ขับรถฉางอันที่เหมาเหว่ยหลงดูแลเหมือนลูก ฉินสือโอวขับรถขึ้นทางด่วนโดยตรง น่าเสียดายที่คุณภาพของรถไม่ดีนัก จึงไม่ได้ขับพุ่งทะยานออกไป ทำได้แค่ขับด้วยความเร็วหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ห่างจากเทศกาลไหว้พระจันทร์อยู่แค่สองวัน หลายคนที่ทำงานอยู่ในปักกิ่งก็ทยอยกันกลับบ้านเกิดไปฉลองวันเทศกาล ดังนั้นนอกจากเวลาเช้าตรู่ พอมาถึงช่วงสาย รถบนทางหลวงก็เริ่มเยอะขึ้นแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินสือโอวจึงต้องขับไปอย่างช้าๆ ในตอนแรกเขาถือว่าตัวเองมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็ว มีทักษะในการขับรถดี จึงขับรถแซงขึ้นหน้าเรื่อยๆ เพื่อใช้เวลาและช่องว่างให้เป็นประโยชน์
แต่ปรากฏว่า ต่อมาเขาก็ต้องหยุดรถ การจราจรบนทางด่วนแน่นขนัด ด้านหน้าเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ทางด้านหนึ่งของถนน มีรถฮอนด้าแอคคอร์ดหนึ่งคันที่แทบจะพังยับอยู่แล้ว และด้านหลังยังมีรถพ่วงยี่ห้อออร์แมนจอดอยู่ด้านหลัง เห็นได้ชัดว่ารถทั้งสองคันชนเข้าด้วยกัน
รถตำรวจกับรถฉุกเฉิน 120 จอดอยู่ข้างๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งยองๆ ร้องไห้กอดลูกอยู่ข้างถนน ตำรวจจราจรที่มีใบหน้าเครียดขรึมก็ออกคำสั่งให้ผู้ใช้รถทุกคนขับรถผ่านไป ตอนที่ฉินสือโอวขับผ่าน ตำรวจจราจรก็เจาะจงเตือนเขาเป็นพิเศษ “ไอ้หนุ่ม ขับรถช้าลงหน่อย”
เมื่อออกเดินทางต่อ ฉินสือโอวก็ไม่กล้าเอาความเคยชินตอนอยู่แคนาดามาใช้แล้ว เขาลดความเร็วลง แล้วขับรถตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องขับรถเร็วเลย อย่างมากที่สุดก็คงถึงบ้านเร็วกว่าเดิมแค่หนึ่งชั่วโมง ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเพื่อเวลาเพียงน้อยนิดแบบนี้เลย
พอขับเข้ามาถึงปากทางของทางด่วนในเขตอำเภอ ฉินสือโอวก็รู้จักเส้นทางหลังเป็นอย่างดี พอดีกับที่ปากทางอยู่ไม่ไกลจากร้านที่เขาซื้อแล้วให้ฉินเผิงยืมเปิดเป็นอู่ซ่อมรถชั่วคราว เขาจึงขับรถแวะเข้าไปหา
กิจการอู่ซ่อมรถเจริญรุ่งเรืองมาก รถบรรทุกสินค้าขนาดเล็กสองคันจอดอยู่ที่ลานซ่อมรถ ที่ด้านนอกประตูก็มีรถเก๋งคันเล็กจอดอยู่หลายคัน ฉินเผิงสวมชุดทำงานที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันยุ่งอยู่กับงานพร้อมเด็กหนุ่มอีกสองคน
พอเขาบีบแตรเรียก ฉินเผิงก็เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วตะโกนถามว่า “รถเป็นอะไรเหรอ? ถ้ายังไม่มีเรื่องด่วนก็รอก่อนนะ สองคันนี้ต้องรีบไปส่งของ ผมต้องซ่อมให้พวกเขาก่อน”
ฉินสือโอวบีบแตรอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ถูจมูก พร้อมทั้งขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า “รถจากปักกิ่งคันนี้นิสัยเสียจริงๆ ก็บอกแล้วว่าให้รอคิวก่อน จะมาบีบแตรใส่อยู่หน้าประตูทำไมกัน?”
