ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 320 งานในท้องไร่

คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์นุ่มนวลสาดส่องประกายบนพื้นดิน ราวกับปกคลุมหมู่บ้านบนภูเขาด้วยผ้าโปร่งสีเงิน
เสียงประทัดในหมู่บ้านดังติดต่อกัน เสียงหมาเห่าผสมกับเสียงเด็กหัวเราะ พลุดอกไม้ไฟพุ่งทะยานขึ้นไปอวดโฉมบนท้องฟ้ายามราตรี บรรยากาศแห่งความสุขของเทศกาลนี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีความสุขอย่างหาที่ไหนไม่ได้
สายลมแห่งขุนเขาพัดโชยเบาๆ ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของน้ำมันและการเผาไหม้ของดินปืน รวมถึงกลิ่นหอมของพืชพรรณธัญญาหารที่โตเต็มที่ในท้องทุ่ง กลิ่นเหล่านี้ถูกผสมผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นกลิ่นอายเทศกาลของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้
ฉินสือโอวไปจุดประทัดกับพ่อของเขา นี่คือประทัดสองร้อยนัดที่เหลือจากการจุดในช่วงเทศกาลตรุษจีน พ่อของฉินสือโอวยกมันแล้วทอดถอนใจ แล้วพูดว่า “ตอนที่ซื้อประทัดชุดใหญ่นี้มา ฉันก็คิดว่ามันยาวมาก ควรเก็บไว้ใช้ตอนลูกแต่งงานดีไหม? ตอนนี้ชีวิตกลับดีมาก ความสุขนั้นมากกว่าตอนที่ลูกๆ แต่งงานเสียอีก ช่างดีอะไรอย่างนี้!”
พ่อของฉินสือโอวยกคันประทัดขึ้น ฉินสือโอวยิ้มและรับมา “พ่อครับ ถึงเวลาที่ผมจะยกแทนแล้ว ได้เวลาที่พ่อต้องไปพักผ่อนแล้วนะ”
เขาเอาไม้ยาวส่งให้ฉินสือโอว พ่อของฉินสือโอวจุดบุหรี่มวนหนึ่ง แล้วสูบมันอย่างดื่มด่ำ จากนั้นจุดไฟชนวน
ประทัดแตกกระจายตกลงพื้น พร้อมด้วยเสียงดังกึกก้อง พ่อของฉินสือโอวยืนยิ้มพลางสูบบุหรี่อยู่หน้าประตู มองร่างที่เลือนรางของฉินสือโอวซึ่งเขากำลังถือไม้สูงยาวเหยียดอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพอใจและความปีติยินดี
ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปี เกรงว่าฉินสือโอวก็ไม่อาจลืมค่ำคืนนี้ไปได้ พระจันทร์เต็มดวง คืนที่มืดมิด สายลม ประทัด รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของพ่อและแม่…
หลังกินอาหารเสร็จ ฉินสือโอวดูรายการทีวีที่ถ่ายทอดเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ เมื่อดูเสร็จ เขาก็เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นอีกครั้งแล้วเริ่มการสนทนาทางวิดีโอคอลกับวินนี่ ทุกครั้งที่เปิดวิดีโอคอลจะขาดไม่ได้คือหู่จือ เป้าจือ และฉงต้า เจ้าตัวดีทั้งหลาย
เพิ่งจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ความสัมพันธ์ระหว่างฉินสือโอวกับวินนี่นั้นเป็นช่วงที่ผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ พอเปิดวิดีโอคอลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่งจูบ คำรักต่างๆ นานาก็พรั่งพรูออกมา
ฉงต้ายืนขึ้น สองอุ้งเท้าวางอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ของวินนี่ เผยให้เห็นหัวกลมๆ ขนปุยๆ มองฉินสือโอวตาละห้อย ส่งเสียงคร่ำครวญเป็นครั้งคราว หู่จือและเป้าจือความสูงไม่ถึง ทำได้แค่กระโดดไปมาอย่างกระวนกระวายอยู่ข้างๆ
ฉินสือโอวรีบทักทายพวกมัน นิมิตส์เห็นฉินสือโอว เลยยึดตัวของบุชไว้จากนั้นบินโฉบไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ พริบตาเดียวก็บังหน้าจอไว้มิด
ทันใดนั้นฉงต้าก็โมโห เหยียดอุ้งเท้าของมันตบกับพนักพิงเก้าอี้พร้อมส่งเสียงคำราม ดวงตาเล็กสีดำเข้มของมันเปล่งประกายอำมหิตยังให้ความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นราชาแห่งขุนเขาอยู่บ้าง
แต่น่าเสียดาย นิมิตส์ถึงเป็นราชาแห่งท้องนภา ใครจะไปสนใจ มันเชิดหน้าให้แล้วเหลือบตาขาว นิมิตส์กระพือปีกขยับบุชไปหน้ากล้อง เมื่อฉินสือโอวมองหน้ากล้องก็เห็นใบหน้านกที่กำลังโมโหปรากฏอยู่
ช่วยไม่ได้ นกอินทรีมีโฉมหน้าที่ขึงขังที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก นี่เป็นเพราะพวกมันมีจะงอยปากที่โค้งงอ กระดูกคิ้วที่นูนขึ้นและดวงตาที่แหลมคม แน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งก็คือไอสังหารที่ถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก
พอวินนี่มองหู่จือและเป้าจือก็ร้อนใจ รีบย้ายบุชออกมา ฉินสือโอวถามว่าทำไมเจ้าปอหลัวไม่เข้ามา วินนี่ยิ้ม “ปอหลัวกำลังโกรธอยู่น่ะ วันนี้ฉันซื้อผลไม้มากมายจากในเมือง เพื่อไม่ให้เน่าเสีย ฉันก็เลยแบ่งให้พวกมันกินเป็นอาหาร”
“ก็ถูกแล้วนี่ อย่างนี้ไม่ดีอีกเหรอ?”
“แต่ปอหลัวจะกินหมดก็เสียดาย มันกินไปครึ่งหนึ่งแล้วก็เดินออกไป ปรากฏว่าเจ้าฉงต้ากับต้าป๋ายมากินส่วนที่เหลือหมดเกลี้ยง ทำให้ปอหลัวกับฉงต้าตัดขาดกัน มีฉงต้าอยู่ที่ไหนจะไม่มีปอหลัวอยู่ที่นั่น ปอหลัวอยู่ที่ไหนฉงต้าจะเสนอหน้าที่นั่นไม่ได้”
“เจ้าสองตัวนี่” ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา
หลังจากสนทนาเสร็จ ฉินสือโอวก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วไปนอน เทศกาลไหว้พระจันทร์สิ้นสุดลงและผ่านไปแล้ว ส่วนงานในไร่นั้นยังต้องดำเนินต่อไป
ทุกๆ ปีในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์จะเป็นช่วงที่แถวบ้านเกิดของฉินสือโอวเก็บเกี่ยวข้าวโพด ปัจจุบันใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ดังนั้นภาระของเกษตรกรจึงลดลงอย่างมาก ขับรถเก็บเกี่ยวข้าวโพดเข้าไปในไร่ ออกมาอีกทีเมล็ดข้าวโพดและซังก็ถูกแยกออกจากกันแล้ว เมื่อชาวไร่เปิดออก เมล็ดข้าวโพดและซังข้าวโพดจะแยกออกมา เหมือนสายการผลิตยังไงอย่างนั้น
แต่ปีนี้ครอบครัวของฉินสือโอวค่อนข้างโชคร้าย กลางเดือนกันยายนก็มีฝนตกห่าใหญ่ที่บ้าน เนื่องจากสภาพทางธรณีวิทยาที่ไม่ดี น้ำจึงไม่ซึมลงบนพื้นดิน จนถึงตอนนี้น้ำก็ยังไม่แห้ง ไม่ต่างอะไรจากโคลน รถเก็บเกี่ยวเข้าไปไม่ได้ จึงต้องเก็บเกี่ยวด้วยตนเองเท่านั้น
ฉินสือโอวรู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ในวันที่สองของเทศกาลไหว้พระจันทร์ พ่อพาฉินสือโอวเตรียมตัวไปเก็บเกี่ยวข้าวโพดในไร่
ตอนนี้ต้นข้าวโพดแทบจะทั้งหมดเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองแห้ง ต้นข้าวโพดแต่ละต้นมีฝักอยู่ต้นละสองสามฝัก ฉินสือโอวฉีกออกหนึ่งฝัก เผยให้เห็นเมล็ดข้าวโพดเบียดเต็มฝักอย่างหนาแน่น ปีนี้เป็นปีที่ผลผลิตอุดมสมบูรณ์
พ่อของฉินสือโอวถือจอบยืนอยู่บนพื้นไร่มองดูพืชผลในไร่ด้วยความโล่งใจ พูดว่า “ฟ้าเบื้องบนเมตตาครอบครัวของเรา แกดูสิ แกมีอนาคตสดใส ตอนนี้พี่สาวแกกับพี่เขยก็ทำธุรกิจอยู่ พืชผลของที่บ้านก็ดี ช่างดีจริงๆ”
ฉินสือโอวรีบถือโอกาสในบทสนทนานี้เรียบเรียงความคิดการทำงานให้พ่อของเขา “ใช่ครับ ชีวิตดีขึ้นแล้ว พ่อกับแม่ไม่ต้องลำบากอย่างนี้อีกต่อไป พ่อ ฟังผมนะ พ่อกับแม่ปล่อยเช่าที่ดินผืนนี้ให้กับคนอื่นแล้วไปอยู่กับผมที่แคนาดาเถอะ อย่าทำงานอย่างลำบากที่นี่อีกเลย”
เขายอมรับว่าคำพูดของเขานั้นลึกซึ้งและจริงใจ แต่พ่อแม่กลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แม่ของเขาเก็บข้าวโพดอยู่ด้านหน้า ส่วนพ่อก็ใช้จอบสับต้นข้าวโพดอยู่ด้านหลัง
ฉินสือโอวเห็นว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์จึงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วตามไป เขาคุ้นเคยกับงานด้านการเกษตรตั้งแต่เล็กจนโต ถือว่าชำนาญในด้านนี้
จอบขุดลงไปสับเข้ากับรากของต้นข้าวโพดอย่างแม่นยำ จากนั้นใช้เท้าเหยียบต้นข้าวโพดให้ล้มลง ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นไปหนึ่งกระบวนการ
ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งล้มต้นข้าวโพดในไร่ซึ่งมีพื้นที่มากกว่าสองเอเคอร์ ขั้นตอนสุดท้ายใช้มีดตัดเป็นท่อนๆ มัดและนำกลับบ้าน ใช้เป็นเชื้อเพลิงในเตาเพื่อทำกับข้าวในฤดูหนาว
ตอนนี้ฉินสือโอวร่างกายแข็งแรงเป็นอย่างมาก จอบที่อยู่ในมือยกขุดอย่างรวดเร็ว ข้ามสันเขาโดยลำพัง ไม่นานนักก็ตามแม่ที่อยู่เบื้องหน้าทัน ย้อนกลับไปก็บรรจบกับพ่อของเขาอีกด้านพอดี
การทำงานของทั้งสามคนยังคงช้า ฉินสือโอวเห็นพ่อกับแม่เหงื่อไหลพรากก็รีบโทรหาพี่สาว เรียกครอบครัวของพี่สาวมาช่วยกันทั้งสามคน แน่นอนว่าจะขาดสุนัขสีดำน้ำตาลตัวนั้นที่หลานชายเพิ่งเอามาเลี้ยงใหม่ไปไม่ได้ ‘เจ้าเกี๊ยวซ่า’
พี่สาวและพี่เขยไม่ค่อยจะยินดีมากนัก อากาศร้อนๆ หนุ่มสาวที่ไหนจะอยากทำงานกลางแดด? หากไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่รั้นมากเกินไป ฉินสือโอวก็คงไม่ยอมมาช่วยเก็บข้าวโพด และไม่ต้องมีชะตากรรมแบบนี้
แต่เสี่ยวฮุยชอบทำงานในไร่มาก พาเจ้าเกี๊ยวซ่าวิ่งไปมาเก็บข้าวโพดที่หล่นในไร่
ฉินสือโอวชมเสี่ยวฮุยยกใหญ่ เด็กๆ เมื่อได้ยินคำชมก็ยิ่งทำงานด้วยความขยันขันแข็งมากยิ่งขึ้น พี่สาวยิ้มพลางมองดูลูกชายที่กำลังทำงานอยู่ จากนั้นแอบกระซิบเหตุผลที่แท้จริงของการทำงานออกมา “ความจริงแล้วเจ้าลูกคนนี้น่ะกำลังทำการบ้านอยู่ เขาไม่ชอบทำการบ้านที่สุด ก็เลยตั้งใจใช้แรงทำงาน ขอแค่ไม่ต้องทำการบ้านก็พอ”
มีวัชพืชอยู่ในทุ่งจำนวนมาก ขณะที่เสี่ยวฮุยกำลังวิ่งก็หกล้ม ฉินสือโอวกำลังจะไปพยุงเขาให้ลุก แต่เขาก็ลุกขึ้นด้วยตนเองแล้วปัดมือสองข้าง เด็กน้อยหันกลับไปมองฉินสือโอวด้วยความตกใจเล็กน้อย “ไอหยา น้าครับ เมื่อกี้ผมตกใจแทบแย่ แต่ก็โชคดีจริงๆ ที่ไม่เป็นอะไร…”
ฉินสือโอวได้ยินก็กลอกตาไปมา หลังจากเสี่ยวฮุยพูดจบก็เลียนแบบผู้ใหญ่ถอนหายใจพูดด้วยความโมโห “ทำไมไม่ล้มจนตายนะ ตายแล้วจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน น่าเบื่อชะมัด…”
ฉินสือโอวไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
ผู้ใหญ่ทั้งห้าคน ส่วนมากฉินสือโอวจะเป็นผู้ที่ทำงานอย่างแข็งขัน ไร่ข้าวโพดสองเอเคอร์ ใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งก็เสร็จแล้ว
จากนั้นก็เก็บฝักข้าวโพดกลับไป แกะเอาเปลือกออกแล้วตากให้แห้ง ก็สามารถแกะออกมาเป็นเมล็ดธัญพืช
…………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset