ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1473 ปีฆ่าหมู

เวลาผ่านไป เข้าสู่ปลายกลางเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อนับตามปฏิทินจันทรคติ ตอนนี้ก็เป็นช่วงปีใหม่แล้ว
แน่นอนว่าฉลองปีใหม่ที่แคนาดากับที่จีนไม่เหมือนกัน เวลาก็ไม่ตรงกัน เพราะที่จีนเวลาจะตรงกับเวลากลางคืน แต่ที่แคนาดายังมีแสงอาทิตย์ส่องอยู่เลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงแยกกันฉลอง
ฉินสือโอวเคยบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะฉลองอย่างไร วันนั้นเกิงจุนเจี๋ยและลูกน้องเก้าคนหยุดหมดทุกคน ไม่ต้องไปทำงานจึงมาช่วยเตรียมอาหารและฆ่าหมูใช่ช่วงปีใหม่นี้
หมูบ้านมีนิสัยการกินอาหารที่หลากหลาย ทำกิจกรรมเยอะ และมีประสิทธิภาพในการต่อสู้ นอกจากนี้ในคอกยังมีหมูป่า กวางมูส และกวางอูฐ บางครั้งทั้งสองฝ่ายก็จะปะทะกัน ดังนั้นพวกหมูบ้านเหล่านี้จึงจัดการได้ยาก
ฉินสือโอววางแผนว่าจะจับหมูตัวใหญ่ 3 ตัว หมูขนาดกลาง 2 ตัว รวมเป็น 5 ตัว หลังจากนั้นจึงตะโกนเสียงดัง “ไอ้เกิง!”
”มาแล้วครับ!” เกิงจุนเจี๋ยรีบวิ่งมา
”หมู 5 ตัว สามใหญ่สองเล็ก ไปจัดการหน่อย” ฉินสือโอวกล่าว
เหมาเหว่ยหลงประหลาดใจ “เอางั้นเหรอ หมูห้าตัว? ฉันยังเอาเนื้อวัว เนื้อแพะมาอีกตั้งเยอะ จะกินหมดเหรอ?”
ฉินสือโอวตอบว่า “แน่นอน พวกเราตั้ง 20 กว่าคน หมู 5 ตัวต้องกินจนถึงวันที่ห้าหรือหกนับจากปีใหม่เลยนะ แกลองดูพวกคนหนุ่มพวกนี้สิ หมู 5 ตัวไม่หมดได้ไง?”
หมูหนึ่งตัวต่อสองคน พอพวกทหารเข้ามาในคอก ในคอกก็อึกทึกเสียงดังขึ้นมา ไก่ก็ร้องหมูก็ส่งเสียงกวางก็ร้องเรียก ดูวุ่นวายไปหมด
ฉินสือโอวปีนรั้วสูงแล้วมองเข้าไป ทหารพวกนี้กระเหือดกระหายมาก ต่างจับคู่กันจับหมู แต่หมูพวกนี้ก็ไม่ได้ให้จับง่ายๆ บางตัวหันหน้าไปก็โดนกัดแล้ว
ฉากนี้เกินความคาดหมายของท่านชายฉิน จึงรีบบอกเตือน “ระวังหน่อย อย่าติดเชื้อแบคทีเรียล่ะ หมูพวกนี้ไม่ได้ฉีดวัคซีนนะ”
ปล่อยให้พวกทหารใช้เข็มขัดหนังอย่างเต็มที่ เกิงจุนเจี๋ยยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ล้มหมูตัวหนึ่งได้แล้วใช้เข็มขัดรัดเท้าหลังของมันให้เรียบร้อย แล้วค่อยรัดเท้าหน้า สองหนุ่มใช้ไม้พยุงมันขึ้นมา
ปกติงานฆ่าหมูในฟาร์มปลาจะเป็นเบิร์ดจัดการทั้งหมด มีดเร็วที่แหลมคมของเขาทำสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย ตอนที่พ่อฉินเห็นเป็นครั้งแรก เขาบอกว่าถ้าไม่ได้ทำงานอยู่ที่ฟาร์มปลาก็ไปโรงฆ่าหมู ฆ่าหมูตัวเดียวก็ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเบิร์ดหลายปีที่ผ่านมาฆ่าหมูฆ่าไก่มาโดยตลอดหรือเปล่าจึงได้มีไอสังหาร เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ หมูดำตัวนั้นก็ร้องโหยหวนขึ้นมาทันที ร้องด้วยเสียงที่น่ากลัวมาก
กอร์ดอนและไวส์เดินมาดูด้วยความสงสัยใคร่รู้ ฉินสือโอวลากพวกเขาออกมาแล้วพูดขึ้น “ดูอะไรกัน? รีบเก็บกระเป๋าเรียนเลย เตรียมตัวไปเรียนได้แล้ว”
“วันนี้พวกเราไม่มีเรียนครับ” กอร์ดอนพูดด้วยความดีใจ
ฉินสือโอวรู้สึกประหลาดใจ วันนี้ก็ไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ ยิ่งไม่ใช่วันเทศกาล ทำไมพวกเขาถึงไม่มีเรียนล่ะ? เขากำลังจะถาม สองหนุ่มน้อยนั่นก็วิ่งหนีไปไกลและดูตื่นตระหนกราวกับสุนัขแล้ว
ผิดปกติ ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว เขามองเห็นเชอร์ลี่ย์กำลังหวีขนให้กับม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์สองตัว จึงเดินเข้าไปหาแล้วถามขึ้น “พวกเธอทำไมวันนี้ไม่เข้าเรียนล่ะ?”
