ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1367 ช่องว่าง

หลังจากเดินไปตามทางบนภูเขาเป็นเวลาชั่วโมงกว่าแล้ว เดินมาจนจะครึ่งทางแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เจอสัตว์ใหญ่อย่างหมูป่า กวางป่า แต่กลับเจอสัตว์เล็กๆ อย่าง ห่านแคนาดา เป็ดน้ำ กระต่ายสโนว์ชู กระต่ายป่าสีเทา ไก่ป่าเฮเซล เป็นต้น ตลอดทาง
ถ้าไม่มีสัตว์ใหญ่ ล่าสัตว์เล็กก็ได้เช่นกัน เพราะอย่างไรก็ตามตอนที่พวกเขาอยู่ประเทศจีนก็ไม่มีโอกาสในการล่าสัตว์ แต่ตอนนี้พวกสัตว์เล็กพวกนี้ก็ฉลาดมากขึ้น พอเห็นคนก็วิ่งหนี แล้วจะให้คนที่เพิ่งฝึกหัดจับปืนมีโอกาสในการล่าได้อย่างไร?
เสียงปืนดังไปตลอดทาง แต่ก็ไม่สามารถจับอะไรได้ จึงทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกหดหู่เหลือเกิน เฉินเหลยถามอย่างกังวล “ฉิน นายบอกมาตามจริง ว่าภูเขาทั้งลูกนี้ยังมีหมูป่า กวางป่าอยู่ไหม ทำไมถึงไม่เจอสักตัวเลยล่ะ?”
ฉินสือโอวกลอกตามองบน “พวกนายยังมีหน้ามาพูด ดูที่พวกนายทำ ราวกับโจรเข้ามาในหมู่บ้าน ฝูงหมูป่ากวางป่าก็ไม่ได้โง่นะ จะได้วิ่งออกมาให้พวกนายจับ?”
ปีนเขามาหนึ่งชั่วโมง ทุกคนไม่ว่าจะชายหรือหญิงต่างก็เริ่มหอบด้วยความเหนื่อย ตอนนี้สมรรถภาพทางกายของพวกเขาแตกต่างกันมาก สำหรับฉินสือโอวเหงื่อสักเม็ดก็ไม่มี เพราะว่าพวกเขาเดินกันไปช้ามาก
เหมาเหว่ยหลงก็มีเหงื่อไม่เยอะ แต่สำหรับคนอื่นๆ ส่วนมากเหนื่อยจนก้าวไม่ออกแล้ว
ไม่มีความรู้สึกแปลกใหม่ใดๆ แล้ว ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมจะสวยงามเพียงใด แต่ทุกคนก็เหนื่อยจนสภาพเป็นแบบนี้ ไม่มีแรงปีนเขาแล้ว ทุกคนต่างหาพื้นหญ้าร้องเรียกจะนั่งพักกัน
ฉินสือโอวจึงทำได้แค่ออกล่าเอง เขาทิ้งฉงต้าไว้ แล้วพูดว่า “ฉันจะออกไปดูสักหน่อย พวกนายพักก่อน”
เฉินเหลยผงกศีรษะด้วยความเหนื่อยล้า แล้วพูดว่า “โอเค นายไปเถอะ หมีตัวนี้พวกเราจะดูให้นายเอง”
ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบนอีกรอบ เขาพูดขึ้นว่า “ใครให้ความกล้ากับนายพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้? ฉันทิ้งฉงต้าไว้ให้ปกป้องพวกนาย อย่าไปเจอฝูงหมาป่าสีเทาละกัน ไม่มีฉงต้าพวกนายก็เตรียมตัวตายได้เลย”
“บนเขามีหมาป่าด้วยเหรอ?” ซ่งจวินเหมยบีบแขนของเหยียนตงแน่นโดยไม่รู้ตัว
ฉินสือโอวตอบว่า “มี แต่พวกนายไม่ต้องกลัว มีแค่ไม่กี่ตัวเอง ไม่มีอะไร อีกอย่างมีฉงต้าอยู่พวกนายจะกลัวอะไร? อย่าว่าแต่หมาป่าเลย เสือ สิงโต ฉงต้าก็จัดการได้หมด”
คนทั้งกลุ่มหันไปมอง ฉงต้ากำลังยืนพิงต้นไม้อ้าปากหายใจอยู่ ท้องโตเดี๋ยวพองเดี๋ยวแฟบ ลักษณะหัวใหญ่หูใหญ่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าสามารถจัดการเสือกำราบสิงโตได้
ฉินสือโอวเข้าไปบีบท้องอ้วนๆ ของฉงต้า เพื่อบอกให้มันอยู่ที่นี่อย่าซนนะ หลังจากนั้นก็รีบพาหู่จือ เป้าจือออกจากเส้นทางเดินเขาแล้วเข้าไปในป่าทันที
เดิมทีรอบๆ ทางเดินเขาก็ไม่มีสัตว์ป่าอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับพวกเขาที่มากันกลุ่มใหญ่ แล้วยังมีคนยิงปืนส่งเสียงดังอยู่ตลอดอีก ต่อให้เป็นฝูงหมาป่าก็ต้องถูกทำให้ตกใจกลัวจนวิ่งหนีไป
