ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัววิ่งตะบึงไปบนทุ่งหญ้า แสงอาทิตย์ส่องประกายลงมาบนขนสีขาวดำ เปล่งแสงสว่างสดใสอยู่บนร่างกายรูปร่างเพรียวลม อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
ในตอนนี้ฉินสือโอวเพิ่งจะได้สัมผัสถึงเสน่ห์ของม้าพันธุ์ดี บางทีอาจจะเป็นเพราะม้าควอเตอร์พวกนั้นไม่งดงามมากพอ ไม่ใช่เพราะม้าพันธุ์ดีไร้ซึ่งเสน่ห์ดึงดูดต่อเขา
ที่ด้านหลังลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์คือฝูงห่านขาวที่กำลังยื่นคอออกมา พร้อมกับกางปีกทั้งสองข้างออก พวกมันใช้สายตาอาฆาตมาดร้ายจ้องมองไปที่ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ที่วิ่งอยู่ทางด้านหน้า ส่วนพวกมันที่ตามอยู่ทางด้านหลังก็เรียกได้ว่าไล่ตามแบบกัดไม่ยอมปล่อย
แต่ถึงแม้ว่าทางด้านหลังจะมีกองทัพศัตรูไล่ตามมาติดๆ ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองก็ยังวิ่งตะบึงได้อย่างผ่าเผยและเป็นธรรมชาติ พวกมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวบางอย่างที่ม้าควอเตอร์ไม่มี
ฉินสือโอวชี้นิ้วไปทางด้านหน้า พวกหู่เป้าฉงหลัวร้องคำรามเสียงต่ำพร้อมกับบุกไปข้างหน้า ลูกแมวป่าทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีสัตว์อื่น มันสะบัดหางอันใหญ่วิ่งตามไปด้านหลัง แต่หลังจากวิ่งเข้าไปถึงตรงบริเวณกึ่งกลางของทุ่งหญ้าก็ไม่เจอตัวมันแล้ว
สมัยที่ยังเล็กอยู่ พวกหู่เป้าฉงหลัวต่างก็เคยเผชิญกับความเจ็บปวดจากฝูงห่านขาว ในตอนนั้นพวกมันยังหัวอ่อน ขนก็ยังอ่อนนุ่ม ทำให้หลายๆ ครั้งเวลาถูกฝูงห่านล้อมเอาไว้พวกมันก็ไร้ซึ่งปัญญาที่จะรับมือด้วย ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น พวกมันโตขึ้นแล้ว การรับมือกับฝูงห่านก็เป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย
ได้เห็นเงาร่างที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีของฉงต้า พวกห่านขาวก็อ่อนแรงลง ไม่กล้าไล่ตามด้วยความกำแหงอีกต่อไป แต่พากันหยุดอยู่กับที่แล้วมองดูฉงต้าด้วยท่าทีอ่อนแอ
ฉงต้าคิดในใจว่าเจ้าพวกชั่วช้าอย่างพวกแกก็มีวันนี้เหมือนกันเหรอ? ฟาดอุ้งเท้าอวบอ้วน ตบพวกห่านขาวเหมือนหวดลูกปิงปองจนพวกมันร้องแควกๆ บินกระจายไปคนละทิศคนละทางอย่างน่าเวทนา
หู่จือเป้าจือหลัวปอที่ตามมาทางด้านหลังไม่จำเป็นต้องลงมือเลย พวกมันลากเสียงจากในลำคอร้องขู่ออกมาไม่กี่ครั้ง เท่านั้นก็ทำให้พวกมันดูแข็งแกร่งมากพอแล้ว
เมื่อลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์หันกลับไปมอง ก็พบว่าฝูงห่านขาวอันธพาลถูกพวกฉงต้าโจมตีจนพ่ายแพ้ยับเยิน ลูกม้าทั้งสองตัวหันมาสบตากันชั่วครู่ ต่อจากนั้นพวกมันทั้งสองตัวก็หันหัวกลับไปอย่างไม่ลังเล แล้วบุกเข้าไปหาฝูงห่านขาวราวกับพายุหมุน กีบเท้าขนาดเล็กทั้งเตะทั้งถีบ ยิ่งทำให้สถานการณ์ทางฝั่งพวกห่านขาวยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พวกหู่เป้าฉงหลัวรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ฉงต้าหันหัวไปดูลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ที่กำลังออกสกิลดับเบิลคิกอยู่ข้างๆ คำว่าเลื่อมใสตัวโตๆ ถูกเขียนไว้บนใบหน้าอวบอ้วนของมัน น้องชายช่างมีจิตใจที่แข็งแกร่งจริงๆ ตอนที่พวกพี่ๆ อายุเท่าพวกนายมีแต่ถูกฝูงห่านไล่จนแทบฉี่รดฉี่ราด
ฉินสือโอวกอดอกพูดด้วยรอยยิ้มว่า “โว้ว เจ้าสองตัวนี้ดูจะมีอารมณ์รุนแรงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
ตอนที่ได้พบกันบนท่าเรือ สายตาของลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ยังดูขลาดอายอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับบุกเข้าไปสู้ท่ามกลางฝูงห่าน ราวกับว่าพวกมันเป็นจ้าวจื่อหลงจากภูเขาฉางซาน
คาปริโนจึงพูดขึ้นมาว่า “ปล่อยไปเถอะน่า ฉิน นี่มันจะเท่าไรกันเชียว? ปกติมาก พวกมันคือม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์นะไม่ใช่แมวลาย ถ้าไม่มีอารมณ์รุนแรงเลย แล้วพวกมันจะต้อนวัวต้อนแพะได้ยังไงกันล่ะ?”
เมื่อเทียบกันแล้ว ความสามารถของพวกวัวพันธุ์บราห์มันกับแพะขาวก็ยิ่งดูด้อยกว่า ก่อนหน้านี้พวกมันถูกฝูงห่านล้อมรังแก ต่อมาพอฉงต้าไล่ฝูงห่านพวกนั้นออกไป พวกมันก็ไม่กล้าไล่ตามเพื่อไปทำการต่อสู้ด้วย ทำเพียงแค่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วรับชมการต่อสู้อย่างว่าง่ายก็เท่านั้น
ไล่ตามฝูงห่านไปได้ไม่เท่าไร พวกหู่เป้าฉงหลัวก็หยุดฝีเท้าลง ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ชำนาญด้านการวิ่ง อย่ามองว่าอายุของพวกมันยังน้อย ตอนนี้แหละที่เป็นช่วงที่พวกมันสามารถรักษาพลังในการต่อสู้ไว้ได้ดีที่สุด พวกมันวิ่งไล่ตามอยู่ทางด้านหลัง วิ่งออกไปอีกหลายร้อยเมตรถึงเพิ่งจะหยุดฝีเท้าลง
การต่อสู้เป็นวิธีกระชับมิตรที่ดีที่สุด พวกฉงต้าดึงลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์มาเป็นพวกทันที หู่จือเข้าไปเลียน่องขาของลูกม้า ส่วนลูกม้าก็เลียหลังของมันกลับ แบบนี้ก็เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว
ฉงต้าลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาพวกมันอย่างงกๆ เงิ่นๆ มันยื่นอุ้งเท้าอวบอ้วนออกไปตบลงบนหน้าผากของลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์เบาๆ ลูกม้าก็ยื่นนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นราวกับว่าพวกมันคือน้องเล็กผู้ซื่อสัตย์
ภาพนี้ทำให้ฉินสือโอวเอ่ยชมออกมาขนานใหญ่ “ชิท ม้าสองตัวนี้สุดยอดไปเลย พวกมันไม่กลัวหมีสีน้ำตาลเลยเหรอเนี่ย? นี่มันหาได้ยากสุดๆ ไปเลย”
เห็นได้ชัดว่าคาปริโนเข้าใจม้าของเขามากกว่า เขาจึงพูดอธิบายด้วยความเก้อเขินว่า “ผมกล้าพูดเลยว่าพวกมันไม่ได้ไม่กลัว แต่กำลังช็อกอยู่ต่างหาก ตอนนี้คงพากันกลัวจนไม่กล้าวิ่งหนี”