เชอร์ลี่ย์ยักไหล่ “คุณครูบอกว่าหยุด พวกเราก็เลยหยุดค่ะ”
ฉินสือโอวล้วงเอามือถือออกมาจะโทรหาโรงเรียน พอเห็นแบบนี้เชอร์ลี่ย์ก็ร้อนรนขึ้นมา ตบเบาๆ ไปที่คอของตี้หลูให้มันรอก่อน หลังจากนั้นก็แย่งมือถือมาจากฉินสือโอว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉิน มาช่วยหนูให้อาหารเปากงดีกว่าไหม? มันชอบกินแครอทมาก คุณมาให้อาหารมัน มันต้องชอบคุณมากแน่ๆ”
ฉินสือโอวนายใหญ่ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกง่ายๆ เขาแสดงสีหน้าไม่พอใจ แล้วพูดขึ้น “บอกมา เกิดอะไรขึ้น?”
แววตาเชอร์ลี่ย์สั่นระริก พยายามจะเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยการส่งเสียงเอะอะ “ฉิน ช่วงนี้หนูรู้สึกว่าน่าหงุดหงิดมากเลย…”
“โทรหาคุณครูพวกเธอแล้วนะ!”
“โอเค โอเค หนูยอมพูดแล้ว พวกเราบอกกับคุณครูว่า วันนี้เป็นเทศกาลดั้งเดิมของชาวจีน ต้องฉลองที่ฟาร์มปลาทุกคน ดังนั้นเขาก็เลยให้พวกเราหยุด 1 วัน” เชอร์ลี่ย์ทำปากจู๋
ฉินสือโอวจ้องแล้วพูดว่า “นี่มันไม่ไร้สาระไปหน่อยเหรอ? ต่อให้อยู่ที่บ้านเกิดฉัน แต่นักเรียนก็ไม่ได้หยุดฉลองเทศกาลนี้!”
เชอร์ลี่ย์เข้ามาดึงแขนของเขา และแกว่งไปมาอย่างแรงแถวหน้าอกเธอ พูดออดอ้อนว่า “อย่าทำแบบนี้เลยนะฉิน นี่มันก็เป็นเทศกาลจริงๆ เทศกาลก็ควรจะหยุดสิ คุณอย่าบอกพี่วินนี่ได้ไหม? ได้ไหมนะนะ…”
โลลิต้าไม่รู้ไปเรียนจากใครมา ยังทำเสียงลากยาวออดอ้อนเหมือนตุ๊กตาได้ด้วย ฉินสือโอวเมื่อได้ยินรีบดึงมือออก เปิดแขนเสื้อออกแล้วมองอย่างละเอียด
เชอร์ลี่ย์ถามด้วยความสงสัย “คุณหาอะไรเหรอ?”
