บทที่ 240 เจ้าบุช
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถ้าเกิดไม่ใช่ว่าฉินสือโอวเคยรับมือกับตาแก่เจมส์มาก่อนและรู้ว่าเขาเป็นคนจริงจัง ก็คงคิดว่าตาแก่นี่กำลังล้อเขาเล่นแน่
เนี่ยนะอินทรีหัวขาว? เจ้าตัวที่ขนสีเทายังกับนกพิราบนี้คือนกประจำชาติชื่อดังของอเมริกา?
ฉินสือโอวไม่ค่อยรู้เรื่องนกทะเลนัก พอได้ยินที่ตาแก่เจมส์บอก เขาก็ทำหน้าเหลอหลา
เจมส์เองก็งุนงง ถามกลับว่า “นายมองไม่ออกเหรอ? นี่คือลูกนกอินทรีไง เจ้าเพื่อนตัวน้อยนี่แหละ”
ฉินสือโอวรู้สึกละอายกับความรู้งูๆ ปลาๆ ของตัวเอง เขาพูดอ้ำอึ้งว่า “ก็อินทรีหัวขาวไม่ใช่ว่าหัวต้องสีขาวเหรอครับ? จะงอยปากมันต้องเป็นสีทองไม่ใช่เหรอ? งั้นทำไม…อึก ทำไมถึงเป็นนกหน้าตาแบบนี้ได้?”
ได้ฟังดังนั้น เจมส์ก็หัวเราะเสียงดัง อธิบายว่า “เพื่อนตะวันออกของฉันเอ้ย นายยังรู้จักอินทรีหัวขาวไม่พอ ที่เจ้านกหน้าตาเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ ก็เพราะตอนเด็กขนของมันยังเป็นสีน้ำตาลเข้ม ดูน่าเกลียด แต่พอมันโตเมื่อไร ก็จะเกิดใหม่กลายเป็นอินทรีผู้องอาจสง่างามไงล่ะ!”
ฉินสือโอวเข้าใจในที่สุด เมื่อก่อนเขาไม่ได้สนใจพวกเทพนกแห่งนักล่าที่ชนพื้นเมืองอเมริกาเหนือนับถือเท่าไร
เจมส์ชี้ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างให้ฉินสือโอวดู เป็นสนเรดวูดอเมริกาเหนือต้นใหญ่ต้นหนึ่ง สูงสามสิบกว่าเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสองเมตร ลำต้นตรงดิ่งขึ้นฟ้า ดูเย่อหยิ่งน่าเกรงขาม ต้นไม้ต้นนี้เปรียบเสมือนประภาคารจุดเด่นของท่าเรือกลอสเตอร์
ต้นสนเรดวูดอเมริกาเหนือยังเป็นหนึ่งในสี่ต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย ถิ่นดั้งเดิมในแคลิฟอร์เนียสามารถสูงได้ถึงหนึ่งร้อยกว่าเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางแปดเมตรกว่า ควรค่าแก่การเรียกว่าดินแดนยักษ์ใหญ่
บนยอดกิ่งของต้นสนมีรังนกอยู่ สร้างจากกิ่งไม้ต่างๆ ขนาดค่อนข้างใหญ่ แม้มองจากระยะสามสิบกว่าเมตรฉินสือโอวก็ยังสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของมัน
ตาแก่เจมส์ชี้ไปยังรังนกนั้นพลางอธิบายว่า “สองสามีภรรยาบุชกับบาบาร่าอาศัยอยู่ในนั้น พวกมันเป็นอินทรีหัวขาวเพียงคู่เดียวของท่าเรือเรา นายรู้ไหมฉิน ตอนนี้นกพวกนี้พบเห็นได้น้อยแล้วนะ พวกเรารุกรานถิ่นของมันไม่หยุด และพวกมันยังโดนยาฆ่าแมลงดีดีทีจนไม่สามารถกลับมาวางไข่ได้ปกติ ทำให้จำนวนลดลงเรื่อยๆ”
“และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพการขยายพันธุ์ของพวกมันด้อยลง หลังอินทรีหัวขาวตัวเมียออกไข่ฟองแรกก็จะเริ่มกกทันที และช่วงแรกของการฟักก็จะออกไข่ฟองที่สองตามมา ทำให้วันที่ลูกนกออกจากไข่ไม่ตรงกัน เพราะลูกนกที่เกิดก่อนจะตัวใหญ่กว่าตัวที่เกิดทีหลัง”
“ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนอาหาร ลูกนกที่เกิดก่อนอาจจับลูกนกที่เกิดทีหลังกินเป็นอาหารได้!”
ฉินสือโอวเหยียดยิ้ม ขนาดแม่เสือมันยังไม่กินลูกตัวเองเลย นกอินทรีหัวขาวมันต้องโหดเหี้ยมขนาดไหน พี่ชายพี่สาวถึงจับน้องสาวน้องชายมาเป็นอาหารได้?
แต่มาคิดดูก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ยิ่งนกที่กล้าหาญสู้เก่ง จะสามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายได้ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ขัดเกลานิสัยให้เข้มแข็งขึ้น
อย่างสุนัขมาสทิฟฟ์ที่ฉินสือโอวเคยเลี้ยงที่บ้านเกิด ครอกหนึ่งมีลูกหมาเกิดมาเก้าตัว รอจนฟันน้ำนมพวกมันเริ่มขึ้น แล้วจับเอาไปขังห้องใต้ดินให้พวกมันฆ่ากันเอง ตัวที่เหลือรอดตัวสุดท้ายจะกลายเป็นมาสทิฟฟ์ที่แข็งแกร่งพอไปเฝ้าภูเขาได้
ตาแก่เจมส์ย่อตัวลงไปขยับตัวลูกนก พูดอย่างเสียใจว่า “ทุกปีบาบาร่าจะให้กำเนิดลูกนกสองตัว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลูกของมันกับบุชถึงชอบทะเลาะกัน ลูกนกตัวใหญ่จิกตัวเล็กจนตาย เจ้านกน้อยนี่คงโดนพี่ใหญ่โจมตีจนตกลงมาจากรัง น่าเศร้าที่ปีกของมันยังโตไม่เต็มที่ เลยบินไม่ได้ ได้แค่กางออกเท่านั้น…”
เจมส์เอ่ยพลางส่ายหัวอย่างหดหู่
ฉินสือโอวมองนกน้อยที่ยังขยับอย่างอ่อนแรง “มันยังไม่ตาย ถ้าตอนนี้พามันไปให้หมอดูก่อน ก็น่าจะช่วยชีวิตได้ไม่ใช่เหรอครับ?”
ตาแก่เจมส์พูดด้วยความจนใจ “ถึงพลังชีวิตของอินทรีหัวขาวจะแข็งแกร่ง ต่อให้ถูกตัดหัวหลุดก็ยังบินไปได้หลายกิโลเมตร แต่เจ้าตัวนี้คงไม่รอดแล้ว เพื่อนเอ๊ย ตกลงมาจากความสูงสามสิบเมตรต่อให้กางปีกไว้ เครื่องในมันก็คงแตกหมดแล้ว ตอนนี้มันแค่อยู่ในช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นใจเท่านั้น”
พอนึกถึงความน่าประทับใจของอินทรีหัวขาวที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือภาพยนตร์แล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ เขาถามขึ้นว่า “พวก ผมขอเอานกตัวนี้ไปได้ไหม?”
ตาแก่เจมส์ยักไหล่ตอบ “ตามสบายเลย แต่ฉันขอแนะนำว่านายอย่าเสียเวลาดีกว่า เจ้าตัวนี้มันถูกลิขิตให้ไปพบพระเจ้าแล้ว”
ฉินสือโอวถือนกน้อยในมืออย่างระวัง แล้วรีบวิ่งไปยังเรือยอชต์ เจมส์ตะโกนไล่หลังเขาว่า “อย่าทิ้งซากลูกนกลงทะเลล่ะ ระวังเจอเรื่องยุ่งเข้า! หน่วยลาดตระเวนคงไม่ฟังคำอธิบายนายหรอก!”
