที่ควรประจำอยู่ที่เตียงคนบาดเจ็บสาหัสก็ลุงขึ้นมาต่อว่าผม
“อะไรอีกละ ผมก็แค่รักษาของผมตามปกติเองนะ”
“รักษาปกติอะไรของคุณกันค่ะ!! คุณก็แค่หาโอกาศลวนลามผู้หญิงโดยอ้างท่านเทพธิดาแห่งแสงเท่านั้นเอง”
“แล้วไงอะครับ? อย่างน้อยผมก็รักษาพวกนั้นหายละกัน แถมพวกนั้นเองก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วย เธอจะมาเดือดร้อนอะไรด้วยละ”
“ก็จริงอยู่ที่ความสามารถของคุณเป็นของจริง แต่การที่คุณทำให้นามของท่านเทพธิดาของแปดเปื้อน มันเป็นสิ่งที่ฉันยอมรับไม่ได้ค่ะ!!”
“ไม่เอาน่า เรื่องแค่นี้ก็ช่วยหยวนๆกันหน่อยเถอะ แค่นี้ไม่ทำให้นามของเทพธิดาแปดเปื้อนได้หรอกนะ”
“คุณนี้มันน่าเกลียดที่สุด!! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณเองก็เป็นสาวกเช่นเดียวกับเรา คนอย่างคุณคงเป็นประเภทที่ไม่ค่อยได้อ่านคำสอนสิท่า ถึงได้ไร้ศรัทธาถึงขนาดนี้”
“เห็นแบบนี้ฉันก็รู้เรื่องคำสอนดีนะเออ จะมาลองวัดกันก็ได้นะ ถ้าไม่กลัวแพ้อะนะ”
“กล้าท้าทายคนที่อยู่กับคนที่อุทิศต้วให้ก้บศาสนางั้นเหรอค่ะ? คุณนี้มันนอกจากดูโง่แล้วยังบ้าด้วยอีกเหรอค่ะ”
“โอะๆ นี้เธอกลัวงั้นเหรอ? ยังไงเธอก็พึ่งอายุ15แถมยังเป็นแค่ซิสเตอร์ฝึกหัดด้วย จะไม่มั้นใจก็แปลกนี้นะ”
“….ก็ได้ค่ะ!! ฉันจะทำให้คุณสำนึกในคำสอนเอง ต่อให้คุณร้องไห้ก็ไม่หยุดหรอกนะคะ!!”
“คร้าบๆ ถ้างั้นมาเริ่มที่….”
.
.
.
.
“ยะ..ยอมแพ้ค่ะ”
“อะไรกันจบแล้วรึไง? นี้มันพึ่งถึงข้อควรปฏิบัติของซิสเตอร์ที่พึ่งกระทำข้อที่46เองนะ ยังเหลืออีกตั้ง104ข้อเชียวนะ ไหนจะเรื่องเนื้อหาในพระคัมภีทั้ง8เล่มอีก”
“ใครจะไปจำได้หมดกันละค่ะ!! นั้นมันวิชาระดับสูง คนที่พึ่งศึกษาแบบจริงจัง ได้เพียง5ปีอย่างฉันไม่มีทางจำมันได้หมดหรอกค่ะ!!”
“พูดอะไรนะ ข้อปฏิบัติพวกนี้ใช้เวลาจำแค่3วันก็พอแล้ว นี้มันของที่เธอต้องใช้ในชีวิตประจำวันของเธอนะ หัดจำครบถ้วนหน่อยสิ แบบนี้ในอนาคตเธอไม่มีวันสอบเลื่อนขั้นเป็นซิสเตอร์เต็มตัวได้หรอกนะ ซิสเตอร์ฝึกหัดมิแกล”
“อุก..พอโดนคนอย่างคุณพูดตอกแบบนี้มัน..”