เขาคนเดียวพาสุนัขสองตัวไป ฉินสือโอวเดินออกไปได้ไม่ไกลก็เจอหมูป่าตัวน้อยสีน้ำตาลเทา
เจ้าหมูป่าน้อยตัวนี้ตัวยังยาวไม่ถึงครึ่งเมตรด้วยซ้ำ แม้แต่เขี้ยวก็ยังไม่งอกออกมา กำลังร้องฮึมฮัมหาหญ้าและพวกวัชพืชกินอยู่
หลังจากหู่จือและเป้าจือเห็นมันก็อยากเข้าไปตะครุบตามสัญชาตญาณ ฉินสือโอวตะโกนบอกให้พวกมันหยุดก่อน ลูกหมูป่าตัวนี้น่าจะถูกปล่อยออกมาให้เจริญพันธุ์ ไม่เช่นนั้นก็คงอยู่กับฝูงหมูป่าแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ก็ควรจะปกป้องไว้สักหน่อย รอมันเติบใหญ่ค่อยฆ่าแล้วเอาไปกิน
เมื่อได้ยินเสียง หมูป่าน้อยหันกลับไปมองหู่จือ และเป้าจือด้วยความระแวดระวัง แต่พอค้นพบว่าพวกมันไม่ได้เข้ามาโจมตีตัวมัน จึงหันกลับไปมุ่ยก้นและร้องฮึมฮัมก้มหาวัชพืชเป็นอาหารกินต่อไป
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ฉินสือโอวหันกลับไปมองเห็นเป็นจงต้าจวิ้นหัวหน้าห้อง เขาก็เห็นหมูป่าน้อยเช่นกัน ถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าหมูป่าตัวนี้ทำไมถึงไม่วิ่งมาโจมตีพวกเราล่ะ?”
ฉินสือโอวตอบว่า “สงสัยเป็นหมูทึ่ม”
จงต้าจวิ้นหัวเราะ “ทึ่มแบบน่ารักด้วย เมื่อก่อนฉันมักได้ยินจากผู้ใหญ่ในบ้านบอกว่าหมูป่าดุร้ายมาก กล้าสู้กับทั้งเสือและหมีดำบนภูเขา ตอนนี้ดูๆ แล้วไม่เหมือนกับที่เห็นเลย”
หู่จือและเป้าจือพอเห็นว่าฉินสือโอวไม่ให้พวกมันโจมตีหาหมูป่าน้อย จึงเข้าไปแกล้งมันแทน พวกมันสองตัวมีขนาดใหญ่กว่าหมูป่า ตัวหนึ่งอยู่หน้า ตัวหนึ่งอยู่หลังกันหมูป่าไว้ตรงกลาง หมูป่าน้อยเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาทันที
หมูป่าน้อยไม่ได้ส่งเสียงคำราม แต่กลับหดหางแล้วถอยเข้าไปในต้นไม้ หู่จือไล่ตามไปให้ทำให้มันนอนพลิกคว่ำอยู่บนพื้น หลังจากหมูป่าน้อยดันตัวขึ้นมาก็โดนเป้าจือทำให้ลงไปนอนคว่ำอีก พอหลายครั้งเข้ามันก็ไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย แต่มุดเข้าไปในกองใบไม้ซ่อนตัวอยู่ในนั้นแทน
พอเห็นฉากนี้ ฉินสือโอวก็นึกถึงพล็อตเรื่องในซีรีส์ทางทีวีที่พวกเด็กชั่วร้ายขัดขวางสาวใหญ่และลูกสะใภ้ตัวน้อยเพื่อลวนลามผู้อื่นตามซอยต่างๆ เขาส่ายศีรษะไปมา แล้วจึงเป่านกหวีดเรียกให้หู่จือและเป้าจือไปข้างหน้าต่อ
จงต้าจวิ้นก็เดินตามมา ฉินสือโอวจึงถามเขาว่าไม่ต้องพักผ่อนหน่อยเหรอ เขาบอกว่าแรงกายไม่มีปัญหา
“ตอนนี้ธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำและฉันต้องวิ่งไปมาตลอดทั้งวัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉันวิ่งไปมารวมๆ แล้วยังมากกว่าที่ฉันทำงานเมื่อก่อนอีก” จงต้าจวิ้นพูดหัวเราะเยาะตัวเองเล็กๆ
ฉินสือโอวตบไปที่บ่าของเขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร สมัยมหาวิทยาลัยจงต้าจวิ้นมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองมาก เขาเรียนดี ความสามารถในการควบคุมตัวเองและการปรับตัวก็ดี ยังเป็นหัวหน้าห้องอีก ได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์มากมาย แต่ผลปรากฏว่าพอจบการศึกษาเขากลับเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีชีวิตย่ำแย่
เมื่อเดินออกไปได้สักระยะ ก็มีฝูงกวางหางขาวปรากฏตัวขึ้น ฉินสือโอวส่งสัญญาณให้หู่จือและเป้าจือเงียบ หลังจากนั้นก็สอนจงต้าจวิ้นให้วางปืนบนกิ่งไม้ให้ดี แล้วก็ใช้การเคลื่อนไหวสอนเขาว่าเล็งอย่างไร คาดคะเนอย่างไร และควรยิงไปที่กวางตัวไหน
กวางฝูงนี้มีทั้งหมดสิบกว่าตัว กวางตัวใหญ่สี่ตัวนำฝูงกวางตัวเล็ก เดินมาจากในป่าตรงเนินเขา ดูท่าแล้วมาหาน้ำดื่มเฉยๆ จึงไม่ได้ระมัดระวังตัวอะไร
ฉินสือโอวให้จงต้าจวิ้นเล็งไปที่กวางขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งที่มีความยาวลำตัวประมาณ 1.2 เมตร กวางชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่สามารถมีขนาดใหญ่ถึง 2 เมตรกว่า แต่ถ้าถึงตอนนั้นเนื้อกวางจะแห้งไป เนื้อของกวางที่โตประมาณหนึ่งจึงเหมาะที่สุด
เนื้อกวางเป็นเนื้อระดับสูงในกลุ่มเนื้อตามธรรมชาติ เนื้อนุ่มอร่อย เนื้อไม่ติดมัน มีพวกพังผืดน้อย อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน เกลืออนินทรีย์ น้ำตาลและวิตามินจำนวนหนึ่ง ร่างกายย่อยและดูดซึมได้ง่าย แต่ไม่เหมาะสำหรับการปิ้งย่าง ดังนั้นเมื่ออยู่ในป่า ฉินสือโอวจึงไม่แนะนำให้ล่ากวางป่า
หลังจากเล็งเป้าแล้ว จงต้าจวิ้นหายใจเข้าลึกด้วยความประหม่า ระยะห่างประมาณ 40-50 เมตรซึ่งระยะห่างแบบนี้ฉินสือโอวคาดเดาได้เลยว่าเขาไม่น่าจะยิงโดนกวางตัวนี้แน่
เป็นจริงดั่งคาด ‘ปัง’ เสียงปืนดังขึ้น กระสุนไม่รู้ร่อนไปอยู่ไหนแล้ว ฝูงกวางเมื่อตกใจ จึงวิ่งกระจายกันออกไป และไม่รู้ว่าวิ่งไปทางไหนด้วย
หู่จือและเป้าจือวิ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้น แต่วิ่งวนหาไปหนึ่งรอบก็กลับมาด้วยความมึนงง หลังจากนั้นจงต้าจวิ้นก้ไม่กล้ามองแลบราดอร์อีกเลยเพราะมักจะรู้สึกว่าเขาถูกพวกมันดูถูก
ฉินสือโอวยิงธนูออกไป เขาพบกับห่านแคนาดาฝูงหนึ่งและยิงไปได้สองตัว ส่วนหู่จือและเป้าจือก็พบรังของกระต่ายป่าสีเทา ซึ่งเจ้าพวกนี้ง่ายต่อการแพร่พันธุ์มาก ถ้าจะจับต้องจับทั้งรัง ไม่เช่นนั้นพอมันแพร่พันธุ์แล้วก็ยากที่จะจัดการ
เมื่อได้กระต่ายป่าสีเทาทั้งรังและห่านดำสองตัว ฉินสือโอวจึงกลับไป หลังจากพักผ่อนแล้วพวกเขาก็เดินทางต่อและในที่สุดก็มาถึงที่พักที่ราบเรียบครึ่งทางบนภูเขา
ฉินสือโอวเอาพวกเนื้อป่าโยนทิ้งไป ให้อีวิลสันจัดการเก็บให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็เริ่มจุดไฟทำกับข้าว
ทุกคนไม่ได้หาของกิน แต่ต่างยืนอยู่บนภูเขาและมองไปด้านล่าง ได้แต่ประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า
สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการชมวิว มีทิวทัศน์กว้างขวาง ทางทิศตะวันตกเป็นทะเลกว้างใหญ่ ทางทิศใต้มองเห็นเชิงเขา คนกลุ่มหนึ่งรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป
……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset