ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1437 ฤดูติดสัดของแลบราดอร์

ถึงแม้หิมะจะหยุดตกแล้ว แต่อุณหภูมิข้างนอกกลับยิ่งต่ำลง เดาว่าน่าจะเกิดจากสาเหตุของกระแสลมหนาวมาถึง
แล้วท่านชายฉินก็สวมชุดแล้วเดินออกมาอย่างงกๆ เงิ่นๆ เหมือนนกแพนกวิน เวนท์ลี่ก็หัวเราะและพูดขึ้น “เพื่อน คุณมาวงกลมอาร์กติกเป็นครั้งแรกใช่ไหม?”
ฉินสือโอวพยักหน้า “แน่นอน”
พอเขาอ้าปาก หายใจออกก็เหมือนกับมีเศษน้ำแข็งและไอน้ำสีขาวที่เพิ่งจะออกจากปากก็เลือนหายไป เดาว่าคงจะร่วงลงพื้นไปแล้ว
เวนท์ลี่พูดว่า “ถ้างั้น คุณไม่ควรใส่เสื้อผ้าเยอะนะ สัมผัสอากาศแถบขั้วโลกเหนือสักหน่อยสิ ผมว่านะหลังจากที่คุณได้ประสบการณ์จากครั้งนี้แล้ว คราวหน้าก็คงไม่มาแล้วล่ะมั้ง?”
ฉินสือโอวเห็นด้วยกับที่เวนท์ลี่พูด และก็จริงนั่นแหละ คราวหลังเขาคงไม่มาดูแสงเหนืออะไรนี่แล้วเพราะมันหนาวเกินไป
พวกเขาเตรียมไปเดินในเขตชุมชนอยู่อาศัย เย็นวานนี้ฉินสือโอวเห็นแบบผ่านๆ ว่ามีโรงแรมวังน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงอยู่ที่หนึ่ง โดยโรงแรมนั้นสร้างจากก้อนน้ำแข็งและหิมะทั้งหมด เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองนี้ ถ้ามาแล้วไม่ได้เข้าไปที่นั่นคงน่าเสียดายมาก
ส่วนชาร์คนายทหารใหญ่ก็เดินตัวสั่นออกมา และพูดขึ้น “บอสครับ พวกบอสต้องการไปเดินเล่นจริงเหรอครับ? พวกเรารออยู่ในห้องไม่ได้เหรอ? รอให้แสงเหนือออกมาก่อนแล้วพวกเราค่อยออกไปดูอย่างนี้น่ะ?”
บีบีซวงที่ฟันกระทบกันอยู่ ก็พูดแบบติดอ่างขึ้น “หรือ หรือว่า ผม ผมเห็นว่าที่นี่ค่อนข้าง ค่อนข้างปลอดภัยดี ถ้าอย่างนั้นให้แบล็คไนฟ์และแอร์แบ็คพาไปดีไหม ผมไม่ไปแล้วได้ไหม?”
แบล็คไนฟ์จ้องไปอย่างตาขวางคิ้วขมวด “พูดบ้าอะไร แล้วทำไมให้แต่พวกเราสองคนไป?”
แล้วบีบีซวงมีเหตุผลที่จะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “นั่นก็เพราะว่าผิวนายดำ สามารถดูดแสงแดดได้มากกว่า เลยอุ่นกว่า ส่วนเจ้าแอร์แบ็คน่ะนิสัยดีอยู่แล้ว ไม่งั้นนายก็ไปถามทริกเกอร์กับออสเปรดูด้วยก็ได้ว่าพวกเขาจะไปไหม?”
 แอร์แบ็คหัวเราะชอบใจดูสองคนปะทะคารมกัน ดูแล้วรู้สึกดีแถมพวกเขายังดูไม่หนาวดีด้วย
แบล็คไนฟ์ยื่นมือออกมาชี้บีบีซวงแล้วพูดออกไปอย่างโมโห “นาย ไอ้คนเลือกปฏิบัติ! นายมันพวกเหยียดคนดำ เพื่อน ฉันจะฟ้องนาย และพอหลังจากนายตายแล้วก็จะต้องตกนรก”
“คนแข็งตายแม้แต่นรกก็ยังไม่อยากรับเลย” ทริกเกอร์พูดขึ้น เขาคิดไปคิดมาแล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “ถ้านรกอบอุ่นเหมือนกับเซนต์จอห์นละก็ ฉันลงไปตอนนี้เลยก็ยังได้”
วินนี่อุ้มเถียนกวาเดินออกมา พร้อมกับหู่เป้าฉงหลัว แมวป่า และพวกเฟอเรทตัวน้อยเดินตามหลังมา แต่ละตัวแต่งตัวเต็มยศมาก ตัวกลมอย่างกับฟักทองลูกเล็กใหญ่
“ออกเดินทางกันได้หรือยังคะ ที่รัก?” วินนี่ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ตอนนี้พวกเราอยู่ในวงกลมอาร์กติก มา ทุกคนมาถ่ายรูปกัน นี้เต็มไปด้วยความหมายที่น่าจดจำล่ะ”
แล้วฉินสือโอวก็พูดขึ้นว่า “พวกคุณถ่ายกันไปเลย ผมไม่ถ่าย ตอนนี้ผมไม่อยากจะขยับไปไหนเลยด้วยซ้ำ กระดูกผมแข็งไปแล้วเรียบร้อย”
วินนี่เลิกคิ้วแล้วพูดขึ้น “พูดอะไรของคุณ ทำไมถึงจะไม่มาถ่ายรูปด้วยกัน? พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ พวกนั้นไม่ถ่ายก็ไม่เป็นไร แต่คุณต้องถ่าย นี่มันภาพครอบครัวนะคะ!”