เธอแสดงสีหน้าที่ดูเจ็บใจออกมาอย่างชัดเจน ก็นะ ท่าเป็นเรื่องคำสอนหรือข้อปฏิบัติมีเรียรู้หมดนั้นแหละ ก็เธอใช้เวลาศึกษามันไปเยอะพอสมควรเลยนี้น่า ถึงตอนนี้จะกลายเป็นคนไร้ศรัทธาเช่นเดียวกับผมเองก็เถอะ.. แต่พอเห็นชุดซิสเตอร์แล้วนึกถึงคุณแองเจล่าชะมัด
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเรียอยากเล่นอะไรแผลงๆ ละก็เธอคงไม่กลายเป็นแบบนั้นหรอก….แต่คงไม่เป็นไรแล้วละมั้ง ยังไงเธอก็คงมีความสุขกับเด็กคนนั้นอยู่ หวังว่าพวกเธอจะกลับมาเป็นคนปกติกันได้นะ โดยเฉพาะซิสเตอร์แองเจล่า ผมละสกสารเธอจริงๆ
“ฮ่าๆๆๆ ยอดเยี่ยมมากเลยนะครับ คุณกราฟ ไม่น่าเชือเลยว่าคุณจะสามารถเอาชนะมิแกลในเรื่องคำสอนของท่านเทพธิดาแห่งแสงได้ คุณนี้ช่างวิเศษจริงๆเลยนะครับ”
ชายหนุ่มอีกคนที่ดูมีอายุ30ต้นๆ เขามีหน้าตาที่หล่อเหลาเอาการ แต่เขาก็ไม่ใช่คนหล่อที่ผมเกลียด ท่าถามว่าทำไมละก็ คงเพราะผมของเขาโล้นเลี่ยนกลางกระหม่อมเหลือเพียงผมด้านข้างเท่านั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ ที่ต้องมาสูญเสียผมในตอนอายุแค่30ปีกว่าๆเท่านั้น แถมยังทำผมทรงบาโค้ตอีก พอเห็นผมของเขาทีไรผมก็รู้สึกสกสารเขาจับใจจริงๆ ทั้งที่ยังไม่ขึ้นเลข40แท้ๆ แต่กลับต้องบอกลารากผมเสียแล้ว
“เรื่องเล็กน้อยนะครับ ท่านบาทหลวง ในอดีตผมมีโอกาศได้ศึกษาเรื่องแบบนี้อย่างจริงจังเท่านั้นเอง ก็เลยอยากจะฆ่าเวลาบวกกับสั้งสอนซิสเตอร์ฝึกหัดไปด้วยนะครับ”
“แต่ถึงอย่างงั้นคุณก็ยังยอดเยี่ยมอยู่ดีนั้นแหละครับ ถึงขั้นรู้ข้อปฏิบัติของพวกซิสเตอร์ได้หมดก็สุดยอดมากแล้วละครับ ขนาดผมเองบางข้อผมก็ยังลืมไปแล้วเลย”
“ก็ผมอยากรู้นี้ครับว่าพวกซิสเตอร์สาวๆ ใช้ชีวิตกันยังไง ก็เลยมุ่งมั้นศึกษามากเกินไปหน่อยจนจำได้ขี้นใจไปแล้วละครับ ช่างเป็นเรื่องน่าอายจริงๆ”
“ไม่หรอกครับ บางทีคนเราก็ต้องการแรงกระตุ้นเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ แม้เป้าหมายนั้นอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ดีแฝงอยู่ แต่พระเจ้าต้องให้อภัคคุณแน่นอนครับ”
“ก็ขอให้เป็นแบบนั้นนะครับ”
อ่า…อย่างที่คิดเลย อยู่กับพวกนี้อึดอัดจังเลยแหะ แม้จะแกล้งซิสเตอร์ฝึกหัดคนนี้ฆ่าเวลาได้ก็เถอะ แต่มันก็ว่างอยู่ดีนั้นแหละ คนเจ็บหายไปไหนกันหมดนะ เมื่อกี้ยังยกขโยงกันมาเพียบเลยแท้ๆ… ว่างจังเลยแหะ แถมยังเบื่อด้วย เมื่อไหร่ก้าก้าจะกลับมาจากแนวหน้ากันนะ ถึงจะรู้ว่าเธอเก่งก็เถอะ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดีนั้นแหละ
.
.
.
.
.
“อ๊าก!!!”
“เซ็ฟ!!”
ทหารคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ที่แขนของเขาถูกกัดโดยมดที่มีขากรรไกรขนาดใหญ่ที่พอจะตัดแขนเขาได้ แต่เนื่องจากเกราะตรงส่วนแขนของเขาช่วยป้องกันเอาไว้ แต่ด้วยแรงของขาไกรกรรที่บีบเข้ามามันทำให้ตรฝส่วนนั้นบุบจนบีบแขนของเขาไปเรื่อยๆ
“ปล่อยเซ็ฟเดี๋ยวนี้นะโว้ย!!!”
เขาพยามเอาหอกแทงไปที่บริเวณส่วนหัวของมันแต่ไม่ว่าจะแทงไปซักกี่ครั้ง ก็ไม่อาจแทงมันเข้าได้อยู่ดี
“ไอ้โง่เอ๊ย!! หลบไป!!”
“โอ๊ย!!”
ชายร่างใหญ่คนหนึ่งผลักทหารหนุ่มออกไป และง้างค้อนเหล็กขนาดใหญ่เพื่อเตรียมทุบไปที่หัวของแมลงตัวนั้น
“ย้ากกกกกก!!!”
พลั้ก!!!
“กี้~!!!’
เปลือกของแมลงที่แข็งแกร่งนั้นถูกทุบจนแหลกละเอียด ค้อนนั้นตีทะลุส่วนหัวของมันเข้าไป มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนหงายท้องและแน่นิ่งไป
“พาไอหนุ่มนั้นกลับไปที่เมืองซะ”
“ขะ..ขอบคุณครับ!! ไปกันเถอะเซ็ฟ”
ทหารแบกร่างของเพื่อนกลับไปตามที่ชายร่างใหญ่คนนั้นสั้ง
“ให้ตายสิ พวกทหารนี้มันโง่จริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าเปลือกมันแข็งยังจะเอาหอกไปแทงมันอีก พวกแม่งไม่ได้เรื่องเลยจริงๆเล๊ย”
เขาเดินต่อไปพร้อมกับค้อนอันใหญ่บนบ่าของเขาเพื่อหาศัตรูตัวต่อไป
“นี้มัน..อะไรกันวะ?”
เขาพบเศษซากของไจแอนท์แอ็นตามทางจำนวนมาก ซากแต่ละตัวนั้นต่างถึงแยกออกเป็นชิ้นจนดูน่าสยดสยองอย่างแปลกประหลาด
“ไง กรีสพึ่งมาถึงรึไง”
ชายอีกคนเอ่ยทักทายชายร่างใหญ่ด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เข้ากับหน้าของเขาที่รกรุงรังและเต็มไปด้วยหนวดเครา
“เออ ก็มัวแต่ไปช่วยพวกอ่อนหัดจนเสียเวลาไปเยอะนั้นแหละ แล้วทำไมแกถึงถอยออกมาละจี๊ด”
“ก็ต้องกลับไปพักแหงอยู่แล้วสิ ก็ข้าแรงหมดไปแล้วนี้หว่า”
“ดูแกยังไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่เลยนี้ ทำไมถึงถอยเร็วนักละ”
“พออายุมากเข้ามันก็ต้องเหนื่อยเร็วขึ้นอยู่แล้ว แถมต่อให้ฝืนไปทางโน้นเขาก็จัดการกันได้สบายๆอยู่ดีนั้นแหละ สู้เอาเวลามาป้องกันกำแพงเมืองยังจะดีกว่าซะอีก”
“พูดแบบนั้นหมายความว่าไง ไม่ใช่ว่าพวกไจแอนท์แอ็นยกกันมาเป็น100เลยไม่ใช่รึไง”
“ไม่เป็นไรๆ ก็ทางโน้นมีเทพสงครามก้าก้าอยู่แล้ว”
“เทพสงคราม? หมายถึงยัยหนูหัวขาวที่อยู่กับไอ้ปวกเปียกแกรนนะเหรอ”
“เออนั้นแหละ ยัยนั้นฉีกร่างไอ้พวกมดยักนั้นซะกระจุยเลย ที่ซากศพกองๆกันอยู่นี้ก็ฝีมือยัยนั้นเหมือนกันนั้นแหละ”
“ห๊า? มันเป็นไปได้ซะทีไหนที่เด็กสาวร่างเล็กๆแบบนั้นจะทำขนาดนี้ได้ เปลือกของพวกมันแข็งจะตายห่า นี้มันร่องรอยของเวทลมชัดๆ”
“ถ้าแกไม่เชื่อก็ลองเดินไปดูให้เห็นกับตาสิ แล้วแกจะรู้ว่าเทพสงครามนะ โหดร้ายขนาดไหน”
.
.
.
“กี้~!!!”
“อย่าเข้ามาน้า~!!”
หญิงสาวผมสีฟ้าร้องตะโกนออกมา ระหว่างที่วิ่งหนีมดยักที่ไล่ตามหลังของเธอ
ตูม!!!!
“กรื้ด!!!”
คลื่นพลังสีดำพวยพุ่งมาจากท้องฟ้ากลืนกินร่างของมดยักจนหมด สะเก็ตระเบิดจากคลื่นสีดำพัดร่างของหญิงสาวจนกระเด็นออดไป และลงถึงพื้นโดยใช้หน้าตัวเองลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่เธอก็สลบไปเรียบร้อยแล้ว
“อ่า~ โทษทีๆ บังเอิญใส่พลังเวทย์แรงไปหน่อยนะ ไม่เป็นไรใช่มั้ยฮัน”
หญิงสาวในชุดเดรสสีดำร่อนลงจากท้องฟ้าเพื่อถามอาการเพื่อนของเธอที่ตอนนี้แน่นิ่งไปกับพื้นหิมะเรียบร้อย
“แย่ๆ ทำไมถึงมานอนกลางหิมะแบบนี้ละ อยากจะเปลี่ยนจากภูติน้ำเป็นภูติน้ำแข็งแล้วรึไง”
“……..”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเพื่อนของเธอที่นอนแน่นิ่งอยู่
“คงสลบไปแล้วสินะ..ช่วยไม่ได้ ตื่นมาช่วยกันทำมาหากินกันหน่อยสิฮัน”
เธอดีดนิ้วหนึ่งครั้งแสงสีดำผวนพุ่งเข้าไปไปหาหญิงสาว แสงเหล่านั้นพยุงร่างเธอขึ้นมาให้กลับมายืนขึ้นอีดครั้ง เปลือกตาของเธอขยับเบาๆ เป็นสัญญาณว่าเธอได้สติแล้ว
“….ริสนี้เธอ..”
“อ่า~ ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวค่อยขอบคุณที่หลังก็ได้ ยังไงซะก็–“
“เธอแอบดื่มเหล้าอีกแล้ว ใชมั้ย?”
“อึก!!”
ริสสะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อเพื่อนของเธอพูดจบ
“พะ..พะ..พะ..พูดเรื่องอะไรของเธอ นี้มันอยู่ในช่วงสงครามนะ ฉันไม่มีอารมไปดื่มหรอกน่า”
“ริส..เธอควรรู้อะไรไว้นะ ภูติน้ำอย่างฉันสามารถแยกประเภทของน้ำได้ต่อให้มันถูกดื่มไปแล้วมันก็ยังมีร่องรอยอยู่นะ ต่อให้เธอพยามจะปกปิดมันแล้วก็เถอะ”
“กะ..ก็มันช่วยไม่ได้นี้น่า!! ก็ญาติของเธอเล่นเหมาพวกมดยักนั้นไปหมดเลย ฉันก็เลยไม่มีอะไรทำนอกจากดื่มนะสิ”
“ยังไงก็ไม่ได้!! เรากำลังอยู่ในช่วงสงครามกันนะ หัดอดทนหน่อยสิเธออายุร้อยกว่าปีแล้วนะ”
“ไม่เอาสิฮัน อย่าเครียดนักสิ ลองดื่มนี้ให้หายหนาวหน่อยดีกว่าน่า~”
เธอหยิบขวดไวน์สีแดงออกมาจากความว่างเปล่าและยื่นไปให้ฮันที่กำลังโมโหอยู่ หากสังเกตุปลายขวดก็จะพบว่าจุกมันเปิดไปแล้วเรียบร้อย มีร่องรอยของการดื่มไปแล้วอีกด้วย
“ริส..คนอย่างเธอนะ!! ดื่มน้ำเปล่าไปซะเถอะ!!”