“ขนลุกไง” ฉินสือโอวตอบ “ฉันพอคลื่นไส้ก็จะขนลุกขึ้นมา”
เชอร์ลี่ย์กระทืบเท้าจะทำท่าเว้าวอนต่อ ฉินสือโอวโบกมือบอกเป็นนัยว่าให้เธออยู่ห่างๆ หน่อย แล้วเตือนเธอว่า “ครั้งสุดท้ายนะ ถ้าวันหลังยังกล้าใช้อุบายหลอกพวกเรา หลอกโรงเรียนอีก เธอจะต้องได้รับบทเรียนแน่นอน”
“จะให้บทเรียนยังไงเหรอคะ?” เชอร์ลี่ย์ถามด้วยรอยยิ้ม ตากลมโตกะพริบปริบๆ เหมือนพยายามเก็บความรู้สึก
ฉินสือโอวรู้สึกขนลุกขึ้นมาจริงๆ รีบเดินจากไป ถ้ายังอยู่ต่อต้องเกิดเรื่องแน่ๆ
หมูตัวใหญ่ตัวหนึ่งถูกมัดไว้บนเขียง เบิร์ดพรมน้ำหิมะลงบนมีดที่แหลมคมเล็กน้อย แสงอาทิตย์ส่องกระทบมา ใบมีดไร้ซึ่งความอบอุ่นแต่กลับแผ่ไอเย็นบางเบาออกมา
“มีดดีนี่” เกิง ฃจุนเจี๋ยชื่นชม
เบิร์ดยิ้มแล้วแทงมีดเข้าไปผ่านตาซ้ายของหมู ทำลายก้านสมองของมัน ด้วยเหตุนี้หมูบ้านที่ร้องโหยหวนก็สิ้นลมในทันที จากไปอย่างสงบ
หลังจากนั้นก็เห็นเพียงมีดทหารขยับไปมาบนตัวหมูอย่างว่องไวราวกับบินได้ มีคราบเลือดหลายจุดปรากฏอยู่บนหนังหมู เบิร์ดยุ่งกับงานตรงหน้าประมาณ 2-3 นาที เกิงจุนเจี๋ยรอให้คนเอาถาดที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมาจัดการกวาดเก็บให้เรียบร้อย หมูอวบอ้วนตัวหนึ่งถูกหั่นเป็นชิ้นๆ เรียบร้อย
เอาขาหมูทั้งสี่อันไปด้วย ส่วนน่องหมูเหลือไว้ทำแฮม ฉินสือโอวรับสมัครคนงานมาครั้งนี้มีคนหนึ่งมาจากมณฑลยูนนาน บ้านเกิดของเขาเป็นแหล่งผลิตแฮมที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน เขาจึงเรียนวิธีทำแฮมกับครอบครัวมาตั้งแต่เด็กแล้ว
หมูแต่ละชิ้นถูกจำแนกออกมาหัวใจหมู ตับหมู ปอดหมูถูกทำความสะอาดแยกกัน ส่วนไส้หมูที่มีกลิ่นเหม็นถูกโยนลงไปในถังน้ำแข็ง เกิงจุนเจี๋ยมองหาทหารตัวใหญ่ ให้เขายกไปจัดการที่ริมทะเล
เมื่อได้เลือดหมูมาหม้อใหญ่แล้ว พ่อฉินก็ใช้ไม้คอยคนไม่ให้มันแข็งตัวติดกัน ด้านหนึ่งคนไป อีกด้านหนึ่งก็ใส่น้ำมันหมูที่เจียวจนร้อนแล้วลงไป ใส่ต้นหอม ขิง กระเทียม แป้งมัน เต้าหู้ สุดท้ายก็เอามายัดใส่ไส้กรอก และนี่ก็คือไส้กรอกเลือดหนึ่งชุด
ไส้กรอกเลือดจะเป็นหนึ่งในตัวเอกของมื้ออาหารข้าวขาหมูมาโดยตลอด จริงๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องอร่อยมาก หลักๆ คือมีส่วนประกอบของน้ำมันหมูที่เพียงพอ มีกลิ่นหอม เมื่อก่อนสภาพเศรษฐกิจทางบ้านของฉินสือโอวไม่โอเค เพียงแค่ไส้กรอกเลือดที่มีน้ำมันหมูแบบนี้ก็มีค่ามากแล้ว ตอนนี้กินข้าวขาหมูแล้วยังมีไส้กรอกเลือดอีก ล้วนเป็นความทรงจำทั้งนั้น
มื้ออาหารนี้หลักๆ คือกินเนื้อ เครื่องในหมู หัวหมู ขาหมู น่องหมูเอามาตุ๋นหมด อย่างน้อยก็ต้องรอ 4-5 วันถึงจะเอามากินได้ ซึ่งก็ต้องใช้น้ำซุปที่ดีในการตุ๋นถึงจะโอเค
หมูแต่ละชิ้นถูกเคี่ยวในหม้อแล้วใส่เห็ดที่ตากแห้งบนภูเขาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ไม่นานน้ำมันสีเหลืองอ่อนๆ บริสุทธิ์ก็ลอยขึ้นมาบนหม้อ กลิ่นหอมโชยมาที่จมูก
พ่อฉินและแม่ฉินยุ่งอย่างมีความสุข เมื่อถึงวัยแบบพวกเขาก็จะชอบเสียงดังครึกครื้น เมื่อรวมซ่งชิงซานและทหาร 10 กว่าคนก็ยิ่งครึกครื้นครื้นเครงมากกว่าเดิมมาก
หู่จือและเป้าจือแกว่งหางไปมาอย่างมีความสุข ฉินสือโอวให้ชาร์คช่วยย่างเนื้อ ชาร์ครักเจ้าสองตัวนี้มาก เนื้อขาหลังไม่ติดมัน พอย่างสุกได้ครึ่งหนึ่งก็โยนให้แลบราดอร์กิน ยังไม่ทันได้กินข้าว แลบราดอร์สองตัวก็อิ่มจนท้องอ้วนกลมก่อนแล้ว
ฉินสือโอวตั้งกระทะด้านนอก เมื่อฟืนเริ่มไหม้ อุณหภูมิก็สูงขึ้นทันที ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว แต่คนปิ้งย่างก็มีเหงื่อท่วมกาย
………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
Status: Ongoing
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset