“โชคดีละยัยหนู!! อย่าลืมอ่านหนังสือก่อนนอนด้วยละ โฮะๆๆ”
เมื่อร่ำลาคนในโบสถ์เสร็จผมก็รีบวิ่งออกมาทันที อย่างที่คิดยังไงก็เป็นห่วงจริงๆนั้นแหละ มันจะแปลกเกินไปแล้ว ทำไมถึงไม่มีพวกแนวหน้ากลับมากันเลยละ แถมนี้ก็เย็นมากแล้วด้วย อีแบบนี้ต้องเกิดเรื่องอะไรสักอย่างแหงๆ ไปถามพวกยามที่ประตูให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า
ตูม!!!
ในขณะที่ผมกำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนที่ไร้ซึ่งผู้คนจู่ๆพื้นตรงหน้าผมก็ระเบิดขึ้น ร่างที่ปรากฏคือร่างของผู้หญิงที่เปลือยเปล่าอยู่ เธอมีผิวสีแดงที่ดูเงาสะท้อนกับแสงได้ และมีปีกใสๆทั้ง4ปีกอยู่ด้านหลัง มีปากที่ดูปกติเหมือนคนทั้วไปแต่กลับมีขากรรไกรที่เหมือนมดติดอยู่ตรงแก้มและมีหนวดเหมือนแมลงสาปอยู่บนหัว ส่วนช่วงขาเองก็ดูเรียวเล็กแหลมและมีอะไรสักอย่างที่คล้ายๆหนามติดอยู่เต็มไปหมด นี้มันอะไรวะ? สาวแมลง? เอาจริงดิ
“เจอกุญแจแล้ว..”
เธอพูดออกมาเบาๆ และค่อยๆหันกลับมามองที่ผม เอาจริงๆนะ นี้มันโคตรสยองเลยอะ เหมือนกับหนังสยองขวัญสักเรื่องที่เคยดูเมื่อก่อนเลย อารมแบบหาเธอเจอแล้วนะ แล้วก็แฮร่!! ตัวเอกตายจบ.. หวังว่าจุดจบผมคงไม่เป็นเหมือนอย่างงั้นนะ
“เอ่อ..สวัสดีพี่สาว ไม่ทราบว่ามีอะไรกับผมรึเปล่า?”
“เลือด..ประตู..ต้องเปิด..”
อืม..คุยกันไม่รู้แหง แถมท่าทางยังดูอันตรายอีก เอาเป็นว่าโกยดีกว่าเนอะ
“[Botts Up]”
ผมร่ายบัฟเพิ่มพลังทุกอย่างเต็มที่และวิ่งอีกครั้งโดยเปลี่ยนเป้าหมายกลับไปที่โรงแรมแทนที่จะไปที่จะไปที่ประตูเมืองตามที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก อย่างน้อยด้วยความเร็วระดับนี้น่าจะหนีพ้นแล้วละมั้ง
“เอ้าจับได้แล้วจ้า~”
“!!!!!”
ในระหว่างที่ผมกำลังวิ่งอยู่ผมก็ถูกจับโดยแขนปริศนาสีขาว ในขณะที่กำลังจะเขัาตรอกเล็กๆข้างหน้า แม้จะไม่รู้ว่าเป็นแขนใครก็เถอะ แต่คงไม่ใช่พวกมนุษย์แหงๆ ทำไมนะเหรอ? ก็แขนมันขาวจัวะ ไม่มีสีเนื้อปนเลยนี้น่า ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้กันนะ
“ให้ตามหาซะแทบแย่ ในที่สุดก็เจอตัวซักทีนะ”
ฟุดๆ กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้แถมยังสัมผัสนุ่มๆที่ด้านหลังอีก ตัวเมีย? ไม่สิตัวเมียแหงๆ แถมหน้าอกหน้าใจก็ไม่ธรรมดาซะด้วย ถ้าฟังจากเสียงนั้นคงเป็นสาวสวยอกสะบึ๋มแหงๆ ไม่ผิดแน่นอน เซนเซอร์ของผมมันบอกว่าอย่างงั้นเพราะงั้นมันจะไม่มีวันผิดแน่นอน
“มะ..ไม่ทราบว่าพี่สาวมีธุระอะไรกับผมเหรอกั๋บ”
แย่ชิบ!! ดันประหม่าจนพูดผิดจนได้ น่าอายชิบ!!
“ธุระ? แน่นอนสิว่าต้องมีแน่นอน แต่ก่อนอื่นฉันอยากให้เธอสูดกลิ่นของฉันเข้าไปลึกๆก่อนได้รึเปล่า”
“…สูดเข้าลึกๆ….”
“ช่าย~ ค่อยๆสูดมันเข้าไปอย่ารีบร้อนละ กลิ่นหอมๆของตัวฉันนะ”
แย่ละ ทำไมถึงรู้สึกเบลอๆจังเลยนะ..ทำไมกัน..ชักง่วงนอนแล้วสิ แม้จะยังอยากสัมผัสหน้าอกนั้นก่อนก็เถอะ..แต่เอาไว้หลังจากตื่นละกัน… แต่เหมือนเราจะลืมอะไรบ้างอย่างไปรึเปล่านะ..
เปลือกตาของแกรนค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ จนสนิทตอนนี้เธอได้เข้าสู่ห้วงนิทราเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวสีขาวที่จับตัวเธออยู่ก็ยิ้มออกมาอย่างพึ่งพอใจเป็นอย่างมาก และใช้มือสีขาวของเธอลูบไปที่ใบหน้าของแกรนเบาๆ
“อยากรู้จังเลย ว่าตอนนี้เธอกำลังฝันถึงอะไรอยู่กันนะ”
“[Dark Ball]!!!”
เมื่อสิ้นสุดเสียงบอลสีดำจำนวนมากก็พุ่งใส่หญิงสาวสีขาวและมีเรียทันที
“เป็นวิธีทักทายที่รุนแรงจังเลยนะ”
ผู้หญิงสีขาวใช้มือของเธอปัดไปทางลูกบอลเหล่านั้นเบาๆ ละอองสีขาวที่ออกมาจากฝ่ามือของเธอก็กลายเป็นบาเรียรับการโจมตีเหล่านั้นจนหมดสิ้น
“อย่างที่คุณแม่บอกจริงๆด้วย ว่าเรื่องนี้มันมีอะไรแปลกๆ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเธอสินะ ผีเสื้อราตรี ฟาว”
หญิงสาวหันไปทางชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในสภาพดูอ่อนแรงที่กำลังชี้ไม้เท้ามาทางเธออยู่
“แหมๆ รู้สึกดีใจจัง ที่ยังมีคนจำชื่อของฉันได้ แถมยังเป็นลูกหลานของศัตรูคู่แค้นของเราแม่มดอสูรทองเสียด้วยสิ”
“ปล่อยคุณมีเรียเดี๋ยวนี้!!”
ลำแสงสีขาวพุ่งออกทาจากวงเวทย์ด้านหลังของเขาเป็นจำนวน6เส้น โดยมันมีเป้าหมายคือผู้หญิงสีขาวที่กำลังจับตัวมีเรียเอาไว้อยู่ แต่ลำแสงก็ถูกหยุดไว้ได้ด้วยผู้หญิงอีกคนที่มีรูปร่างคล้ายกับมด
“ใจเย็นๆสิ พ่อหนุ่มน้อย คู่ต่อสู้ของเธอไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็นเธอคนนี้ต่างหากละ”
“อ๊อกกกก!!”