กฎหมายคุ้มครองนกป่าอเมริกาเหนือมีกฎว่าชาวประมงที่ออกทะเลไม่มีสิทธิ์ฆ่านก นอกจากนี้อินทรีหัวขาวยังได้รับการคุ้มครองระดับหนึ่งจาก ‘อนุสัญญากรุงวอชิงตัน’ ใน CITES[1] การขายหรือฆ่านกอินทรีถือว่าผิดกฎหมายทั้งสิ้น
ซีมอนสเตอร์กับชาร์คกำลังซื้อของ ทั้งเพิ่มเหยื่อปลาและอุปกรณ์อื่นๆ พอเห็นฉินสือโอวรีบวิ่งไปทางเรือยอชต์ทั้งสองก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินสือโอวไม่มีเวลาตอบทั้งคู่ รีบเข้าไปหาอ่างน้ำบนเรือยอชต์แล้ววางนกน้อยลงในน้ำ
เพราะถูกเขาโยนแบบนี้ เจ้าอินทรีน้อยที่เดิมเกือบถึงจุดจบของชีวิตอยู่รอมร่อ ก็กระอักเลือดเต็มปาก
หลังวางลงน้ำแล้ว ฉินสือโอวก็ส่งพลังโพไซดอนเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง อินทรีน้อยนอนอยู่ในน้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง ดวงตาปิดสนิท ไม่ไหวติง
“เวรเอ้ย! บ้าจริง!” ฉินสือโอวเตะอ่างเจ็บใจ อ่างน้ำไหวกระเพื่อม ทันใดนกอินทรีน้อยก็เริ่มกระพือปีก ดวงตาลืมขึ้นอย่างอ่อนแรง มองฉินสือโอวตื่นๆ
เมื่อเห็นนกน้อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง ฉินสือโอวก็กู่ร้องดีใจ รีบส่งพลังโพไซดอนใส่ร่างอินทรีน้อยต่อ ตราบใดที่มันยังหายใจ เขาเชื่อว่าตัวเองยังพอมีทางช่วยมันได้
ต่อมาพวกชาร์คก็ลนลานขึ้นเรือยอชต์มาถามอย่างร้อนใจว่า “บอสเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อครู่มีแค่ฉินสือโอวที่ไปดูพวกเด็กๆ ชาร์คและพวกซีมอนสเตอร์ไม่มีอารมณ์เอ้อระเหย จึงไม่รู้เรื่องลูกนกอินทรีหัวขาว
ฉินสือโอวยกนิ้วขึ้นทำเสียงชู่ แสร้งมองรอบๆ ก่อนหยิบอินทรีน้อยเปียกโชกออกมาจากด้านหลัง
“พระเจ้า อินทรีหัวขาว!” ซีมอนสเตอร์อุทาน
ชาร์คเอามือป้องปาก ถามฉินสือโอวอย่างระวัง “เฮ้ บอส คุณไปได้มาจากไหนกันน่ะ?”
ไม่ว่าที่อเมริกาหรือแคนาดาอินทรีหัวขาวเป็นสายพันธุ์ที่ห้ามซื้อขายหรือขโมยเป็นอันขาด เทียบกับนกเรียดาร์วิน ไก่ฟ้าปากแหลม นกหัวขวานอิมพีเรียล เหยี่ยวคิวบาปากตะขอแล้ว ถือว่ามีการคุ้มครองที่มากกว่าในฐานะนกประจำชาติ
ฉินสือโอวยักไหล่ ตอบว่า “เก็บได้ เด็กพวกนั้นเจอมันตกลงมาจากต้นไม้แล้วนึกว่ามันตายแล้ว ฉันก็เลยเก็บกลับมา”
พลังโพไซดอนไม่ได้เห็นผลการฟื้นฟูในทันตา นกน้อยยังคงนอนเปื่อยอย่างอ่อนแรงในมือฉินสือโอว อ่อนแอเสียจนแค่ลืมตาได้ก็เต็มกลืนแล้ว
ชาร์คกับซีมอนสเตอร์มองหน้ากัน กำลังจะพูดบางอย่าง ฉินสือโอวก็โบกมือ “ไม่ต้องแนะนำให้ฉันเอาไปให้ใครหรอก เจ้าตัวนี้เป็นของฉันแล้ว ฉันจะเอามันกลับเกาะแฟร์เวลด้วย”
“งั้นก็เอากลับไปเถอะ ถ้าเกิดออกจากอเมริกาได้โดยสวัสดิภาพน่ะนะ” ชาร์คเอ่ย ถึงอย่างไรมันก็เป็นนกของอเมริกา เอาไปที่แคนาดาน่าจะดีกว่า
ฉินสือโอวใช้เศษไม้มาทำรังไว้ตรงมุมเรือยอชต์ แล้ววางเจ้าอินทรีหน้าตาน่าเกลียด
เจ้านกน้อยดูหมดสภาพ มันมองฉินสือโอวด้วยตาที่เปิดครึ่งเดียว ก่อนซุกหัวในปีกนอนหลับไป
ฉินสือโอวมองท่าทางที่ขี้เกียจและน่าเกลียดของมัน ทีแรกอยากตั้งชื่อมันว่าโช่โช่ เจ้าไข่ขี้เกียจ ฯลฯ สุดท้ายก็นึกถึงพ่อของมันที่ชื่อบุช เขาลูบหัวเล็กๆ นั้นพลางเอ่ยว่า “เอาล่ะ แกชื่อบุชก็แล้วกัน”
เหตุผลจริงๆ ก็คือชื่อบุชเทียบกับโช่โช่หรือไข่ขี้เกียจแล้วฟังดูดีกว่าเยอะ หู่จือกับเป้าจืองึมงำในลำคอ เหมือนสองพี่น้องนี้พยายามจะบอกว่า พ่อนี่ชอบมีปัญหากับชื่อตลอดเลย
…………………………………
[1] อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชที่ใกล้สูญพันธุ์