“กรื้ดดดดด!!!!!”
ฮันแตะไปที่ขวดที่ยื่นให้มา น้ำในขวดมันก็กลายเป็นน้ำเปล่าทันที ทำให้ริสกรื้ดออกมาอย่างโหบหวน
“ทำอะไรของเธอ!! นี้มันไวน์ชั้นดีที่พึ่งได้มาเมื่อเช้าเองนะ ยังดื่มไปได้ไปถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ!!”
“เลิกบ่นแล้วไปประจำจุดได้ ถ้ายังไม่เลิกคร่ำครวญเรื่องไร้สาระอีกละก็หลังจากนี้ฉันจะเปลี่ยนน้ำเมาทุกชนึดที่เธอเก็บไว้ให้กลายเป็นน้ำเปล่าซะให้หมดเลย คอยดู”
“เธอมันใจร้ายที่สุด!! เรื่องในคราวนี้เธอต้องชดใช้แน่ฮัน!!”
เมื่อพูดจบเธอก็บินกลับขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้งอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักเท่าไหร่ เธอบินเขาในป่าที่กำลังมีการปะทะกันระหว่างพวกทีมกวาดล้างของก้าก้าและมดยักกำลังต่อสู้กันอยู่
“ถึงจะรู้ว่าคุณก้าก้าเก่งก็เถอะ…แต่ไม่นึกเลยว่าเธอจะเก่งถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่พวกเราก็เป็นภูติเหมือกันแท้ๆ ทำไมถึงต่างกันขนาดกันนะ”
ฮันมองไปที่ซากของมดที่เรียงรายอยู่บนทุ่งสีขาว ซึ่งส่วนใหญ่นั้นชิ้นส่วนของพวกมันถูกแยกเป็นชิ้นจนดูน่าสยดสยองแบบแปลกๆ เลยทีเดียว
.
.
.
“กี้~!!!’
มดยักร้องออกมาในขณะที่มันกำลังจะตาย หัวของมันถูกแยกออกมาจากส่วนตัวที่ตอนนี้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้วเมื่อไร้หัวที่เป็นส่งนที่ควบคุมร่างกายของมัน ตอนนี้มันทำได้เพียงแค่ใช้ส่วนหัวที่ยังสามารถขยับได้ขยับขากรรไกรไปมาเท่านั้น
“ช้า…”
ปึก!!!
ก้าก้าใช้เท้าเหยียบซ้ำไปที่หัวของมันจนทะลุเปลือกของมันไปอย่างง่ายดาย ตอนนีร่างของมันได้แน่นิ่งไปเป็นที่เรียบร้อย
“เหนื่อยหน่อยนะคะ คุณก้าก้า”
เด็กผู้หญิงที่ขนเป้ใบใหญ่เดินมาหาก้าก้าพร้อมกับยื่นขวดสเตมิน่าให้กับก้าก้า ที่กำลังยืนมองซากของมดที่พึ่งนิ่งไปตะกี้
“ขอบ คุณ”
ก้าก้ารับขวดนั้นมาดื่มอึกหนึ่งและก็ส่งขวดคืนไปให้เด็กผู้หญิง เธอรับมันและเก็บไว้ในกระเป๋าใบเล็กๆในเอว เพื่อนำไปแลกเป็นส่วนลดในการซื้อโพชั่นในครั้งต่อไป
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าคุณจะสามารถฆ่าไจแอนแอ็นจนหมดได้ พอเรื่องนี้จบคุณคงได้พิจารณาเป็นแร๊งSจากทางกิลแน่นอนค่ะ!!”
“อืม..”
ก้าก้าตอบกลับไปเป็นประโยคสั้นๆ กับเด็กสาวที่ดท่าทางกำลังตื่นเต้นอยู่ตรงหน้า
“เฮ้!! ยัยหนู!! ทางนี้ต้องการโพชั่นระดับกลางช่วยมาทางนี้ก่อยได้ไหม!!”
“อะ ค่า~ ขอโทษนะคะ คุณก้าก้าเดี๋ยวหนูต้องกลับไปทำหน้าที่ของหนูแล้วละค่ะ เอาไว้มาคุยกันอีกนะคะ”
“อืม..”
เด็กสาวแบกเป้ใบใหญ่วิ่งไปทางผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังโบกมือเรียกเธออยู่ เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงค่อยๆนั้งพักลงไปกับพื้นหิมะ โดยใช้ซากของมดที่เป็นส่วนตัวทำหน้าที่แทนที่พิง
“เหนื่อย..”
เธอบ่นออกมาเล็กน้อยหลังจากที่ปราบพวกมดนั้นจนหมดร่วมกับคนอื่น นี้เป็นครั้งแรกในรอบหลาย10ปีที่เธอสามารถขยับร่างกายได้ถึงขนาดนี้ การต่อสู้กับพวกมดกินเวลาตั้งแต่ช่วงเที่ยงจนเกือบพระอาทิตย์ตกดินตัวเธอนั้นไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย
“เธอคงเป็นเทพสงครามก้าก้า ใช่รึเปล่า?”
ชายคนหนึ่งเอ่ยทักก้าก้าในระหว่างที่เธอกำลังนั้งพักอยู่
“ขอนั้งข้างๆได้ไหม?”
“อืม..”
“โอะ แต้งกิ้ว”
เขาเข้ามานั้งข้างๆก้าก้าโดยที่ไม่ได้สนใจควาทหนาวเย็นของหิมะเลยแม้แต่น้อย
“อากาศหนาวจังเลยนะ ว่ารึเปล่าคุณเทพสงคราม”
“นึดหน่อย แต่ ไม่เป็นไร ทนได้”
“ฮ่าๆ เธอนี้ดูไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์เท่าไหร่เลย คงเพราะเธอไม่อยากคุยกับฉันหรือว่าเธอจะเป็นพวกคุยไม่เก่งกันนะ”
“ก้าก้า พูด ไม่เก่ง..”
“งั้นเหรอๆ นี้คงเป็นเหตุผลที่เธอพูดทีละประโยคสินะ ไหนๆพวกมดยักก็หายกันไปหมดแล้ว เธอเองก็ดูว่างๆด้วยงั้นช่วยฟังฉันเล่าเรื่องสักหน่อยได้รึเปล่า รับรองใช้เวลาไม่นานหรอกถือซะว่าเป็นการฆ่าเวลาสักหน่อยแล้วกัน”
“อืม….”
“เยี่ยมไปเลย งั้นจะเริ่มเล่าแล้วละนะ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีราชาผู้ที่เคยพิชิตโลกให้กลายเป็นหนึ่งเดียว ร่วมกับพวกพ้องของเขา ราชานั้นมีความสามารถที่เก่งกาจในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการรบ ความสามารถในการบริหารบ้านเมือง ความรู้ในแขนงต่างๆ และเขามีอุดมคติที่แน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนโลกใบนี้ให้ดีขึ้น เขาทำทุกๆอย่างที่ร่วมกับพวกพ้องของเขา แต่ถึงอย่างงั้นเขาและพวกพ้องของเขากลับเป็นที่รังเกียจในทุกๆที่ ที่เขาเหยียบย่ำไป รู้รึเปล่าว่าทำไม”
“ไม่!!”
ก้าก้าตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจัง จนทำให้ชายคนนั้นผงะไปพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมายิ้มแบบสบายๆอีกครั้ง
“ก็นั้นสินะ ฉันนี้ถามอะไรแปลกๆซะจริง… เอาละจะเล่าต่อละนะ สิ่งที่ทำให้เขาและพวกพ้องทุกรังเกียจ นั้นก็คือวิธีการของเขายังไงละ วิธีการของเขาที่ใช้นะ มันเป็นวิธีการที่อ่อนโยนถึงได้ถูกรังเกียจยังไงละ”
“?”
“ทำหน้างงๆแบบนั้นคงจะยังไม่เข้าใจสินะ วิธีการของเขาที่ใช้ในการปกครองโลกนะ มันอ่อนโยนแบบสุดๆจนแทบไม่น่าเชื่อเลยละ แต่ก็เพราะมันอ่อนโยนเกินไป มันถึงได้ขาดความเด็ดขาดยังไงละ เขาปล่อยให้คนที่ไม่ชอบในตอนเขาวิพาษ์กวิจารตัวเองเสียๆหายๆโดยไร้มูลความจริงและปล่อยให้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเขาได้ใจ เพียงเพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง แม้โลกจะดีขึ้นตามที่เขาหวังไว้ แต่กลับกันความเกลียดชังของผู้คนที่มีต่อตัวเขากลับยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นกัน เขาถูกตราหน้าว่าเป็นราชาผู้อ่อนแอ่และไร้น้ำยา ส่วนพวกพ้องของเขาค่อยๆหายไปทีละคนจนเหลือแต่คนที่นับถือเขาจากใจจริงเท่านั้นที่ยังคงยังอยู่เคียงข้างเขา ส่วนตัวเขาเองก็ยังพึ่งพอใจที่ได้เห็นทุกๆ อย่างมันดีขึ้น จนกระทั้งวันหนึ่งความเกลียดชังที่มีต่อตัวเขานั้นได้ระเบิดออกมา ทุกคนๆที่เกลียดชังในตัวเขาต่างกรูกันเข้ามาเพื่อที่จะสังหารเขา ด้วยความสามารถอันมากมายเขาสามารถเลือกที่จะโต้ตอบอย่างเด็ดขาดได้ แต่เขากลับเลือกที่จะหนีมากกว่าต้องการต่อสู้ เขาเร่ร่อนไปยังดินแดนต่างๆ และถูกขับไล่สาปส่งโดยเหล่าผู้คนที่เขารักยิ่งชีพ ถูกแย่งสมบัติทุกอย่างที่เขาหามาได้ และถูกหักหลังโดยคนที่เขาไว้ใจ แต่เขานั้นไม่เคยโกรธหรือเคียดแค้นผู้คนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะทำร้ายจนแทบอยากจะตายไปเลยก็ตาม เขายังคงเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออยู่ดูสิ่งที่เขาเคยสร้างมันเอาไว้กับผู้หญิงที่เขารักซึ่งอย่างสงบ เขามีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ซึ่งเปรียบได้ดั่งแสงสว่างสุดท้ายในชีวิตของเขา ผู้หญิงที่งดงามยิ่งกว่าดอกไม้หรือจันทร์ทรา เธอเป็นคนที่มีจิตใจอันสูงส่งเปี่ยมไปด้วยควาทเมตตากับทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ ทำให้ผู้คนต่างรักและศัทธาในตัวเธอ ต่างจากเขาที่มีแต่คนจงเกลียดจงชั่งและสาปส่งไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม แต่น่าเสียดายที่เธอกลับเป็นคนที่ทำร้ายเขา ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์และความไร้เดียงสาของเธอ ทำให้เธอถูกหลอกใช้โดยผู้คนที่เกลียดชังเขา กว่าเธอจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว เธอถูกสังหารและนำวิญญาณที่สูงส่งของเธอผูกติดพันธนาการเอาไว้กับเขาเพื่อไม่ให้เขาหนีไปไหนได้อีก พวกพ้องที่เหลืออยู่ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือแม้กระทั้งคนรู้จักต่างถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าเขา ร่างกายของคนรักที่ไร้ซึ่งวิญญาณก็ถูกย่ำยี่จนเกินที่เขาจะยอมรับได้ ความเกลียดชังอันมหาศาลเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในจิตใจของเขา เขาสาบานกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ว่าจะล้างแค้นและชิงทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของเขากลับมาให้ได้ ก่อนที่เขาจะได้ตายแบบทรมาณที่สุดไร้คำบรรยายที่จะสามารถเอ่ยมันออกมาได้ ความเกลียดชังนั้นฝังอยู่ในจิตวิญญาณทำให้ไม่ว่าเขาจะเกิดใหม่สักกี่ครั้งเขาก็ยังอยากที่จะแก้แค้นไม่ว่าจะอยู่ในรูปลักษณ์แบบไหน ต่อให้ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆและจิตสำนึกเขาก็ยังคงต้องการจะล้างแค้น แต่ทุกครั้งเขาก็จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้อยู่เสมอ แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ได้สะสมบาปอันยิ่งใหญ่ที่ทำเอาไว้ในแต่ละภพชาติและแปรเปลี่ยนเป็นพลังและสะสมเอาไว้เพื่อแผนการใหญ่ของเขา ซึ่งเขาได้ทำมันสำเร็จไปแล้ว และเมื่อเขาลืมตาขึ้นในครั้งถัดไป ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ล้างแค้นและทวงทุกๆสิ่งที่เป็นของเขากลับคืนมาให้จงได้…เอ้าจบแล้วละ ขอบคุณที่ทนฟังเรื่องราวอันน่าเบื่อที่เล่านะ”
‘แปะๆๆๆๆ’
ก้าก้าตบมือให้กับชายแปลกหน้าตรงหน้า ทันทีที่เรื่องราวจบแล้ว แม้ต้วเธอจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เขาเล่าออกมามากเท่าไหร่เลยก็ตาม
“ขอบคุณสำหรับเสียงตรบมือมากเลยนะ คุณเทพสงคราม…แต่ทำไมถึงได้ถอยออกไปไกลขนาดนั้นละนั้น”
เขาเอ่ยถามก้าก้าที่ตอนนี้ถอยห่างจากเขาไปประมาณ10เมตร เรียบร้อย
“ไม่ชอบ กลิ่น นาย”
“เอ๋ เอาจริงดิ ฉันว่าฉันก็พยามเอาน้ำมาเช็ดตัวแล้วนะ ยังมีกลิ่นตัวเหลืออีกเหรอเนี้ย”
“ไม่ ใช่ กลิ่น ตัว..”
“แล้วกลิ่นอะไรละ นอกจากกลิ่นตัวฉันเองก็นึกไม่ออกแล้ว ว่าร่างกายของฉันมันจะมีกลิ่นอะไรอีกนะ”
“กลิ่น ศพ..”
ก้าก้าพูดออกมาสั้นๆ อย่างไร้อารม แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ทำให้ชายตรงหน้าเธอดูตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ให้ตายสิ..เธอนี้มันจมูกดีมากจริงๆเลยนะ..สกสัยต้องพยามซ่อนกลิ่นให้มันดีกว่าแล้วละ ถ้าคิดจะมาคุยกับเธอคราวหน้านะ”
“?”
“เฮ้ย ดูนั้นดิ!!”
เสียงตะโกนจากชายอีกคนหนึ่งในทีมกวาดล้าง เขากำลังชี้ไปทางทิศทางของเมืองที่ในขณะนี้กำลังมีแสงสว่างเจิดจ้าจนสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล แม้จะยังไม่สามารถมองเห็นเมืองเลยก็ตาม
“งานของฉันจบลงแล้วละ ที่เหลือก็พยามเข้าละคุณเทพสงครามผู้น่ารัก ไว้มาคุยกันอีกนะ”
เมื่อก้าก้าหันกลับไปก็ไม่พบชายคนนั้นนั้งอยู่ตรงซากมดยักอีกแล้ว
“มัวเหม่ออะไรอยู่เทพสงคราม!! แม่มดจะเทเลพอร์ตเรากลับเมืองแล้ว รีบมายืนตรงนี้เร็ว!!”
“อืม”
ก้าก้าไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักและรีบวิ่งไปร่วมกลุ่มกับคนอื่นๆทันที เพื่อเตรียมเทเลพอร์ตกลับไปที่เมือง