บทที่ 174 ของขวัญจากฉันให้นาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อฉินสือโอวกลับมาถึงฟาร์มปลา เขาก็เห็นเรคที่กำลังรออยู่และพนักงานอีกสองคนที่กำลังยุ่งกับการประกอบรถเอทีวี
รถเอทีวีคันนี้ไม่จำเป็นต้องติดป้ายทะเบียนไม่ว่าจะที่จีนหรือแคนาดาก็ไม่ต้องติดเหมือนกัน
เนื่องจาก ’มาตรการการจัดการใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน’ ของที่จีนไม่มีรถประเภทเอทีวี นอกจากมันจะไม่ถูกจัดอยู่ในประเภทรถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั่วไปแล้ว มันยังไม่ถูกจัดอยู่ในประเภทรถของผู้พิการอีกด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุที่มันไม่สามารถใส่ป้ายทะเบียนได้แถมยังไม่สามารถขับขี่บนถนนได้ด้วย
แต่ในทางกลับกันที่แคนาดากลับมีรถประเภทนี้ และยังมีข้อกำหนดที่ชัดเจนด้วยว่ามันถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของรถประเภทพิเศษ และรถประเภทพิเศษจะสามารถใช้ได้แค่ในบางสถานที่เท่านั้น เช่นสวนสนุก สนามแข่ง ฟาร์มปลา ฟาร์มเกษตร ป่าและสถานที่ดำเนินกิจกรรมอื่นๆ และถ้านำไปขับขี่บนถนนก็จะถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่สามารถติดป้ายทะเบียนได้
จากนั้นเรคจึงได้อธิบายการนำไปขับให้ฉินสือโอวฟัง คือถ้าอยากจะนำรถไปขับเล่นล่ะก็ จะต้องเอาขึ้นหลังกระบะแล้วขับรถกระบะไปตามทางหลวงปกติ พอถึงสถานที่ที่มีไว้สำหรับเอทีวีก็ค่อยนำมันลงมาขับได้
เดิมทีฉินสือโอวไม่ได้คิดจะขับขึ้นทางหลวงอยู่แล้ว เขาแค่กะจะขับวนในเมืองเล็กๆ สักสองสามรอบก็พอ แต่หลักๆ แล้วคือเอาไว้ขับในฟาร์มปลานั่นแหละ
หลังจากเอทีวีรุ่นโพลาริส เอช 2 ประกอบเสร็จ เรคก็เติมน้ำมันลงไป จากนั้นเขาก็ให้ฉินสือโอวขึ้นไปลองขับดู
รถเอทีวีขับง่ายกว่ารถยนต์ซะอีก เพราะว่ามันไม่ใช่รถที่ใช้พวงมาลัยในการขับ แต่มันใช้แฮนด์ในการบังคับเหมือนกับพวกจักรยานและมอเตอร์ไซต์ นอกจากนี้เอช 2 ยังเป็นเกียร์ออโต้อีกด้วย แถมยังมีสตาร์ทไฟฟ้าซึ่งเพียงแค่กดปุ่มก็สามารถสตาร์ทได้แล้ว จากนั้นพอเหยียบคันเร่งก็สามารถวิ่งฉิวออกไปได้
ส่วนล้อของเอช 2 ก็ทั้งกว้างทั้งใหญ่ เมื่อขับไปบนชายหาดก็ไม่มีทางจมลงไปแน่นอน เพียงแต่ทรงมันยกสูงไปหน่อยเลยค่อนข้างจะโคลงเคลงเล็กน้อย แต่นี่ก็ถือว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของมัน
เมื่อขับบนชายหาดได้รอบหนึ่งแล้วฉินสือโอวก็รู้สึกชอบใจมากจึงให้เหมาเหว่ยหลงมาลองขับดูด้วย ส่วนเขาและเรคพากันมาทดสอบการใช้งานของบอมบาร์เดียร์ เอส 200 ที่เขาจะให้เป็นของขวัญแก่เด็กๆ
เรคก็เพิ่งจะรู้ว่าเออร์บักรับเด็กมาเลี้ยงถึงสี่คนจึงพูดขึ้นอย่างยินดี “คราวหลังถ้าว่างๆ ผมจะให้คันเบ็ดพวกเด็กๆ คนละคัน จะได้เอาไว้ใช้ตกปลาได้สบายๆ ถ้าคุณว่างก็ไปเอาที่ผมได้เลยนะ”
