ใช่แล้ว ไม่ว่าประเทศไหน การแต่งงานก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตทั้งชีวิต แน่นอนว่างานแต่งงานจึงต้องจัดในวันฤกษ์ดี
ครั้งนี้ฉินสือโอวหมั้นกับวินนี่ก่อน ยังไม่จัดงานแต่ง ดังนั้นวันที่กำหนดจึงเป็นวันหมั้นก่อน
คุณพ่อและคุณแม่ของฉินสือโอวยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรสักเท่าไร เพราะที่บ้านเกิดของพวกเขายังไม่เคยมีใครแต่งงานกับลูกสะใภ้ชาวต่างชาติ อีกทั้งหลังจากที่มาแคนาดาสองถึงสามครั้ง ผู้สูงอายุทั้งสองก็ได้เรียนรู้ว่าประเพณีของชาวต่างชาติก็แตกต่างกันเช่นกัน
พอนั่งด้วยกัน พ่อฉินก็เริ่มพูดเรื่องงานหมั้น และถามแม่ของวินนี่ว่าต้องการสินสอดของหมั้นเท่าไร
มิแรนดาตะลึงและพูดด้วยความงุนงงว่า “สินสอดอะไรคะ? คือคุณหมายความว่างานหมั้นต้องใช้เงินเท่าไรเหรอคะ? เรื่องนี้อยู่ในแผนงานของพวกเราแล้ว พวกคุณวางใจเถอะ”
นี่ก็คือความแตกต่างทางวัฒนธรรม ฉินรีบอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่ฟังว่า งานหมั้นไม่จำเป็นต้องมีสินสอดให้ฝ่ายหญิง เขาแค่เตรียมแหวนคู่หนึ่งก็พอ นอกจากนี้แล้ว ตลอดพิธีงานหมั้น พวกเขาทั้งสองคนไม่ต้องออกเงินใดๆ แค่ยินดีไปกับงานหมั้นก็พอ
พ่อฉินรู้สึกเหลือเชื่อจึงพูดขึ้นว่า “พวกเราไม่ต้องใช้จ่ายอะไร ก็สามารถแต่งวินนี่ผู้หญิงที่ดีขนาดนี้เข้าบ้านได้แล้วเหรอ?”
แม่ฉินสงสัยจึงถามขึ้นมาว่า “น่าจะแค่งานหมั้นที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใช่ไหม? งานแต่งพวกเราเป็นเจ้าภาพใช่ไหม? แต่แบบนี้ก็ไม่ค่อยดีอยู่ดี มีที่ไหนให้ฝ่ายหญิงออกเงินจัดงานหมั้น?”
ฉินสือโอวตอบว่า “นี่เป็นเพราะประเพณี ไม่ใช่แค่งานหมั้นนะครับ งานแต่งทางฝ่ายคุณพ่อคุณแม่ของวินนี่จะเป็นผู้รับผิดชอบเช่นกัน”
ปู่ของวินนี่เป็นคนจีน ถึงแม้ว่าจะจากประเทศจีนไปนานแล้ว แต่ก็เคยเข้าร่วมงานแต่งมาไม่น้อย จึงคุ้นเคยกับประเพณีของคนจีนดี
พอได้ยินพ่อแม่ของฉินสือโอวพึมพำ เขาจึงยิ้มออกมาพร้อมโบกไม้โบกมือ “พวกเรามาคุยกันเรื่องวันงานหมั้นก็พอแล้ว ส่วนงานที่เหลือจะเป็นทางฝั่งเราจัดการเอง มิแรนดากับมาริโอ้เฝ้ารอวันนี้มากนะ”
กล่าวกันว่าการแต่งงานของคนจีนเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แต่เรื่องนี้สำหรับคนต่างชาตินั้นฟุ่มเฟือยยิ่งกว่า โดยเฉพาะชาวแคนาดา เนื่องด้วยวัฒนธรรมประเพณีที่ต่างกัน หลายครอบครัวจึงเป็นการแต่งงานแบบหลายเชื้อชาติ มีแม้กระทั่งต้องจัดงานแต่งถึงสองครั้ง
งานแต่งฉินสือโอวครั้งนี้ก็พอๆ กัน เขายังต้องจัดงานที่บ้านเกิดอีกครั้ง และแน่นอนว่าถึงตอนนั้นเขาจะเป็นคนจ่ายเงินเอง
การแต่งงานของชาวต่างชาติ ค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานจะรับผิดชอบโดยฝ่ายหญิง การแต่งงานเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ครอบครัวชนชั้นทั่วไปใช้เวลานานกว่าจะกลับคืนสู่สภาพคล่องโดยปกติ ฉินสือโอวอยู่ที่แคนาดามาสองปีกว่าแล้ว จึงมีความเข้าใจในกฎระเบียบลับๆ ที่แสดงออกมาจากสังคมในรูปแบบต่างๆ หากลูกสาวของครอบครัวทั่วไปจะแต่งงาน เช่นนั้นพ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะต้องยุ่งกับการทำงานล่วงเวลาล่วงหน้าเป็นเวลาครึ่งปี
ในเมื่อชายชราเอ่ยปากแล้ว พ่อแม่ของฉินสือโอวก็ไม่พูดอะไรมากอีก พวกเขามั่นใจในเรื่องการเงินของฉินสือโอว และรู้ว่าความกระตือรือร้นของลูกชายที่มีต่อวินนี่จะไม่ทำให้ครอบครัวของเธอลำบากอย่างแน่นอน
ถัดมาก็เป็นเรื่องวันหมั้น ซึ่งคนแคนาดาไม่ได้ถืออะไรในเรื่องนี้มาก แต่งานแต่งงานกลับพิถีพิถันมากกว่า จะต้องจัดงานก่อนเดือนตุลาคม เพราะว่าอากาศหลังเดือนตุลาคมจะหนาวมาก…
มาริโอ้และมิแรนดาได้ปรึกษากันเรียบร้อยก่อนแล้วในเรื่องวันจัดงาน กำหนดไว้ว่าจะจัดในเดือนมิถุนายนที่กำลังจะมาถึงนี้
เดือนมิถุนายนเป็นเดือนที่สาวๆ แคนาดาเลือกที่จะออกเรือนมากที่สุด ซึ่งเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับนิยายโรมันอยู่
เดือนมิถุนายนภาษาอังกฤษก็คือ June ซึ่งชื่อนี้มาจากชื่อของจูโนเทพี (JUNO) ผู้ดูแลความรักและการแต่งงานในเทพนิยายโรมัน พวกสาวๆ จึงคิดว่าออกเรือนในเดือนนี้จะได้รับคำอวยพรจากจูโนเทพี
แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีผลอะไร เพราะก่อนหน้านั้นยังเคยมีคนรวบรวมสถิติ คนที่แต่งงานเดือนมิถุนายนมีอัตราในการหย่าร้างสูงที่สุด…
พ่อแม่ฉินสือโอวพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นกำหนดไว้ที่เดือนมิถุนายน วันที่เท่าไรล่ะ? พ่อแม่วินนี่เห็นผู้สูงวัยฝั่งตรงข้ามยิ้มเกร็งไม่กล้าแสดงความคิดเห็น จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ด้วยเหตุนี้จึงเชิญให้พวกเขาแสดงความคิดเห็นสักหน่อย
ฉินสือโอวรู้สาเหตุที่พ่อและแม่เกร็งๆ ครอบครัวของวินนี่สุดยอดมากๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้มิแรนดาจะเป็นแม่บ้านดูแลมาริโอ้และผู้สูงวัยสองคน แต่ก่อนที่จะลาออกเธอก็เป็นถึงบรรณาธิการบริหารนิตยสารที่ได้รับความนิยม ‘พริตตี้ ฟิตติ้ง’ ที่ใหญ่ที่สุดในที่ราบแพร์รีแคนาดา
ส่วนมาริโอ้ก็มีบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง จำนวนพนักงานยังมากกว่าคนในฟาร์มปลาของฉินสือโอวซะอีก แน่นอนว่ามูลค่าการผลิตแย่กว่ามาก ส่วนปู่และย่าของวินนี่เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ประเทศจีนสุดยอดยิ่งกว่า พวกเขาเป็นข้าราชการ ย่าของเธอยังเคยเป็นศาสตราจารย์รับเชิญของมหาวิทยาลัยชิงหัวด้วย
เมื่อเทียบกันแล้ว พ่อและแม่ของฉินสือโอวเป็นแค่ชาวนาธรรมดา และต้องเผชิญกับความกดดันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้ากินข้าวทั่วไปก็พอไปได้อยู่ แต่ถ้าให้ทุกคนนั่งด้วยกันพูดเรื่องสำคัญ พวกเขาจะรู้สึกเกร็งขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
แต่สิ่งที่ฉินสือโอวคิดว่าดีอยู่จุดหนึ่งก็คือ ท่านทั้งสองถึงแม้จะเกร็งแต่ก็ไม่ดูถูกตัวเอง และแน่นอนว่าเขาเป็นคนให้ความมั่นใจกับพ่อแม่เขาเอง ที่บ้านเกิดของเขา ฉินสือโอวถือได้ว่าเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวตามแบบมาตรฐาน แล้วยังเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวต่างชาติด้วย ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่คิดถึงความเก่งของเขาตรงนี้
ฉินสือโอวถามพ่อและแม่ว่าเดือนมิถุนายนมีวันดีวันไหนบ้าง พ่อฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ พวกเราเคารพในความคิดเห็นของครอบครัววินนี่เลยครับ เพราะที่นี่คือแคนาดา คาดว่าเทพยดาคงไม่ได้ดูแลมาถึงส่วนนี้ เพราะที่นี่พวกเขาก็มีอะไรนะ พระเยซูกับมารดาของเขาคอยดูแลไม่ใช่เหรอ? ดังนั้นก็ตามทางนี้เลยครับ”
เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรที่ต้องมาบังคับ ในเมื่อพ่อและแม่สะดวกแบบนี้ ฉินสือโอวก็ได้แต่ทำตามให้พ่อแม่ของวินนี่กำหนดวันเลย
มาริโอ้พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็วันที่ 2 เดือนมิถุนายนดีไหม? วันก่อนหน้าหนึ่งวันเป็นวันเด็กสากล พวกเราฉลองเทศกาลให้กับแฮทธาเวย์ หลังจากนั้นก็ฉลองต่อให้เด็กๆ สองคน?”
พ่อแม่ของฉินสือโอวพยักหน้าและตอบตกลง ความคิดแบบนี้ไม่เลวเลย
ฉินสือโอวเองรู้สึกว่าค่อนข้างกระชั้นชิดอยู่ ถึงแม้ว่างานหมั้นไม่ต้องจัดยิ่งใหญ่เหมือนกับงานแต่งงาน แต่ก็ต้องทำการ์ดเชิญให้เพื่อนๆ มาร่วมงาน ซึ่งปกติงานพวกนี้อย่างน้อยก็ต้องทำล่วงหน้าหนึ่งเดือน แต่ตอนนี้เวลาเหลือเพียงครึ่งเดือนนับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 2 เดือนมิถุนายน
ในเมื่อเวลามีไม่มาก พอกำหนดวันเรียบร้อย ฉินสือโอวและวินนี่ก็ต้องรีบทำการ์ดเชิญแล้ว
ในตอนแรกฉินสือโอวรู้สึกว่าส่วนมากน่าจะเป็นทางฝั่งวินนี่ เพราะแขกหลักๆ ของเขาอยู่ประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ แค่มางานแต่งงานก็โอเคแล้ว ส่วนงานหมั้นคงมาไม่ได้ เพราะอย่างไรก็แล้วแต่พวกพี่ๆ และเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันกับเขาก็คงไม่ได้ร่วมสนุกไปกับวันหยุดวันเด็กสากลหรอก
ปรากฏว่าพอได้นักออกแบบทำการ์ดเชิญมา วินนี่ก็มีสีหน้าขมขื่น “ฉันกับเพื่อนสมัยเรียนของฉันแตกแยกกันไปหมดแล้ว คงจะเชิญมาได้แค่ไม่กี่คน แต่ตอนที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสตอนนั้นมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่สนิทอยู่ แต่ก็มีจำนวนไม่เยอะ”
งานแต่งงานของคนจีน โดยเฉพาะบ้านเกิดที่ชนบทของฉินสือโอว งานหมั้นจริงๆ นั้นเรียบง่ายมาก แค่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝั่งมารวมตัวกัน กำหนดวันหมั้น ฝ่ายชายให้สินสอด กินข้าวด้วยกันแค่นั้นก็เรียบร้อยแล้ว แต่ที่แคนาดาทำแบบนั้นไม่ได้ ทั้งเพื่อนและญาติของทั้งสองฝ่ายต้องมาร่วมงานด้วย
ฉินสือโอวกอดวินนี่และพูดด้วยความรักว่า “ไม่เป็นไรนะ คุณส่งการ์ดเชิญไปให้พวกเขา ถ้าพวกเขาไม่มาก็เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณสักหน่อย?”
เออร์บักช่วยกรอกข้อมูลให้ทั้งสองคน เห็นวินนี่ดูท่าทางลำบากใจ เขาจึงยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “เกิดความเข้าใจผิดกับเพื่อนสมัยเรียนกันเหรอ? “
เขาพูดอ้อมๆ แต่จริงๆ ก็คาดเดาว่าตอนที่วินนี่เรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก แต่ครั้งนี้เขาพูดถูกแล้ว เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ เรื่องของฟอกส์และอาร์ม็อง เกี่ยวอะไรกับวินนี่ เธอก็เป็นผู้รับเคราะห์ไปต่างหากล่ะ?
หลังจากที่เคยพูดเรื่องที่ตัวเองประสบมาให้ฉินสือโอวฟัง ปมในใจของวินนี่ก็เริ่มคลายมากขึ้น พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอับอายอะไร จึงเล่าอีกครั้งให้เออร์บักฟัง
พอชายชราฟังจบแล้วก็หัวเราะอย่างเปิดเผย พูดขึ้นมาว่า “ง่ายมาก ฉันรับประกันได้เลยว่าพวกเขาต้องมา มานี่ ฉันจะสอนพวกเธอว่าต้องทำอย่างไร”
……………………………………….
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1160 แขกคือใครบ้าง
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!