ฉงต้าตบหน้าผากลูกม้าอยู่ไม่กี่ทีก็หันหลังกลับแล้วเดินกลับไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวมันก็เห็นว่าเพื่อนใหม่ไม่ได้เดินตามมาด้วย จึงหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ
ท่อนขาเรียวเล็กของลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวกำลังสั่นระริก พวกมันก็อยากจะก้าวเดิน แต่ดันก้าวขาไม่ออกนี่สิ…
ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์มีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามมาก พวกเชอร์ลี่ย์ที่เพิ่งจะกลับมาจากในเมืองวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาหา เมื่อมองเห็นลูกม้าทั้งสองตัวพวกเขาก็ร้องเสียงแหลม แล้วพากันเฮโลพุ่งเข้ามาหาพวกมันทันที
ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ที่กำลังกินหญ้าอยู่ตกใจจนตัวโยน พวกมันหันหัววิ่งหนีทันที กีบเท้าม้าก้าวย่างอย่างนุ่มนวล พวกเด็กๆ วิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังแม้แต่ก้นม้าก็คว้าไว้ไม่ทัน
รอจนวินนี่เลิกงานแล้ว ฉินสือโอวจึงอยากจูงลูกม้าอเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวไปรอที่หน้าประตูทางเข้า เพื่อเซอร์ไพรซ์วินนี่
แต่ปรากฏว่าพวกลูกม้ากลับตกใจเพราะพวกเด็กๆ เสียก่อน เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาใกล้ พวกมันก็รับสะบัดกีบเท้าวิ่งหนีต่อทันที
ฉินสือโอวจึงโบกมือ แล้วตะโกนว่า “หู่จือเป้าจือ จัดการ จับกลับมาให้ได้!”
หู่จือกับเป้าจือชำนาญในเรื่องการล่าสัตว์เป็นอย่างยิ่ง ตัวหนึ่งไล่ตามไปโจมตีตรงๆ ส่วนอีกตัวก็ตีปีกโอบล้อมลูกม้าจากทางด้านข้าง นี่เป็นยุทธวิธีแบบฉบับดั้งเดิมของพวกมัน
ทว่าคราวนี้ยุทธวิธีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลแล้ว พวกมันเหมาะที่จะใช้วิธีนี้ในการจัดการฝ่ายตรงข้ามที่มีขนาดตัวเล็กกว่าพวกมันเท่านั้น อย่างลูกม้าอเมริกัน เพนต์สองตัวนี้ ทั้งหู่จือและเป้าจือต่างก็ไม่มีใครมีร่างกายสูงใหญ่ ต่อให้ตามพวกมันทันแล้วยังไงล่ะ? ลูกม้าไม่ได้กลัวพวกมัน ไม่มีทางถูกพวกมันไล่ต้อนให้วิ่งกลับมาแน่
เป้าจือปิดล้อมพวกมันไว้จากทางด้านข้าง ถึงแม้ว่าจะสามารถปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ได้ ทว่าลูกม้าอเมริกัน เพนต์หัวดำก็เลือกที่จะพุ่งเข้าชนมันอย่างไร้อารยะ ‘ปัง’ เมื่อเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา เป้าจือก็ม้วนกลิ้งออกไปราวกับลูกโบวลิ่ง…
แม้กระทั่งหู่จือกับเป้าจือก็จับลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ไว้ไม่ได้ ฉินสือโอวก็เริ่มปวดกระบาลขึ้นมาแล้ว เวรเอ๊ย ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาคงไม่กล้าเลี้ยงลูกม้าทั้งสองตัวแบบปล่อยหรอก ดีเลยล่ะคราวนี้ รับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ซะ
แบล็คไนฟ์เห็นฉินสือโอวหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ทางนั้น เขาเลยถามขึ้นมาว่า “บอส คุณอยากคล้องม้าสองตัวนั้นไว้เหรอครับ?”
ฉินสือโอวพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ใช่ แต่หู่จือกับเป้าจือจับพวกมันไว้ไม่ได้ แถมเจ้าสองตัวนั้นก็ยังเด็กเกินไป ฉันเลยไม่กล้าจับพวกมันด้วยวิธีที่รุนแรงเกินไป”
แบล็คไนฟ์หัวเราะออกมา เขาถอดเสื้อตัวนอกออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรงราวกับหินผา แล้วพูดขึ้นมาว่า “คอยดูผมแล้วกันนะครับ บอส ผมพูดได้แค่ว่านี่น่ะเรื่องกล้วยๆ!”
พอพูดจบ แบล็คไนฟ์ก็ตะโกนใส่วิทยุสื่อสารว่า “แอร์แบ็ค ออกมาคล้องม้าที!”
เห็นท่าทางของแบล็คไนฟ์เป็นแบบนี้ ฉินสือโอวก็นึกว่าเขาจะร่วมมือกับแอร์แบ็ค ปรากฏว่าหลังจากแอร์แบ็ควิ่งออกมาหาแล้ว เขาก็เล่าความต้องการของฉินสือโอวให้ฟังคร่าวๆ หลังจากนั้นแอร์แบ็คจึงแผ่มือออกพร้อมกับพูดว่า “โอเค ใช้เวลามากที่สุดแค่ห้านาทีเท่านั้น เดี๋ยวแอร์แบ็คก็พาพวกมันกลับมาได้แล้วละครับ”
ฉินสือโอวถามว่า “แอร์แบ็คคล้องม้าได้ด้วยเหรอ?”
แบล็คไนฟ์จึงพูดอย่างภูมิใจนำเสนอว่า “บอส คุณต้องลืมบ้านเกิดของแอร์แบ็คไปแล้วแน่ๆ เขาคือคาวบอยจากเมืองแดลลัส รัฐเท็กซัส เขาคล้องม้าเป็นก่อนจะรู้จักช่วยตัวเองเป็นเสียอีก”
ฉินสือโอวมองดูแบล็คไนฟ์ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ก็ถ้าอย่างนั้น งั้นฉันขอถามหน่อยว่านายถอดเสื้อผ้าท่อนบนทำไม?”
แบล็คไนฟ์หัวเราะแห้งๆ พูดพึมๆ พำๆ ว่า “อากาศร้อน อากาศมันร้อนนิดหน่อยน่ะ”
แอร์แบ็คขึ้นไปบนเรือเพื่อหาเชือกมาคล้องเป็นบ่วงบาศ ต่อจากนั้นเขาก็ขับรถเอทีวีออกไปไล่ตามลูกม้าทั้งสองตัวด้วยความเร็วราวกับติดปีก
เห็นรถเอทีวีเข้าเคลื่อนเข้ามา ลูกม้าทั้งสองก็ยิ่งรู้สึกกลัว พวกมันสะบัดกีบเท้าแยกกันวิ่งหนี แอร์แบ็คไล่ตามลูกม้าหัวสีดำวาวก่อน เขาใช้มือข้างหนึ่งบังคับรถเอทีวี ส่วนมืออีกข้างก็จับบ่วงเชือกแล้วควงมันให้เป็นวงกลม
แอร์แบ็คแขวนมันไว้ที่ด้านหลังม้าหัวสีดำตัวนั้นก่อน เขาไล่ตามมันอยู่สองนาทีกว่าๆ โดยที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร เมื่อเป็นเช่นนี้จิตใจที่คอยระแวดระวังของม้าหัวสีดำก็เริ่มหายไป มันค่อยๆ ลดระดับความเร็วในการวิ่งลงอย่างช้าๆ ทั้งยังหันกลับมามองรถเอทีวีด้วยความประหลาดใจอีกด้วย
……………………………………………
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1322 ชายผู้คล้องม้า
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!