พอฉินเผิงได้ยินว่าเป็นรถที่มีป้ายทะเบียนจากเมืองหลวง เขาก็เดาได้ทันทีว่าฉินสือโอวมานี่แล้ว ตอนที่คุยกันตอนนั้นฉินสือโอวก็เคยบอกวันที่จะกลับบ้าน
ถอดถุงมือออก ฉินเผิงไปลากฉินสือโอวลงมา เด็กหนุ่มลูกจ้างของเขาทั้งสองคนก็รีบวิ่งเข้ามาดึงฉินเผิงออก แล้วพูดกับเขาว่า “นายช่าง นายช่าง ทำไมถึงได้โมโหขนาดนี้ล่ะ? ไม่ถึงกับต้องตีกันหรอก พวกเราใจเย็นลงหน่อยเถอะนะ”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วถามขึ้นมาว่า “คนกากๆ แบบแกก็เป็นนายช่างได้เหรอ?”
ฉินเผิงดันเด็กหนุ่มทั้งสองคนออกแล้วต่อยฉินสือโอวไปหนึ่งหมัด เขาพูดกับเด็กหนุ่มทั้งสองคนอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ไปๆ พวกแกไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อน เดี๋ยวเรื่องอื่นฉันจะจัดการเอง เพื่อนสมัยเด็กฉันมาหา เดี๋ยวฉันคุยอะไรกับมันหน่อย”
ภายใต้การนำพาของฉินเผิง ฉินสือโอวเดินเข้ามานั่งดื่มชาอยู่ในลานซ่อมรถ เขาถามถึงความเป็นไปของภรรยาของฉินเผิง ฉินเผิงบอกว่าตอนนี้เธอถูกส่งไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เพิ่งจะส่งไปเมื่อวานนี้เอง จะได้ทันเวลาคลอด พ่อแม่ของเขาก็ไปที่นั่นแล้ว ส่วนเขายังมีงานหลายอย่าง เลยต้องอยู่ทำงานที่อู่ก่อน
“กิจการเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีสุดๆ เลยล่ะ แกเลือกซื้อที่ได้ถูกทำเลแล้ว อาศัยทางแยกตรงทางด่วน แล้วรัฐบาลก็วางแผนจะทำถนนเชื่อมกับทางเข้ามณฑลตรงสามแยกอีกเส้นหนึ่ง ถ้าทำเสร็จแล้ว ก็จะยิ่งมีรถขับผ่านมาทางนี้เยอะกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ มีคนมาหาฉันเพราะอยากซื้อที่ตรงนี้ไปทำซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ให้ราคาไม่สูงพอ ฉันเลยปฏิเสธแทนแกไปแล้ว คิดว่าถ้ากดดันนิดหน่อยพวกเขาก็น่าจะให้ราคาเพิ่มอีก”
“ก็ที่ตรงนี้ทำเลมันดีนี่นะ เพราะงั้นจะให้ราคาเท่าไรก็ไม่ขายหรอก แกเปิดอู่อยู่ตรงให้สบายใจเถอะ”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ นี่เป็นโอกาสดี…”
“ไม่ต้องเถียงแล้ว ไม่สนใจ ถือซะว่าฉันให้ของทำขวัญหลานชายคนโตของฉันก็แล้วกัน”
“ไอ้เวร นั่นหลานสาวคนโตของแก ทำไมถึงกลายเป็นหลานชายไปแล้วล่ะ?”
ทั้งสองคนคุยกันเล่นอยู่พักหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็รีบเอาจานใส่ลูกท้อกับแตงหวานมาให้ พร้อมทั้งพูดให้ฟังว่า “ที่บ้านผมปลูกเองครับ แม่ของผมเพิ่งส่งมาให้เมื่อเช้า พี่ใหญ่พี่ลองชิมดู”
ฉินสือโอวพูดขอบคุณด้วยความเกรงใจ หยิบเอาแตงหวานขึ้นมากัดเข้าไปหนึ่งคำ แล้วเอ่ยปากชมว่า “อื้ม อร่อยมาก แตงอันนี้หวานมากๆ เลย”
เด็กหนุ่มยิ้มซื่อๆ แล้วเดินกลับไป เด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังคาบบุหรี่อยู่ก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เหล่ยนี่รู้จักประจบประแจงจังเลยแฮะ ผมนับถือพี่จริงๆ ฮ่าๆ ครั้งหน้าต้องให้ผมเป็นคนทำเรื่องพวกนี้บ้างนะ”
เด็กหนุ่มคนที่เอาแตงมาให้ยิ้มแล้วเตะขาเขาไปหนึ่งที ทั้งสองคนเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้รถส่งของไปด้วยทะเลาะกันไปด้วย ฉินเผิงกระแอมไอออกมาสองครั้ง ทั้งคู่ก็หันหน้ามายิ้มแหะๆ แล้วทำงานต่อไปอย่างเงียบๆ
ฉินเผิงชี้ไปที่เด็กหนุ่มคนที่สูบบุหรี่แล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “นั่นลูกของป้าฉัน แกยังจำได้ไหม ก่อนขึ้นมัธยมต้นก็เคยพาพวกเขาไปเล่นด้วยกันบ่อยๆ ส่วนอีกคนเป็นเพื่อนของเขา สองคนนี้มาเรียนซ่อมรถกับฉันน่ะ เป็นเด็กนิสัยดีทั้งคู่เลย”
ฉินสือโอวส่ายหัว สิบกว่าปีแล้ว กับเพื่อนเล่นสมัยเด็กพวกนี้ เขาจะยังจำได้ได้ยังไงกัน?
หลังจากหยิบเอาอาหารบำรุงกำลังที่เตรียมไว้ให้ภรรยากับพ่อแม่ของฉินเผิงออกมาแล้ว ฉินสือโอวก็กำลังจะขับรถกลับออกไป ฉินเผิงอยากให้เขาอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน ฉินสือโอวจึงบอกว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมาใหม่ ตอนนี้เขายังกลับไม่ถึงบ้าน ที่บ้านคงจะเป็นห่วงแล้วแน่ๆ
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่เขาขับรถมาถึงหน้าประตูบ้าน รถออดี้ เอ6 แอล ที่เขาส่งให้พี่เขยก็จอดอยู่ที่หน้าประตู เสี่ยวฮุยลูกของพี่สาวของเขาก็กำลังนั่งยองๆ เล่นกับลูกสุนัขสีดำอยู่ตรงนั้น
พอฉินสือโอวเปิดประตูรถออกมา เสี่ยวฮุยก็มองมาที่เขา แล้วจึงลากลูกสุนัขตัวสีดำวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็ตะโกนขึ้นมาว่า “แม่ฮะ คุณน้าคนชั่วกลับมาแล้ว….”
“เจ้าลูกหมาเลี้ยงไม่เชื่อง น้าไม่ให้ของขวัญแกแล้ว” ฉินสือโอวด่าทั้งรอยยิ้ม
พอเสี่ยวฮุยตะโกนออกไป พ่อแม่พี่สาวก็พากันวิ่งออกมา ลูกสุนัขสีดำก็วิ่งตามหน้าตามหลังออกมาเช่นกัน มันเห่าบ๊อกๆ ใส่ฉินสือโอวอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครสนใจ พอมันรู้สึกเบื่อ มันก็เลียปากไปมาแล้วเดินตามหลังเสี่ยวฮุยไปอย่างเชื่องๆ
ได้ยินเสียงเอะอะจากหน้าประตู เพื่อนบ้านที่อยู่บ้านข้างๆ กันก็เปิดประตูออกมา เห็นว่าฉินสือโอวกลับมาแล้ว ก็เลยทยอยกันเข้ามาทักทายเขา
ฉินสือโอวตอบพวกเขากลับไปทีละคน พร้อมทั้งหยิบเอาพวกกระเป๋าใส่ของของขวัญที่อยู่ท้ายรถกับบนเบาะติดมือมาด้วย กระเป๋าก็ถูกจัดอย่างง่ายๆ เขามีแค่กระเป๋าเป้กับกระเป๋าเดินทางอย่างละหนึ่งใบ ของขวัญเยอะแยะไปหมด ล้วนแต่เป็นของที่เหมาเหว่ยหลงเตรียมไว้ทั้งสิ้น เป็ดปักกิ่งก็มีอยู่ตั้งสิบตัว
ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือเขตชนบท ยิ่งลูกมีชีวิตดีเท่าไรคนในครอบครัวก็จะยิ่งมีหน้ามีตาในสายตาของคนรอบข้างมากเท่านั้น ถึงเพื่อนบ้านจะไม่รู้ว่าฉินสือโอวทำงานอะไรกันแน่ แต่ก็พอจะรู้ว่าเขาไปร่ำรวยที่เมืองนอก เห็นเขาขนกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ออกมาจากรถ พวกเขาก็พากันแสดงความยินดีกับพ่อแม่ของฉินสือโอว
พ่อกับแม่ของฉินสือโอวต่างก็เป็นคนซื่อสัตย์ด้วยกันทั้งคู่ สิ่งที่ทำให้พวกท่านรู้สึกภาคภูมิใจมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ในไร่ได้อย่างดี ส่วนอย่างที่สองก็คือลูกๆ มีอนาคตที่ดี
ดังนั้น เมื่อได้ยินคำแสดงความยินดีจากเพื่อนบ้าน ท่านทั้งสองก็เอาแต่ยิ้มไม่หยุด
จัดการของเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็กลับมาที่บ้าน สำหรับการกลับบ้านของเขาในครั้งนี้ ทั้งพ่อกับแม่ก็รู้สึกประหลาดใจมาก เนื่องจากฉินสือโอวโทรศัพท์มาบอกว่าจะกลับมาถึงบ้านพรุ่งนี้ แน่นอนว่าที่ทำแบบนั้นก็เพื่อไม่ให้พวกท่านต้องรู้สึกเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเที่ยง อาหารที่บ้านก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าก็เป็นอาหารประจำบ้านทั้งนั้น พ่อของฉินสือโอวบอกกับพี่สาวของเขาว่า “แกไปสั่งอาหารมาจากร้านที่อยู่ในเมืองหน่อย มื้อเที่ยงนี้พวกเรากินของดีๆ หน่อยละกัน”
พี่สาวพูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อ พ่อลำเอียงเกินไปแล้ว พอเสี่ยวโอวกลับมาพ่อก็สั่งอาหารนอกบ้าน พวกเรามาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้วพ่อก็ยังไม่เห็นสั่งอาหารเข้ามาเลย”
พ่อของฉินสือโอวพูดว่า “ครอบครัวพวกแกสามคนมากินข้าวที่นี่ทุกสองวัน ถ้าซื้ออาหารข้างนอกเข้ามากินทุกมื้อ คงต้องให้พ่อแกเป็นเจ้าของธนาคารก่อนถึงจะทำได้”
ฉินสือโอวเห็นว่าที่บ้านมีไข่ไก่ ทั้งเนื้อสัตว์อะไรก็มี จึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องออกไปซื้อกับข้าวที่ร้านหรอก ผมกินแผ่นไข่ทอดก็พอแล้ว แล้วก็เอาพริกผัดเนื้อด้วยนะ ตอนนี้ผมอยากกินอาหารฝีมือแม่”
………………………………………
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 318 รสชาติของอาหารที่บ้าน
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!