บรรยากาศในโบสถ์ค่อนข้างเงียบขรึม ในห้องแสดงนิทรรศการมีรูปภาพขาวดำอยู่เป็นจำนวนมาก โดยใช้ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นหลัก ยุคปีห้าศูนย์หกศูนย์ก็มี แต่ยิ่งใกล้ยุคปัจจุบันภาพถ่ายก็น้อยลง
ฉินสือโอวมองดูรูปภาพพวกนี้ เพียงเพื่อที่จะเรียนรู้ประเทศแคนาดาในสมัยก่อนเท่านั้น เออร์บักเองก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจ เขาถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ในนี้มีอะไรอยู่หลายอย่างเลย เป็นของที่ฉันไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้วทั้งนั้น”
ฉินสือโอวแย้มยิ้มพูดว่า “เวลาผ่านไปเร็วมาก ใช่ไหมครับ?”
เออร์บักตบไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ดังนั้นนายต้องเห็นคุณค่าของวันเวลาในตอนที่ยังเยาว์วัย ฉันคิดว่าครั้งหน้าที่พูดประโยคนี้ บางทีตอนนั้นนายอาจจะมีอายุเท่าฉันในตอนนี้แล้วก็ได้ ฮ่าๆ”
หลังจากชมนิทรรศการในห้องแรกไปแล้ว ซิมมอนส์ก็พาพวกเขาไปยังห้องจัดแสดงนิทรรศการห้องที่สอง ในตอนนี้แฮมเล็ตก็เดินเข้ามาทักทายพวกเขาแล้ว “เฮ้ ฉิน คุณเออร์บัก วินนี่ที่รัก เมื่อสักครู่ไม่ได้เข้ามาต้อนรับทุกคนให้ดี ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
ฉินสือโอวจับมือกับเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย หลังจากนี้แค่ทำดีกับลูกน้องของคุณให้มากๆ ก็พอ”
ซิมมอนส์นึกว่าเขาหมายถึงตัวเอง เขากังวลว่าจะทำให้ฉินสือโอวเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายว่า “ไม่นะครับ คุณแฮมเล็ตดีกับผมมาก”
ฉินสือโอวดึงวินนี่เข้ามาแล้วพูดว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วละครับ คุณซิมมอนส์ ผมหมายถึงภรรยาของผมน่ะ เธอก็ถือว่าเป็นลูกน้องของคุณแฮมเล็ตเหมือนกันใช่ไหมใช่ไหมล่ะ?”
หลังจากมาพบกับแฮมเล็ตแล้ว หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาอีก ซึ่งก็คือเอี๋ยนตงเหล่ยผู้ควบคุมหางเสือของสมาคมช่วยเหลือชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์นั่นเอง งานแบบนี้จะขาดเขาไปไม่ได้เลย
หลังจากที่เอี๋ยนตงเหล่ยได้พบกับฉินสือโอว พวกเขาทักทายกันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นเอี๋ยนตงเหล่ยก็พาพวกเขาไปที่ห้องจัดแสดงนิทรรศการอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องเดียวกันกับที่ซิมมอนส์กำลังจะพาพวกเขาไป ห้องจัดแสดงนิทรรศการเพื่อรำลึกถึงการอุทิศตนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองของชาวจีน
ในห้องนี้มีคนจีนผิวเหลืองตาดำอยู่หลายคน บางส่วนเป็นทหารเก่าที่สวมเครื่องแบบทหารกับห้อยเหรียญตรา มีชายชราแบบนี้อยู่ทั้งหมดห้าคน ทุกคนเป็นชายชราที่มีอายุอยู่ระหว่าง 70 ถึง 90 ปีที่มีคนคอยติดตามอยู่ข้างกาย
ฉินสือโอวค่อนข้างมีชื่อเสียงในนิวฟันด์แลนด์ คนเหล่านี้แทบจะรู้จักเขากันทุกคน และถึงจะไม่รู้จักเขาแต่ก็ยังรู้จักเอี๋ยนตงเหล่ย เและหมือนว่าคนหลังก็แทบจะรู้จักกับคนจีนทั่วทั้งแคนาดาแล้ว
คนเหล่านี้ค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาทักทายพวกเขาทั้งสอง ฉินสือโอวก็แสดงการทักทายเป็นมารยาทตอบกลับไป ทำให้เขาได้รู้จักกับทุกๆ คนผ่านการแนะนำของเอี๋ยนตงเหล่ย
ตอนเขาเดินเข้ามาในห้อง ก็มีชายชราที่กำลังยืนพิงไม้เท้าหัวมังกรคนหนึ่งหันมาพินิจมองเขาอย่างละเอียด รอจนกระทั่งได้ยินเอี๋ยนตงเหล่ยแนะนำว่าเขาเป็นใคร ชายชราผู้นั้นก็ชิงเข้ามาถามเขาก่อนคนอื่นๆ “พ่อหนุ่ม นายใช้แซ่ฉินเหรอ?” เป็นลูกหลานของพี่ฉินหงเต๋อหรือเปล่า?”
ฉินสือโอวได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็รีบยืดตัวตรงแล้วปรับท่าทางให้ดูสุภาพ เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้รู้จักกับคุณปู่สองของเขา เท่านี้ก็นับว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่แล้ว “ใช่แล้วครับ คุณปู่ ผมเป็นหลานของเขาครับ”
ชายชราหัวเราะออกมา ดูท่าทางเขาน่าจะมีอายุประมาณเก้าสิบกว่าปี บนศีรษะมีเส้นผมสีขาวบางตา ทว่าเสียงพูดกลับยังก้องกังวานชัดเจน เพียงแต่ว่าสำเนียงจีนกลางของเขาไม่ค่อยลื่นไหลเท่านัก สำเนียงคล้ายกับคนทางเหนือมากกว่า ซึ่งฉินสือโอวเองก็ฟังรู้เรื่อง
ชายชราควานหากระเป๋าตังค์ออกมา ข้างในนั้นมีภาพถ่ายรูปหมู่อยู่หนึ่งใบ ในนั้นเป็นภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่ยังหนุ่มยังแน่น เขาชี้ให้ดูชายหนุ่มตัวสูงที่อยู่ตรงกลางพร้อมกับพูดว่า “คนนี้ นายจำได้ไหมว่าคนนี้คือใคร?”
ฉินสือโอวเคยเห็นรูปถ่ายของปู่สองมาหลายครั้ง พวกเขาทั้งสองคนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมาก ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมระหว่างรุ่น ดังนั้นแค่มองแวบเดียวเขาก็จำได้แล้ว คนที่ชายชรากำลังชี้ให้ดูก็คือปู่สองของเขานั่นเอง
ฉินสือโอวประคองชายชราเพื่อไปหาที่นั่ง หลังจากนั้นก็ถามเขาว่า “สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คุณปู่เป็นเพื่อนร่วมรบกันเหรอครับ?”
ชายชราหัวเราะออกมาแล้วพูดกับเขาว่า “ใช่แล้ว ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมรบกันนั่นล่ะ ถึงจะไม่เคยเข้าร่วมสงครามด้วยกัน แต่ก็เคยร่วมฝึกด้วยกันมาก่อน”
เอี๋ยนตงเหล่ยเล่าให้เขาฟังว่า “ผู้อาวุโสเฉินเป็นวีรบุรุษในสงครามคราวนั้น ท่านเป็นนายทหารที่สมัครเข้าร่วมกับกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 136 ของกองทัพอังกฤษ ในตอนนั้นมีนายทหารชั้นเยี่ยมอยู่แปดสิบนาย แต่ตอนนี้เหลือท่านแค่คนเดียวแล้ว”
ได้ยินอย่างนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกเคารพและเลื่อมใสในตัวชายชราขึ้นมา ก่อนจะมาที่นี่เขาตั้งใจศึกษาเรื่องเกี่ยวกับกองทัพลับ 136 มาโดยเฉพาะ กองกำลังหน่วยนี้จัดตั้งขึ้นโดยคนจีนทั้งหมด โดยมีภารกิจคือการเข้าไปสอดแนมข้าศึกในแนวลึกและก่อภารกิจทำลายล้าง ถ้าใช้คำแบบสมัยปัจจุบัน พวกเขาก็คือหน่วยรบพิเศษนั่นเอง
สาเหตุที่กองกำลังทั้งกองมีแต่ทหารชาวจีน ก็เพราะสนามรบเอเชียในตอนนั้นจำเป็นต้องใช้ทหารที่มีลักษณะแบบคนเอเชีย เพื่อให้ง่ายต่อการส่งไปปฏิบัติภารกิจในแนวหลังของกองทัพญี่ปุ่นที่เป็นศัตรู และในสมัยนั้นคนเอเชียส่วนใหญ่ที่อยู่ในแคนาดาส่วนมากก็มีแต่ชาวจีน
ชายชราตบลงไปบนมือของฉินสือโอวเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “ฉันได้รู้จักกับปู่ของนายตั้งแต่ตอนนั้น พวกเราทุกคนถูกเกณฑ์เข้าไปอยู่ในกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 136 กองฝึกแวนคูเวอร์ แต่ต่อมานายทหารชั้นผู้ใหญ่ของอังกฤษรู้ว่าพี่ฉินมีทักษะในการว่ายน้ำที่ดี จะให้ไปรบที่เอเชียตะวันออกก็จะเป็นการเสียเปล่าเกินไป ดังนั้นพวกเราก็เลยต้องแยกจากกัน”
เรื่องนี้ฉินสือโอวเคยได้ยินที่เออร์บักเล่าให้ฟังมาก่อนแล้ว ปู่สองของเขาไม่ได้สมัครเข้าร่วมกับกองทัพ แต่รับผิดชอบภารกิจด้านการขนส่งของกองกำลังพันธมิตรที่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ปู่ของเขาเคยมีเรือขนส่งอยู่ในมือถึงหนึ่งขบวนเรือ
ก่อนช่วงปีแปดศูนย์ เป็นช่วงที่ชาวจีนในแคนาดาใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบาก พวกเขาถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง การที่ชาวจีนจะเปิดฟาร์มปลาส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะปู่สองของเขาเคยสร้างคุณูปการในช่วงสงคราม อีกทั้งยังมีขบวนเรือขนส่งที่ช่วยเก็บเงินตั้งตัว ปู่สองของเขาจึงสามารถสร้างฟาร์มปลาต้าฉินขึ้นมาได้
คนแก่ชอบพูดถึงเรื่องในอดีต ต่อจากนั้นชายชราจึงเริ่มเล่าเรื่องราวบางส่วนของเขากับฉินหงเต๋อในสมัยนั้นรวมถึงประสบการณ์ในสนามรบของตัวเองให้ฉินสือโอวฟัง
จากคำบอกเล่าของชายชราทำให้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการดูถูกเหยียดหยามที่คนจีนในสมัยนั้นต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี ในช่วงแรกของการทำสงคราม คนหนุ่มชาวจีนที่อยากจะสมัครเข้าร่วมกับกองทัพล้วนแต่ได้รับการปฏิเสธกลับมาทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับกองทัพทหารอากาศ ตลอดทั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพอากาศของแคนาดาไม่เคยรับชาวจีนเข้าไปในกองทัพเลยแม้แต่คนเดียว
แต่ด้วยสงครามที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แนวหน้าจึงต้องการกำลังทหารมากยิ่งขึ้น ในปี 1940 ถึงเพิ่งจะเริ่มรับชาวจีนเข้าไปเป็นทหารให้กอง ในช่วงแรกพวกเขาส่วนใหญ่จะติดตามกองทัพแคนาดาไปเข้าร่วมสมรภูมิรบในยุโรป แต่หลังจากนั้นก็พบว่าพวกเขามีประโยชน์กับสมรภูมิรบในเอเชียมากกว่า ต่อแต่นั้นจึงจัดตั้งกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 136 ขึ้นมา
“ตอนนั้นคุณปู่ทำหน้าที่อะไรเป็นหลักเหรอครับ?” ฉินสือโอวถาม
ชายชราจึงอธิบายให้เขาฟังด้วยรอยยิ้ม “ส่วนใหญ่ก่อนกองทัพใหญ่จะเริ่มปฏิบัติภารกิจ ก็จะต้องทำภารกิจสอดแนมแนวหลังของข้าศึก เพื่อตรวจดูการจัดวางแนวป้องกันของพวกญี่ปุ่น พอเริ่มปฏิบัติการแล้ว ถึงจะเริ่มภารกิจทำลายล้าง ฉันเคยไปพม่าเพื่อเป็นล่ามให้คนอเมริกากับกองทัพของนายพลไต้อันหลานด้วยนะ ก็ตอนนั้นพวกเราเป็นพันธมิตรกันใช่ไหมล่ะ”
พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดต่ออีกว่า “นายพลไต้อันหลานเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง เขากล้าต่อสู้ในสงครามที่ดุเดือด ผู้บัญชาการชาวอเมริกาของเราในตอนนั้นให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก น่าเสียดายจริงๆ”
ชายชราถึงกับส่ายหัวขึ้นมา ไต้อันหลานเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการสูงสุดในกองกำลังเดินทัพทางไกลของพม่าในเวลานั้น กองกำลังเดินทัพทางไกลมีอัตราการเสียชีวิตในต่างประเทศที่สูงมาก แม้กระทั่งนายพลไต้อันหลานที่เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 200 ก็ไม่มีชีวิตรอดกลับบ้านเกิดเช่นกัน
เอี๋ยนตงเหล่ยอยากพาฉินสือโอวไปทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมชาติชาวจีนที่มาร่วมกิจกรรมงานวันรำลึกต่อ ทว่าฉินสือโอวไม่ค่อยสนใจเท่าไรจึงบอกกับเขาว่าเดี๋ยวก็มีเวลาทำความรู้จักกันอยู่แล้ว ตอนนี้เขาขออยู่คุยกับผู้อาวุโสเฉินก่อน
คนเราพอแก่ตัวลงแล้วงานอดิเรกอย่างเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการพูดคุย คาดว่าปกติชายชราก็คงจะไม่ใช่คนช่างพูดเท่าไรนัก ตอนที่ได้เจอกันเอี๋ยนตงเหล่ยก็เล่าให้ฉินสือโอวฟังว่า หลังจากปลดประจำการท่านก็ไม่ได้แต่งงาน อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด
พอเอี๋ยนตงเหล่ยเดินจากไป ก็เหลือแค่ฉินสือโอวกับชายชราที่อยู่คุยกันเพียงลำพัง โดยที่เขาเป็นคนหาเรื่องคุย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่คุยกันเรื่องเหรียญตราที่อยู่บนตัวของชายชราก็พอแล้ว
คุยกันไปแล้วหนึ่งชั่วโมง คราวนี้เอี๋ยนตงเหล่ยก็เข้ามาหาเขาแล้วบอกว่ากิจกรรมจะเริ่มแล้ว ให้พวกเขาไปร่วมกิจกรรมด้วยกัน
ฉินสือโอวประคองชายชราให้ลุกยืนขึ้น ตอนที่กำลังจะเดินออกไป ชายชราก็ตบหน้าผากเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “อั๊ยย๊า ตอนนี้หัวสมองของฉันมันเริ่มใช้การได้ไม่ดีแล้ว เมื่อก่อนฉันเคยเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งไว้ให้พี่ฉิน เฮ้อๆๆ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะได้เจอหลานของพี่ ฉันคงเอามันมาให้เขาด้วยแล้ว”
………………………………………………
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1340 เพื่อนร่วมรบของปู่สอง
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!