ราชินีมดพุ่งใส่เอเลนอย่างรวดเร็ว แม้จะป้องกันไว้ได้ด้วยบาเรียเวทมนต์แต่การโจมตีที่หนักหน่วงนั้นก็ยังสามารถทะลุผ่านเข้ามาจนเขากระเด็นไปไกล
“อย่าทำให้เขาตายซะละ ตอนนี้ฉันไม่อยากจะสร้างหนี้แค้นไว้กับอสูรสีทองหรอกนะ”
“ค่ะ…”
เมื่อพูดจบเธอก็พุ่งไปหาเอเลนทันที
“เอาละ ทีนี้ก็เหลือเราแค่สองคนแล้วนะ ไหนขอฉันดูหน้าของเธอชัดๆหน่อยสิ”
เธอใช้เล็บของเธอค่อยๆกรีดไปทั้วร่างของมีเรียที่กำลังสลบ เมื่อเธอกรีดจนจนถึงส่วนใบหน้าเวทลวงตาที่ร่ายเอาไว้ก็คลายออก เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กสาวที่มีแผลเป็นขนาดใหญ่อยู่กลางใบหน้า
“ตายจริง!! น่ารักจังแถมยังมีกลิ่นที่ดีมากด้วย อยากจะเก็บเอาไว้จังเลยน้า~”
เมื่อพูดจบเธอก็ค่อยใช้มือของเธอล้วงเขาไปในเสื้อคลุมตัวใหญ่ของมีเรีย และก็ไซต์ไปที่ซอกคอน้อยๆของมีเรีย ก่อนจะค่อยๆ สูดกลิ่นเข้าไปด้วยจมูกเล็กๆของเธอ
“เนื้อตัวก็นุ่มนิ่มกลิ่นก็หอม..รสชาติจะเป็นยังไงนะ”
เธอฝังคมเขี้ยวลงไปที่คอของมีเรียจนเกิดแผล และดูดเลือดที่ไหลลินออกมาด้วยปากของเธอ เธอค่อยๆดูดมันไปเรื่อยๆ มือของเธอที่ล้วงเข้าไปก็ค่อยๆลึกลงเรื่อยๆ อย่างช้าๆ
“อะ..อื้ม~”
“แม้แต่เสียงครางก็ยังน่ารัก อ๊า~ น่าเสียดายจังน้า~ อยากจะสนุกกับเธอมากกว่านี้จัง แต่ถ้าอยู่นานกว่านี้ละก็ฉันจะโดนดุเอานะซี่~ แผล่บ”
เธอเลียน้ำนิ้วของที่ตัวเอง ก่อนที่จะใช้มือข้างในจับไปที่ใบหน้าของมีเรียและค่อยๆสอดลิ้นเข้าไป ปากของพวกเธอประกบเข้าด้วยกัน เมื่อเสร็จกิจแล้วเธอก็ค่อยๆวางร่างของมีเรียลงไปกับพื้น ซึ่งริมฝีปากของพวกเธอยังคงมีเส้นใยใสๆเชื่อมถึงกันอยู่
“หวังว่าเราจะได้เจอกันตอนที่เธอคงจะกลายเป็นดอกไม้เบ่งบานมากกว่านี้นะมีเรีย และเมื่อถึงตอนนั้นแล้วละก็เธอคงอร่อยมากกว่านี้แน่นอน หุๆๆๆ”
เมื่อพูดจบหลังเธอก็กางปีกผีเสื้อสีขาวออกมา กระพือมันไปมาละอองสีขาวจากปีกของเธอเริ่มปกคลุมพื้นที่ก่อนมันจะถูกพัดปลิวไปกับสายลมในฤดูหนาวพร้อมกับร่างของเธอที่หายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงร่างของมีเรียที่ยังคงสลบอยู่
“คะ..คุณมีเรีย”
เอเลนเดินโซซัดโซเซเข้าไปหามีเรีย เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งและมีบาดแผลตามตัวเต็มไปหมด
“คุณมีเรียครับ!! คุณมีเรีย!!”
เขาเขย่าร่างของมีเรียที่กำลังนอนหลับอยู่บนพื้นหิมะ เลือดที่คอของมีเรียนั้นยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจนย้อมหิมะให้กลายเป็นสีแดง ทำให้เขานึกว่ามีเรียได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป
“หนวกหูเว้ย!! คนจะหลับจะนอน!! แม่งมาตะโกนข้างหูอยู่ได้!!”
เธอตื่นขึ้นมาโวยวายทันทีหลังจากที่การนอนถูกรบกวนโดยเอเลน
“เย็นโว้ย!! แถมยังเจ็บอีก ใครมันทำอะไรกับคอ…เลือดนี้หว่า!! มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี้ย!!”
มีเรียจับไปที่คอตัวเองก็พบว่าตัวเองกำลังเลือดออก แม้จะยังงงๆอยู่แต่เธอก็ตั้งสติและรักษามันจนหายในทันที
“ยังมีชีวิตอยู่สินะครับ คุณมีเรีย”
“หืม? เสียงนั้น ไอ้หน้าหล่อเหรอ? รอแปปเดี๋ยวค่อยคุย”
มีเรียพยามจับไปที่แผลซ้ำๆ เพื่อเช็คอาการดูอีกครั้ง เมื่อมั้นใจว่าไม่มีแผลแล้วเธอจึงค่อยหันหน้าไปทางเอเลนเพื่อเริ่มต้นการสนธนาอย่างที่ควรจะเป็น
“เป็นอะไรไปเหรอครับ?”
เอเลนถามแกรนด้วยความเป็นห่วง เธอทำหน้าดูตกตระลึกเป็นอย่างมากที่เห็นหน้าของเขา
“ทะ..ทำไม..ละ..”
มีเรียพูดด้วยน้ำเสียงฟังดูสั้นเครือ และค่อยๆถอยห่างจากเขา
แกร่กๆ
เสียงปริแตกเริ่มดังขึ้น ดูเหมือนเขตแดนแห่งนี้จะเริ่มแตกออกแล้ว
“เราต้องรีบออกจากที่นี้แล้วครับ เขตแดนที่นี้กำลังจะพังลงแล้ว คนที่ใช้เป็นแต่เวทสนับสนุนอย่างคุณท่ายังอยู่ที่นี้ต่อไปอันตรายแน่นอนครับ”
“ไม่เอา..อย่าเข้ามาใกล้นะ”
เมื่อเอเลนพยามยื่นมือไปหามีเรีย เธอก็ถอยหนีไปไกลเข้าไปอีก ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“คุณมีเรียครับ ตั้งสติหน่อยตอนนี้พวกเราต้อง–“
“ก็บอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ไง!!!”
ตูมมมม!!!!
มีเรียตะโกนออกทั้งน้ำตาพลังเวทของเธอก็ปะทุขึ้นมาจนผลักเอเลนออกไป
“ทำไมละ..ทำไมแกยังยืนอยู่ตรงหน้าฉัน!! แกตายไปแล้วไม่ใช่แล้วรึไง!!”
“อุก..”
เอเลนครางออกมาด้วยความเจ็บปวด บาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้กับราชินีไจแอนท์แอ็นยังไม่หายดีนัก แม้เขาจะรักษาไปบ้างแล้ว แต่หลังจากโดนพลังเวทกระแทกไปทำให้บาดแผลของเขาสาหัสกว่าเดิม
“มะ…ไม่นะ…ไม่เอาห้องนั้น..หยุดนะ..อย่าขังหนู จะให้ทำอะไรก็ได้ แต่อย่าขังหนูเลยนะ”
จู่ๆ มีเรียร้องโวยวายออกมาในขณะที่มองไปที่ความว่างเปล่า เธอพยามขอร้องทั้งน้ำตากับความว่างเปล่าท่ามกลางหิมะ
“ไม่ๆ!! อย่าปิดประตูนะ หนูไม่อยากอยู่ที่นี้คนเดียว!!! เปิดประตูก่อน ขอร้องละ!! เปิดสิ!! เปิด!!!!”
เธอพยามทุบไปที่กำแพงของบ้านหลังหนึ่งด้วยมือเปล่าๆของเธออย่างสุดแรง จนมือของเธอแตก เธอทุบไปเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์เธอก็กลับมานั้งที่เดิมอีกครั้ง
“มองอะไรไม่เห็นเลย..หนาวจัง..แถมยังหิวอีก..ทำไม ฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย..”
เธอค่อยๆ ร้องไห้ออกมาท่ามกลางหิมะที่เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ สิ่งก่อสร้างของที่นี้ก็เริ่มพังลงทีละน้อย โดยเริ่มจากอาคารที่เริ่มผุกร่อนไปเรื่อยๆ
“ถ้าฉันอยู่ที่นี้นานๆ จะมีหนอนมากินตัวฉันเหมือนแกไหมนะ…”
“…..”
“ไม่ตอบเหรอ..ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ต้องอยู่นี้คนเดียวอยู่แล้วนี้นะ ชินแล้วละ ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นอะไรเลยสักนึด อืม ไม่เป็นไรๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
มีเรียพูดซ้ำๆไปมาๆ ดวงตาตาของเธอเริ่มว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พูดออกมา
“ทุกๆคนมีความสุขฉันไม่มี ไม่เป็นไร ตุ๊กตาโดนฉีก ไม่เป็นไร เสื้อผ้าไม่มี ก็ไม่เป็นไร หิวก็ไม่เป็นไร โดนทิ้ง ก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยฉันก็มี….อ๊ะ!!….อันนั้นโดนเผาไปแล้วนี้น่า ลืมไปซะสนิทเลย ตอนนี้ฉันเหลืออะไรบ้างนะ”
เธอทำท่าเหมือนพยามนึกอะไรบ้างอย่างอยู่พร้อมกับนับนิ้วตัวเองอยู่ เอเลนที่เห็นมีเรียสติหลุดไปแล้ว จึงค่อยๆ รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย ปล่อยบอลแสงเล็กๆไปหามีเรียโดยหวังจะเรียกสติของเธอกลับมาอีกครั้ง
กึกกกก!!!
“บาเรีย…ไม่สิ..พลังเวทที่ปะทุออกมามันกำลังปกป้องเธอ..แถมยังแข็งแกร่งมากด้วย เวทมนต์ทั้วไปฝ่าไปไม่ได้แน่”
บอลแสงหายไปก่อนที่จะถึงตัวของมีเรีย รอบตัวของเธอเริ่มมีแสงปะทุขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่มี..ไม่มีอะไรเหลือ..ไม่มี….ไม่ยุติธรรม…ทำไมละ….ทำไม..”
“คุณมีเรียครับตั้งสติหน่อย!! สิ่งที่คุณกำลังเห็นมันเป็นเพียงภาพหลวงตาไม่ใช่ของจริงครับ!!!”
เอเลนพยามตะโกนเพื่อเรียกสติของมีเรียที่กำลังพูดเพ้ออยู่คนเดียว แต่นั้นกลับทำให้มีเรียตื่นตัวมากกว่าเดิม
“ทะ…ทำไมแกยังร้องออกมาได้ละ ฉันน่าจะ… ไม่นะ.. อย่าเข้ามาใกล้.. ไม่.ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆม่ายยยยยย!!!”
ตูมมมมมม!!!
พลังเวทระเบิดออกมาโดยมีมีเรียเป็นจุดศูนกลาง เขตแดนสั่นไหวอย่างรุนแรงและปรึแตกจนเกิดเป็นรอยบนท้องฟ้าเหมือนกับกระจกที่มีรอยร้าว
“บ้าน่า..เป็นไปไม่ได้ แสงกำลังกลืนกินเขตแดน ธาตุแสงมันไม่น่ามีคุณสมบัติแบบนั้นนี้”
เขาพูดออกมาด้วยความตกตระลึงในขณะที่กำลังมองมีเรียที่กำลังส่องประกายอยู่ แสงเริ่มห่อหุ้มตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจมองเห็นร่างของเธอได้อีกต่อไป
“พลังเวทที่เหนือกว่าราชินีแม่มดมันเป็นแบบนี้เองสินะ.. หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปคงต้องเกิดความเสียหายต่อคนนอกเขตแดนแน่.. แม้จะไม่อยากทำแต่ก็คงไม่มีทางเลือกแล้ว”
เขาหยิบโพชั่นสีฟ้าจากกระเป๋าๆเล็กๆในผ้าคลุมขึ้นมาดื่มและเขี่ยงมันออกไป และยกคทาที่ใช้พยุงร่างขึ้นเหนือหัวด้วยมือทั้งสองข้าง
“แสงสว่างผู้ให้กำเนิดพลังงานแก่ชีวิตทุกชีวิต และความมืดผู้นำพาความสงบและความร่มเย็นแก่ทุกสิ่ง”
คลื่นพลังสีขาวออกมาจากร่างของเขาจากด้านซ้ายและสีดำสีดำอยู่ด้านขวา
“นามของข้าคือ เอเลน บรอน ผู้ถือครองพลังของทั้งสองสิ่ง และจะเป็นผู้หล่อหลอมเข้าด้วยกัน”
คลื่นพลังสีขาวและดำที่ออกมาจากร่างเขาเริ่มลอยเข้าหากัน มือของเขาเริ่มสั่นและใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ
“แสงสว่างจะไม่ทำให้ความมืดสูญสลาย แต่จะทำให้ความมืดเด่นชัด และความมืดจะยังคงอยู่ท่ามกลางแสงเพื่อให้แสงสว่างมีตัวตน”
คลื่นพลังเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างเป็นวงกลมโดยแสงและความมืดผสมปนเปอยู่ในวงกลมนั้นในรูปแบบพายุที่กำลังหมุนวนอยู่ในวงกลม
“….อึก..อีกนึดเดียว..”
พายุเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มกลายเป็นเนื้อตัวเดียวกัน จนกลายเป็นลูกบอลขนาดใหญ่สีดำส่องประกายสู้กับแสงสว่างสีขาวจากทางฝั้งของมีเรีย ราวกับแสงของทั้งสองกำลังต่อสู้ซึ่งกันและกัน
“ความแข็งแกร่งของทั้งสองหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อขจัดภัคร้ายที่พยามรุกรานมาตุภูมิของข้า”
เขาชี้คฑาไปทางมีเรียซึ่งกำลังถูกแสงสว่างกลืนกิน อัญมณีที่ถูกประดับไว้บนคฑาส่องประกายราวกับมันตอบรับคำของเขา พลังงานจำนวนมหาศาลจากคฑาพวยพุ่งออกมาเสริมทำให้แสงสว่างสีดำนั้นส่องประกายมากขึ้นจนสามารถดันแสงนั้นกลับไปได้
“จงทำลายแสงสว่างที่เป็นภัคและพาสันติสุขกลับมาสู่มาตุภูมิของข้า ไปซะ!!! [Dark light of swallow]!!!”
ลูกบอลแสงสีดำเคลื่อนตัวโดยมีจุดมุ่งหมายคือกลางแสงสว่าง ลูกบอลสีดำปะทะกำลังพลังเวทที่แผ่ออกมาตรงๆ มันค่อยๆ ดูดกลืนแสงที่ถูกปล่อยออกมาและเพิ่มพลังให้กับตัวเอง แสงสว่างสีดำเริ่มกลืนกินแสงสีขาวและแทนที่ด้วยแสงสีดำของตัวมันเอง
ครืนนนน!!
เมื่อลูกบอลสีดำเคลื่อนตัวไปถึงจุดศูนกลาง มันก็ค่อยๆ หดตัวและสูญสลายไปพร้อมแสงสว่างทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมาและแทนที่มันด้วยความว่างเปล่า
“จบ..แล้วสินะ”
เขาทรุดลงไปทันทีเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างหายไป พลังเวทย์ทั้งหมดที่เขาเหลืออยู่ได้หมดสิ้นไปจนหมดแล้ว ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกอ่อนล้าอย่างมาก เขาใช้มือทั้งสองข้างจับทฑาไว้แน่นเพื่อร่างกายของเขาลงไปกองกับพื้น
“ทุกอย่างมันเป็นเพราะความประมาทของเรา ถ้าเราเฉลี่ยวใจถึงคำเตือนเรื่องแสงนั้นสักนึดละก็มันคงมันจบลงแบบนี้แน่….”
เขาพูดออกมาด้วยความเจ็บใจ ในขณะที่เขตแดนแห่งนี้ใกล้จะพังทลายแบบสมบูรณ์
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ผมไม่อาจช่วยคุณได้เพราะความโง่เขลาของตัวเอง ความผิดในครั้งนี้ในสักวันผมจะชดใช้ให้อย่างสาสมแน่นอน..”
เขาใช้มืออีกข้างล่วงเข้าไปในผ้าคลุมอีกครั้งและหยิบขวดโพชั่นอีกขวดขึ้นมาดื่ม และค่อยๆยืนขึ้นอีกครั้ง
“จงเปลี่ยนผลัดอีกครั้งเพื่อกลับสู่จุดเริ่มต้น”
ตึก ตึก ตึก
เขาใช้ไม้คฑาเคาะไปที่พื้น3ครั้งทิวทัศที่พังทลายได้กลับกลายเป็นเมืองตามเดิมอีกครั้ง ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างมองเขาที่จู่ๆก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
“เอเลน!!”
อัศวินหนุ่มที่หน้าตาดูคุ้นเคยตะโกนขึ้นมาและรีบวิ่งมาหาเอเลน
“อ่า..เคลนี้เอง เป็นอะไรไปละ ท่าทางแตกตื่นเชียว ทำน้องสาวของผมหายอีกแล้วรึไง”
“ยังจะพูดเล่นอีก!! จู่ๆก็หายตัวไปแล้วก็กลับมาในสภาพนั้นอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่เผลอทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัคลงไปอีกแล้วนะ”
“พูดเรื่องอะไร นายบอกจะไปตามหาท่านมีเรียไม่ใช่รึไง มันจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัคได้ยังไง”
เคลเหมือนหยุดพูดและทำท่าเหมือนจะเริ่มนึกอะไรบ้างอย่างออก
“อย่าบอกนะว่านาย….ถึงขั้นกล้าขโมยกางเกงในเด็กผู้หญิงคนอื่นในขณะที่พวกเธอกำลังสวมใส่มันแล้วนะ”
“ฮ่าๆ นายนี้พูดอะไรตลกซะจริง ถึงผมจะชอบกางเกงในของเด็กผู้หญิงก็จริง แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะไปขโมยมันตรงๆหรอกนะ”
“ไอ้คนที่กล้าแม้แต่ขโมยกางเกงในแม้กระทั้งแม่แท้ๆของตัวเองมาดมอย่างนาย พูดแล้วฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่เลยนะ”
“ฮ่าๆๆๆ นั้นสินะ..มันคงเป็นอย่างที่นายพูดจริงๆ นั้นแหละ….”
“เอาเถอะ ท่านายไม่ได้ทำก็ดีแล้วละ..แล้วสรุปนายไปทำอะไรมากันแน่ละเอเลน”
เคลจ้องไปที่เอเลนด้วยสายตาจริงจัง เขาต้องการคำตอบที่แท้จริงจากเพื่อนสนิทของเขาที่เปรียบดั้งพี่น้องของเขา
“มันมีเขตแดนน่าสกสัยถูกสร้างขึ้นในเมืองผมเลยลองฝ่าเข้าไปก็พบผีเสื้อกับราชินีไจแอนท์แอ็นกำลังจับตัวคุณมีเรียไว้”
“ว่ายังไงนะ!! แบบนี้ต้องรีบไปแจ้งที่ป้อมให้ส่งสัญญาณพาพวกที่อยู่นอกเมืองกลับมาแล้ว!!”
เอเลนคว้ามือจับเคลที่กำลังจะวิ่งออกไปทันที และส่ายหน้าไปมา
“ไม่ต้องแล้วละ ราชินีไจแอนท์แอ็นถูกผมกำจัดไปแล้ว ส่วนผีเสื้อราตรีเองก็ถอยไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกคนที่กำลังสู้อยู่กลับมาหรอก”
“งั้นเหรอ…..แล้วท่านมีเรียอยู่ไหนละ”
“….เธอถูกพวกนั้นทำให้บ้าคลั้งและไม่อาจควบคุมพลังเวทย์อันมหาศาลของตัวเองได้ ทำให้ผมต้องกำจัดเธอเพื่อตัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นหากเธอออกมาจากเขตแดนได้นะ”
“งั้นเหรอ..เป็นเรื่องที่ฟังดูแย่สำหรับนายน่าดูเลยนะ”
“อืม…”
เคลก็เข้าไปช่วยพยุงร่างของเอเลนที่กำลังทำท่าซึ่มๆอยู่ทันที
“พอจะเดินไหวรึเปล่าเอเลน”
“ถ้าผมตอบว่าไม่ไหวจะช่วยอุ้มกลับไหมละ”
“บ้ารึเปล่า คนที่อัศวินจะอุ้มนะมีแต่ผู้หญิงและสหายที่บาดเจ็บหนักจนขยับไม่ได้เท่านั้นแหละ อย่างนายที่ยังหัวเราะหน้าระรื่นได้แค่ช่วยพยุงก็เหลือแล้วละ”
“…ขอบคุณมากนะเคล..”
“ด้วยความยินดี”
เคลค่อยพยุงร่างของเอเลนเดินต่อไปเพื่อพากลับไปที่คฤหารถ์บรอน ในระหว่างที่เขาเดินไปได้สักพักแสงสว่างก็ส่องประกายลงมาจากท้องฟ้า
“นั้นมันอะไรกัน..”
เคลพูดออกมาด้วยความตกตะลึงในขณะที่กำลังมองร่างๆหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าและส่องประกายแสงออกมาอยู่เหนือหัวคลอบคลุมทั้งเมือง แม้จะอยู่ไกลจนมองยากแต่ร่างนั้นเป็นร่างของผู้หญิงที่มีใบหน้าดูงดงามเธอมีผมยาวสีดำยาวถึงกลางหลังและมีแสงสว่างสีดำปกคลุมร่างกายเอาไว้
“บ้าน่า..เธอดูดกลืนพลังเวทย์ของผมไปอย่างงั้นเหรอ!!”
“นายรู้จักผู้หญิงคนนั้นเหรอเอเลน!! อย่างบอกนะว่านั้นคือผีเสื้อราตรีที่นายบอกว่าหนีไปแล้ว ใช่มั้ย?”
“เธอไม่ใช่ผีเสื้อราตรีหรอกเคล เธอคือคุณมีเรียต่างหากละ”
“ห๊า? นายพูดอะไรของนายท่านมีเรียเธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กนะ รูปลักษณ์ภายนอกของผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนกับท่านมีเรียเลยสักนึด”
“นายคงมองไม่ออกสินะ แม้รูกลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปมาก แต่กระแสพลังเวทย์แบบนั้นคือคุณมีเรียไม่ผิดแน่นอน แถมตอนนี้ดููเหมือนว่าเธอยังไม่ได้สติด้วยสิ”
“ท่างั้นเธอจะทำอันตรายกับเมืองรึเปล่า”
“ผมก็ไม่รู้หรอกเคล แต่ท่าเท่าที่ผมสังเกตุเธอจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นท่าไม่ใครเข้าใกล้เธอเกินไป ผมคิดว่าตอนนี้คงไม่เป็นอะไรหรอก”
“แสดงว่าในตอนนี้เธอจะไม่ทำอะไรสินะ…. นายพอจะทำอะไรสักอย่างกับเธอได้รึเปล่า ปล่อยเธอไว้แบบนี้ชาวเมืองแตกตื่นกันแน่”
“ทำไม่ได้หรอกตอนนี้พลังเวทของผมก็หมดไปแล้ว แถมยังถึงขีดจำกัดในการฟื้นฟู่อีก คงได้แต่เพียงเฝ้ามองเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ได้อย่างเดียว และภาวนาว่าเธอคงจะอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ไปเรื่อยๆจนกว่าคุณริสกับคุณฮันจะกลับมาทำอะไรสักอย่างกับเธอนั้นแหละ”
เขาจ้องมองหญิงสาวที่กำลังล่องลอยอยู่บนอากาศตัวคนเดียวอย่างสงบสเงี่ยมอยู่บนท้องฟ้าและไม่มีท่าทีจะเคลื่อนไหวไปไหน เธอแค่ลอยอยู่ตรงนั้นเพื่อส่องแสงสว่างออกมาเพื่อแข่งกับแสงอาทิตย์ยามเย็นเพียงเท่านั้น