ฉินสือโอวตอบ “ไม่เป็นไรหรอกน่า ออสเปรก็อยู่ข้างคุณไม่ใช่เหรอ? ถ่ายไปเถอะน่า ยังไงก็ไม่เห็นหน้าอยู่แล้ว แล้วค่อยไปบอกเอาก็ได้ว่านั่นน่ะคือผม”
วินนี่ “…”
เวนท์ลี่ถือว่าเป็นเถ้าแก่ที่ดีคนหนึ่งเลย จากการที่ฉินสือโอวและคนของเขาเช็คเอาท์นั่นก็จะทำให้เขาเสียลูกค้ารายใหญ่ไป แต่เขาไม่ได้คิดมาก แถมยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสองสามที่ในเมืองให้พวกเขา และสุดท้ายยังช่วยติดต่อรถลากเลื่อนหิมะที่ใช้สุนัขลากหนึ่งคันให้พวกเขาอีก
“เพื่อน ที่นี่มีเพียงสองอย่างที่ใช้เป็นเครื่องมือการเดินทาง สโนว์โมบิลกับรถลากเลื่อนหิมะ สำหรับผม ผมรู้สึกว่ารถลากเลื่อนหิมะที่ใช้สุนัขลากจะดีกว่า พวกคุณว่าอย่างไร?” เวนท์ลี่พูดไปพลางหัวเราะ
ฉินสือโอวและวินนี่มองตากัน แล้วก็พากันพยักหน้า
ไม่นานก็มีชายแก่เคราขาวชาวอินูเปียตคนหนึ่งมาที่โรงแรม พอพาพวกเขาออกมาแล้วก็ได้พูดขึ้นว่า “พวกเราต้องเดินเท้าสักประมาณสองสามร้อยเมตร เพราะที่นี่เป็นสนามบินไม่สามารถนำรถลากเลื่อนมาจอดในบริเวณนี้ได้”
หลังจากย่ำหิมะออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ชายแก่ก็ผิวปากเสียงดังกังวานขึ้น แล้วรถลากเลื่อนสุนัขอะแลสกาก็วิ่งส่ายหางมาด้วยความดีใจ
ทันทีที่พวกมันปรากฏตัวหู่จือและเป้าจือก็ตื่นเต้น ในขณะเดียวกันพวกมันก็เห่าอย่างมีความสุข และพยายามที่จะถอดเสื้อขนเป็ดที่อยู่บนตัวทิ้ง
เมื่อพวกสุนัขรถลากเลื่อนได้ยินเสียงเห่าของแลบราดอร์ก็หยุดวิ่งทันที พลางรวมตัวกันอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับพิจารณามองพวกมันอย่างประหลาดใจ
แลบราดอร์ก็ดิ้นอยากออกนอกหน้า ฉินสือโอวจึงจับพวกมันไว้และขึ้นเสียง “นิ่งไว้ นิ่งไว้! พวกเขาคือเพื่อน ห้ามมีการทะเลาะกันเข้าใจไหม? มานี่มา มาสงบสติลงก่อน…”
ในอดีตหู่จือและเป้าจือจะเฉลียวฉลาดที่สุดแต่ตอนนี้กลับไม่เชื่อฟังแล้ว ทั้งสองตัวพยายามดิ้นอย่างหนักออกจากอ้อมแขนของเขาเพราะอยากจะหลุดออกจากเชือกจูงและเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวของพวกมัน
ฉินสือโอวเริ่มโมโห จึงพูดอย่างเข้มงวดขึ้น “เป็นอะไร ไม่เชื่อฟังแล้วใช่ไหม?”