เรคบิ๊กฟุตไม่เหมือนกับคนแคนาดาทั่วๆไป เพราะคนอเมริกาเหนือส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับค่านิยมพวก ‘น้ำใจก็ส่วนน้ำใจ ธุรกิจก็ส่วนของธุรกิจ’ พ่อลูกที่ทำธุรกิจกันยังต้องคิดบัญชีกันเลย แต่เรคคนนี้ดูเหมือนกับพวกโรบินฮูดของจีนที่มักจะชอบแจกของหรือไม่ก็แจกส่วนลดเป็นประจำ
เรื่องนี้ชาร์คอธิบายเอาไว้ว่าพวกเขาล้วนเป็นลูกหลานชาวไวกิ้ง ดังนั้งจึงมีนิสัยใจคอที่แตกต่างจากพวกผู้อพยพผิวขาวชาวยุโรป
อีวิลสันเดินออกมาจากคฤหาสน์ที่อยู่ด้านหลัง พอเห็นเขา เรคก็ร้องออกมาอย่างตกใจ “เพื่อนของคุณนี่รูปร่างสูงใหญ่จริงๆ เลยนะ ไปหาคนตัวใหญ่ขนาดนี้มาจากไหนล่ะเนี่ย?”
ฉินสือโอวทักทายอีวิลสันแล้วปล่อยให้เขาไปเดินเล่นที่ชายหาด หลังจากนั้นเขาจึงค่อยเล่าเรื่องภูมิหลังของอีวิลสัน ที่จริงแล้วพอได้ยินชื่อของเขา เรคก็พอจะรู้แล้วว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร เขามองแผ่นหลังของอีวิลสันด้วยแววตาสับสนก่อนจะพูดขึ้น “ที่แท้ก็เป็นลูกของจูเลียเองหรอกเหรอ โตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”
“พวกนายรู้จักด้วยเหรอ?” ฉินสือโอวถามขึ้น
เรคยิ้มเจื่อนแล้วพูดขึ้น “ก็ทั้งผม ชาร์ค และซีมอนสเตอร์สนิทกันจะตาย คุณม่แปลกใจเหรอ? ที่จริงแล้วเมื่อสิบห้าปีก่อนบ้านผมเคยอยู่ที่แฟร์เวลมาก่อนน่ะ หลังจากนั้นพอฟาร์มปลาปิดตัวลง พ่อก็พาพวกเราไปที่เซนต์จอห์น แล้วก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา”
“ผมรู้จักอีวิลสันเพราะตอนที่เขายังเด็กก็เคยได้ดูแลเขาอยู่ สาเหตุก็เพราะแม่ของเขานั่นแหละ พี่จูเลียน่ะ” พอเรคพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พี่ชายผมเคยโดนจูเลียตามจีบอย่างบ้าคลั่ง แต่น่าเสียดายที่ต่อมาจูเลียก็มาฆ่าตัวตายและเขาคงจะทนรับความเจ็บช้ำนี้ไม่ไหวก็เลยไปเป็นทหารที่ควิเบก”
ฉินสือโอวพยักหน้าโดยไม่พูดไม่จา เรื่องในตอนนั้นไม่ได้ทำร้ายแค่ครอบครัวหนึ่งเท่านั้น
แต่จากนั้นเรคก็หันมาพูดกับเขาอีก “ชะตากรรมที่จูเลียต้องเจอไม่มีใครรับได้หรอก ประจวบกับตอนนั้นรัฐบาลได้ออกมาประกาศปิดฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ หลังจากนั้นเกาะแฟร์เวลก็กลายเป็นเกาะร้าง ทั้งสองเรื่องนี้ทำให้ผู้คนมากมายเริ่มหมดความหวังกับเมืองนี้สุดๆ และค่อยๆพากันออกจากเมืองไป”
พอได้เห็นอีวิลสัน ความรู้สึกของเรคก็ค่อยๆ ดิ่งลงเหว เห็นได้ชัดว่าเขาหวนกลับไปคิดถึงเรื่องในอดีตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
ฉินสือโอวมองดูอายุของเรค ตอนนั้นเขาน่าจะยังหนุ่มและมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะมีความรู้สึกดีๆ ให้จูเลียแน่นอน
จากนั้นพวกเขาก็พากันดื่มเบียร์เย็นๆ คนละแก้วก่อนที่เรคจะขอตัวกลับก่อน แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาก็ได้พูดขึ้น “ตอนนี้เจ้าเด็กอีวิลสันคนนี้ชอบอะไรเป็นพิเศษล่ะ?”
ฉินสือโอวกำลังจะพูดขึ้น แต่เรคก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “นอกจากการกินน่ะนะ เพื่อน ดูแค่รูปร่างก็รู้แล้วว่าเขาคงจะชอบของกิน”
พอคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ฉินสือโอวก็ได้แค่พยักหน้า “หมดแล้ว”
จากนั้นเรคก็เดินจากไปอย่างหดหู่ เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พอตกบ่าย พวกพาวลิสทั้งสี่คนก็วิ่งเข้ามาอย่างดีอกดีใจ เมื่อเห็นฉินสือโอว เชอร์ลี่ย์ก็หยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็กออกมา แล้วพูดขึ้นอย่างดีใจ “ลุงฉิน ดูสิว่าพวกเราหาเงินได้มากขนาดไหน? เยอะมากเลย!”
“ยินดีกับพวกเธอด้วย เหล่าเถ้าแก่น้อยทั้งหลาย” ฉินสือโอวปรบมือให้ทั้งสี่คน
หลังจากปรบมือให้แล้ว พาวลิส กอร์ดอนและมิเชลต่างก็พากันมองไปที่เชอร์ลี่ย์ เธอดูเขินอายอย่างมากก่อนจะหยิบผ้าโพกหัวสีน้ำเงินออกจากกระเป๋าหนังสือแล้วพูดขึ้นมา “ลุงฉิน นี่คือของขวัญที่พวกเราใช้เงินจากการขายเกี๊ยวน้ำซื้อมาให้นาย นายชอบไหม?”
เดิมทีฉินสือโอวไม่เคยใส่ผ้าโพกหัวมาก่อน แต่พวกชาวประมงและเจ้าของฟาร์มปลาต่างก็ใส่เจ้านี่เพื่อกันลมเวลาออกทะเล ผ้าโพกหัวจะช่วยป้องกันเส้นผมไม่ให้โดนน้ำทะเลหรือเป็นหวัดอะไรทำนองนั้น
เมื่อมองดูท่าทางที่ตื่นเต้นของเชอร์ลี่ย์ ฉินสือโอวก็รับเอาผ้าโพกหัวมาดู มันเป็นผ้าโพกหัวที่ดูทันสมัยผืนหนึ่ง แถมยังมีสีฟ้าสดและมีรูปการ์ตูนปลาวาฬทั้งผืนอีกด้วย
เขาเอาผ้าโพกหัวมาโพกเอาไว้บนศีรษะพลางเข้าไปกอดเชอร์ลี่ย์แล้วพูดออกมา “ขอบคุณเธอมาก เธอช่างรู้ใจฉันจริงๆ เลย ฉันชอบมากเลยล่ะ ฉันคิดมาตลอดเลยว่าจะซื้อมาไว้สักผืน แต่สุดท้ายก็ไม่เจออันที่ชอบสักที แต่ผืนที่เธอให้มานี้เป็นผืนที่เยี่ยมมากที่สุดเลย”
พอเชอร์ลี่ย์ยิ้มออกมา ฉินสือโอวก็ปล่อยเธอไป จากนั้นกอร์ดอนก็เดินเข้ามายื่นเครื่องประดับเล็กๆที่เอาไว้ห้อยคอให้เขา มันคือสร้อยคอเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง ตรงกลางมีจี้เหล็กกล้าสเตนเลสรูปหอยสังข์เล็กๆ อยู่ด้วย “นี่คือของขวัญจากผมนะฉิน”
จากนั้นพาวลิสก็หยิบแว่นกันแดดอันหนึ่งจากกระเป๋ากางเกงออกมาให้ฉินสือโอวแล้วพูดออกมา “เห็นคุณชอบตากแดด ลุงฉิน อันนี้คือแว่นกันแดดนะ มันสามารถช่วยปกป้องสายตาคุณจากแสงแดดได้”
ส่วนมิเชลที่เหลือเป็นคนสุดท้ายก็ค่อยๆหยิบสิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวตกใจออกมา มันก็คือปลอกแขนอันหนึ่ง เป็นปลอกแขนที่ฝีมือการทำค่อนข้างหยาบไปสักหน่อย
ปลอกแขนนี้ทำจากหนังกวางทั้งหมดและยังมีเข็มขัดสี่เส้นไว้รัดกับแขนให้แน่นหนา ตรงกลางปักเลี่ยมไม้ไว้อย่างไม่ค่อยจะละเอียดเท่าไร สิ่งนี้จะเห็นได้ทั่วไปกับคนที่เลี้ยงนกอินทรี ซึ่งพวกเขามักจะสวมใส่ไว้ที่แขนแล้วให้พวกเหยี่ยวหรืออินทรีทองมาเกาะบนแขน
“ฉิน ผมคิดว่าปลอกแขนอันนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของคุณกับเชสเตอร์ วิลเลี่ยม นิมิตส์ดีขึ้นกว่าเดิมน่ะ” มิเชลพูดอย่างเขินอาย
เมื่อมองไปที่ของขวัญเหล่านั้น ฉินสือโอวก็แทบจะไม่อยากเชื่อสายตาเล็กน้อย เขาเอาแต่จับพลิกไปพลิกมา เมื่อใบหน้าเล็กๆ ของมิเชลเห็นอย่างนั้นก็ถอดสีขึ้นมาทันทีแล้วรีบถามขึ้นมา “คุณไม่ชอบเหรอ?”
ฉินสือโอวดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน หลังจากนั้นก็โอบกอดเด็กๆ อีกสามคนแล้วพูดขึ้น “ไม่ๆ ฉันชอบสิ พวกเพื่อนๆตัวน้อยทั้งหลาย ฉันชอบมากเลยล่ะ! นี่คือของขวัญที่ดีที่สุดที่ฉันได้รับมาเลยนะ มันคือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตที่ฉันได้รับมาเลย! ขอบใจพวกเธอมากๆ เลยนะ พวกขวัญพวกนี้สุดยอดไปเลย!”
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคู่ชายหญิงถึงอยากมีลูกหลังแต่งงาน เพราะความรู้สึกที่มีคนมาเอาอกเอาใจแบบนี้มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าแต่ก่อนฉินสือโอวจะชอบซื้อของให้เด็กๆ สี่คนนี้ แต่ความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาก็คล้ายๆ กับการเลี้ยงสัตว์เท่านั้น ส่วนการรับเลี้ยงพวกเขาก็ยิ่งเป็นเหมือนหน้าที่ และเขาก็กำหนดบทบาทของตัวเองเป็นแค่ผู้ปกครองเท่านั้น
แต่ในตอนนี้ที่เขาได้รับของขวัญเหล่านี้ มันกลับทำให้เขาเข้าใจว่าหน้าที่ของเขานั้นห่างไกลจากคำว่าง่ายอยู่มาก!
และตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าที่พวกเด็กๆ ออกไปขายเกี๊ยวน้ำกันนั้น ไม่ใช่เพราะอยากจะฝึกฝนตัวเองหรืออะไรเลย เพียงแต่พวกเขาต้องการจะหาเงินมาซื้อของขวัญให้ฉินสือโอวก็เท่านั้น เพราะพวกเขาไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่นิดเดียว ฉินสือโอวก็ลืมเรื่องนี้ไปเลยเช่นกัน
ฉินสือโอวเอาผ้ามาโพกหัว เอาสร้อยมาสวมไว้ที่คอ จากนั้นก็สวมแว่นดำและมัดปลอกแขนอย่างแน่นหนา จากนั้นสักพักฉินสือโอวก็ไปหลบอยู่ใต้ร่มไม้แล้วผิวปากเรียกเชสเตอร์ วิลเลี่ยม นิมิตส์มา
ไม่นานนักเชสเตอร์ วิลเลี่ยม นิมิตส์ก็บินโฉบมาเกาะบนปลอกแขนของเขา ฉินสือโอวจึงค่อยเรียกเหมาเหว่ยหลงมา เพื่อให้เขาและพวกเด็กมาถ่ายรูปด้วยกัน
เมื่อเขาได้รับของขวัญจากเด็กๆแล้ว เขาจึงคิดว่าจะเริ่มแจกของขวัญให้เด็กๆบ้าง
ที่จริงฉินสือโอวนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากบอสตันและไมอามีมาฝากเด็กๆ ทั้งสี่ด้วย แต่เขาก็ยังไม่รู้จะให้เด็กๆ เนื่องในโอกาสอะไรดี ดูเหมือนตอนนี้โอกาสนั้นจะมาถึงแล้ว
เขาให้เสื้อบอลแก่เด็กๆ คนละตัว แถมบนนั้นยังมีลายเซ็นของนักบอลชื่อดังอีกด้วย นอกนั้นยังมีพวกของใช้ในการออกกำลังกายเช่นปลอกสวมหัวเข่ากับผ้ารัดข้อมือ และสุดท้ายเขาก็หยิบลูกบาสยี่ห้อสปัลดิงออกมาแล้วถามขึ้น “พวกเธอใครชอบบาสเกตบอลบ้าง? เดี๋ยวต่อไปพวกเรามาเล่นด้วยกันนะ”
เด็กทั้งสี่ต่างก็ยังไม่เคยเล่นบาสเกตบอลมาก่อน ส่วนมิเชลก็ได้แต่เกาหัวแล้วนึกถึงตอนเขารับลูกบาสแล้วเลี้ยงลูกอย่างงุ่มง่ามในครั้งก่อน จากนั้นเจ้าตัวก็พูดขึ้น “งั้นเดี๋ยวผมเล่นเป็นเพื่อนคุณเอง ดีไหมลุงฉิน?”
“ดีมากเลยล่ะ” ฉินสือโอวตอบอย่างมีความสุข
แต่ตอนนี้ยังเหลือเซอไพร์สุดท้ายที่ยังไม่ได้หยิบออกมา ฉินสือโอวกะว่าจะรอให้ทานข้าวเย็นกันเสร็จก่อนแล้วค่อยพาเด็กๆทั้งสี่ไปที่ชายหาด ที่มีบอมบาร์เดียร์ เอส 200 คันน้อยแต่เครื่องยนต์และสมรรถนะดีเยี่ยมจอดอยู่ตรงนั้น
ฉินสือโอวพาพวกเขาทั้งสี่เดินไปที่นั่น พอไปถึงเขาก็ให้พาวลิสขึ้นไปนั่นบนรถแล้วพูดออกมา “หนุ่มน้อย รถคันนี้เป็นของนายแล้วนะ ต่อจากนี้ไปมันจะเป็นรถแข่งของนายแล้ว ชอบไหม?”
ตอนที่พาวลิสเห็นรถเอทีวีครั้งแรกก็คาดไว้แล้ว แต่พอฉินสือโอวพูดออกมาก็ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากกว่าเดิมจนต้องร้องขึ้นมา “มายก๊อด นี่รถของมเหรอ? มันเป็นรถของผมแล้วเหรอ? จริงเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลย โอ้มายก๊อด นี่คือรถแข่งของผมจริงๆ ใช่ไหม?”
แล้วฉินสือโอวก็ถ่ายรูปให้เขาพร้อมพูดขึ้น “ใช่แล้ว มันเป็นรถแข่งของนาย รถแข่งคันแรกของนาย และเส้นทางนักแข่งรถของนายจะเริ่มต้นจากตรงนี้แหละ และฉันก็หวังว่าสักวันหนึ่งนายจะได้ขับพวกเฟอรารี่หรือไม่ก็ฟอร์ดควบทะยานไปในสนามแข่งฟอร์มูล่าวันด้วยนะ!”
พาวลิสทั้งลูกคลำไปที่ส่วนหัวของบอมบาร์เดียร์ เขาทั้งลูบทั้งคลำไปทุกส่วนทุกซอกทุกมุมของมัน ขณะลูบไปก็ร้องไห้ไปด้วย แล้วสุดท้ายเขาก็กอดไปที่แฮนด์จับแล้วร้องไห้โฮออกมายกใหญ่
ฉินสือโอวเห็นดังนั้นจึงเข้าไปกอดเขาแล้วพูดปลอบประโลมออกมา “ไม่ร้องแล้วๆ พาวลิส นายเป็นพี่ใหญ่นะ ทีหลังไม่ต้องร้องแล้ว รอให้นายได้ถือถ้วยรางวัลที่หนึ่งของการแข่งขันฟอร์มูลาวันมืออาชีพก่อนแล้วกัน ถึงตอนนั้นแล้วค่อยร้อง โอเคไหม”
ฉินสือโอเข้าใจพาวลิส เพราะเขาเป็นพี่คนโตสุดในเด็กทั้งสี่ แต่ก่อนสมัยที่ยังร่อนเร่พเนจร เขาต้องดูแลทั้งน้องชายและน้องสาว มีอะไรเขาก็จะให้น้องๆ ทานก่อนตลอด เมื่อถึงคราวลำบากเขาก็เป็นคนออกรับแทนเสมอ แม้ว่าจะต้องโดนตีจนได้รับแผลไปทั่วทั้งตัวก็ตาม
นอกจากนี้พาวลิสยังเป็นคนผิวสี คนผิวสีในแคนาดาจะไม่เหมือนคนผิวสีส่วนใหญ่ในอเมริกา ยิ่งบวกกับแคนาดายังเป็นอนุรักษนิยมกันอยู่ การเหยียดสีผิวของที่นี่จึงค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเรื่องราวที่พาวลิสเคยเผชิญมาจะหนักหน่วงและอ้างว้างได้ขนาดไหน
พอหลังจากร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังเสร็จแล้ว พาวลิสก็เช็ดน้ำตาให้แห้งพร้อมพูดออกมาทั้งรอยยิ้ม “ฉิน คุณสอนผมขับเจ้านี่หน่อยได้ไหม?”
“งั้นนายตั้งชื่อให้มันก่อนดีไหม” ฉินสือโอวพูดขึ้น
พาวลิสคิดไปคิดมาแล้วก็พูดออกมา “งั้นเรียกมันว่าซีบิสกิตดีไหม?”
ซีบิสกิตเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่พวกกะลาสีชาวอเมริกันหรือพวกชาวประมงทานกันเป็นประจำในสมัยก่อน แต่ต่อมาเงินทุนในการผลิตต่ำลงจึงส่งผลให้รสชาติแย่ หลังๆมาคุณภาพเลยไม่ดีเท่ากับชื่อเสียง
นอกจากนี้ มันยังเป็นชื่อที่มีชื่อเสียงมากในการแข่งม้าครั้งหนึ่งและยังถือเป็นตัวแทนของชื่อแปลกชื่อหนึ่งในตำนานอีกด้วย!
………………………………………………………………