วินนี่จับแขนของเขาแล้วกระซิบเขาว่า “ที่รัก ฉันว่าพวกมันไม่ได้อยากทะเลาะหรอกแต่…”
วินนี่อายที่จะพูดคำต่อมาจึงแอบขยิบตาให้เขา นี่เป็นสัญญาณลับของทั้งสองเวลาอยู่ที่บ้าน ซึ่งเมื่อคนใดคนหนึ่งทำแบบนี้นั่นคือสัญญาณว่าอยากขึ้นไปจัดหนักบนบ้านแล้ว
พอฉินสือโอวเข้าใจก็ถึงกับงง และพูดขึ้น “จะเป็นไปได้ยังไงกัน นี่มันฤดูหนาวนะ ยังไม่ถึงช่วงฤดูติดสัดเลยนี่?”
โดยธรรมชาติแล้วนั้น มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เป็นสัตว์ที่มีเพศสัมพันธ์ตลอดทั้งปี แต่กับสุนัขโดยปกติแล้วจะทำการผสมพันธุ์กันในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
วินนี่ยักไหล่จากนั้นก็ช่วยหู่จือและเป้าจือถอดเสื้อโค้ตออก แลบราดอร์ทั้งสองตัวไม่กลัวความหนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย พวกเขาสะบัดขนสั้นสีทองแล้วกระโดดเข้าไปใกล้กับกลุ่มสุนัขรถลากเลื่อน พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้สุนัขเพศเมียแสนสวยสองตัว
แต่ขณะที่พวกมันเข้าไปใกล้ เหล่าสุนัขรถลากเลื่อนเพศผู้ก็โมโห พลางแยกเขี้ยวขู่คำรามใส่พวกมัน
หู่จือและเป้าจือไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย แถมทั้งสองยังใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อแสดงความองอาจเชี่ยวชาญด้านการรบของตัวเอง อุ้งเท้าพวกมันเหยียบลงไปในหิมะพร้อมทั้งจ้องและแยกเขี้ยว “โฮ่งๆ!”
ในฐานะสหายร่วมรบของแลบราดอร์ เมื่อพวกมันร้องเรียก ไม่ว่าจะเป็นฉงต้า หัวไชเท้าน้อยหรือแม้แต่ราชาเจ้าป่าซิมบ้าที่กำลังดูสถานการณ์อยู่ข้างสนามก็พากันลุกขึ้น โดยเฉพาะฉงต้าที่แค่คำรามผ่านลำคอ เหล่าสุนัขรถลากเลื่อนก็ตกใจลงไปหมอบอยู่กับพื้นในทันที
หลังจากเห็นฉงต้าแล้ว ชายแก่ที่คุยอยู่กับเวนท์ลี่ก็ถึงกับตกใจหน้าซีดและร้องขึ้น “ทำไมพวกคุณถึงมีหมีด้วยล่ะ?”
พูดแล้วเขาก็วิ่งไปรวมหมาของตนพร้อมทั้งให้พวกมันถอยไปเพื่อระวังตัว
เวนท์ลี่จึงช่วยฉินสือโอวอธิบายให้ชายแก่ฟัง “ตาซาลา หมีตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงไม่มีพิษมีภัยอย่างแน่นอน เมื่อวานนี้ลูกชายผมก็ยังเล่นกับมันอย่างสนุกสนานอยู่เลย”
ชายแก่พูดด้วยสีหน้ากลุ้มใจว่า “น้องชายฉันเวนท์ลี่เอ๊ย ฉันน่ะไม่ได้กลัวมันหรอก แต่เด็กๆ ของฉันกลัวมันน่ะสิ! ไม่ไหวๆ ฉันคงรับงานนี้ไม่ได้หรอก”
ทั้งฉินสือโอวและเวนท์ลี่ก็ขอร้องจนปากเปียกปากแฉะ แต่ชายแก่ยังคงกอดสุนัขรถลากและยืนหยัดส่ายหน้า บอกว่าหมาพวกนี้กลัวหมีสีน้ำตาล แล้วถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่
วินนี่คิดไปคิดมา และพูดขึ้น “หรือจะเอาอย่างนี้ไหม ถ้าคุณทิ้งรถลากเลื่อนหิมะไว้จะโอเคไหม? เดี๋ยวพวกเราขอเช่าแค่รถลากเลื่อนหิมะของคุณ แล้วให้หมีกับแลบราดอร์ของพวกเราลากแทน”
ชายแก่พยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา พวกเธอเอาไปใช้ได้เลย”
พอแก้รถลากเลื่อนหิมะออกแล้ว หมาเหล่านั้นก็รีบวิ่งออกห่าง ส่วนสีหน้าของหู่จือและเป้าจือก็เต็มไปด้วยความผิดหวังและวิ่งตามไปสองสามก้าว แล้วเห่าออกไปด้วยอารมณ์ไม่อยากจาก “โฮ่งๆๆ โฮ่งๆๆ…”
ทันทีที่พวกมันเห่า ฉงต้าก็คำรามตาม ยิ่งทำให้เหล่าสุนัขรถลากเลื่อนตกใจกลัวและวิ่งหายวับไปกับตา
………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset