เด็กๆ ต่างชอบทำอะไรแบบนี้ไม่ว่าจะเล่นน้ำหรือกิจกรรมเก็บสิ่งของเล็กๆ ดังนั้นตลอดทั้งช่วงเวลากลางวัน คนทั้งห้าคนจึงกำลังอยู่ในน้ำหาปูนิ่มอย่างขะมักเขม้น ไม่นานพวกเขาก็เก็บปูนิ่มจนเต็มถังน้ำ
ฉินสือโอวไปหยิบถังน้ำมาอีกหนึ่งใบ เขาไม่ได้สนใจพวกมันมากนัก ปูนิ่มจำนวนเท่านี้เอาไปทำเป็นเหยื่อตกปลาได้เพียงพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ริมแม่น้ำแทน
พวกเด็กๆ ก็ไม่ได้สนใจฉินสือโอวเช่นกัน พวกเขามีผู้ช่วยฝีมือดีคอยช่วย นั่นก็คือหู่จือกับเป้าจือ เชอร์ลี่ย์จับปูนิ่มขึ้นมาหนึ่งตัวให้หู่จือกับเป้าจือดม พวกมันทั้งสองตัวคิดว่าเชอร์ลี่ย์จะให้อาหารพวกมัน ดังนั้นพวกมันจึงทำหน้าย่น แล้วเดินถอยหลังหนีไป
“ไม่ได้ให้กิน ดมสิ แล้วหาปูที่มีกลิ่นแบบนี้ เร็วสิ” เชอร์ลี่ย์ลากหู่จือด้วยท่าทีงอแง
ไม่ได้ให้กินปูนิ่มเป็นๆ ก็ดีแล้ว หู่จือกับเป้าจือเดินไปดมปูนิ่มสองสามที จากนั้นก็ก้มหน้าเริ่มดมกลิ่นตามช่องเล็กๆ ระหว่างหินริมแม่น้ำทันที
ครั้งนี้ถือว่าเหล่าปูนิ่มได้เจอภัยพิบัติครั้งใหญ่เข้าแล้ว หู่จือและเป้าจือนั้นมีทักษะในการดมกลิ่นที่ดีมาก กลิ่นของน้ำทะเลสำหรับมนุษย์นั้นพวกเขาจะได้กลิ่นเหมือนกันหมด แต่สำหรับพวกมันแล้ว การดมกลิ่นคาวของสัตว์ทะเลเพื่อตามหากลิ่นของปูนิ่ม ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ถังน้ำใบแรก เมื่อรวมกับจำนวนที่ฉินสือโอวช่วยหาด้วยแล้ว กว่าปูนิ่มจะเต็มถังใช้เวลาไปทั้งหมดห้าสิบนาทีกว่า ส่วนถังน้ำใบที่สอง มีเด็กเพียงสี่คน แต่กลับใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ปูนิ่มก็เต็มถังน้ำใบเล็กๆ ใบนี้แล้ว
ฉินสือโอวเห็นว่าแบบนี้คงไม่ดีแน่ การให้หู่จือกับเป้าจือไปช่วยหานั้น คงจะทำให้ปูนิ่มคงจะสูญพันธุ์เป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจพาเด็กๆ กลับบ้าน
เด็กๆ กำลังสนุกกันอยู่ แล้วอย่างนี้พวกเขาจะยอมกลับบ้านได้อย่างไร? พวกเชอร์ลี่ย์นั้นเป็นเด็กดี ไม่กล้าขัดต่อความต่อความต้องการของฉินสือโอว แต่ว่าพวกเขาก็ยังอยากเล่นอยู่ที่นี่ต่อ จึงมองไปยังเสี่ยวฮุยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
เสี่ยวฮุยเริ่มพูดออดอ้อนฉินสือโอวว่า “คุณอา คุณอา ยังไม่ถึงเวลาทานอาหารกลางวันเลย พวกเราเล่นกันยังไม่เบื่อเลย คุณอาเป็นคนน่ารัก ให้ผมหอมแก้มคุณอาดีไหม?”
เชอร์ลี่ย์พูดขึ้นมาอย่างเขินอายว่า “ลุงฉิน พวกเราจะหอมแก้มคุณเอง คุณให้พวกเราเล่นต่ออีกสักหน่อยได้ไหม?”
ฉินสือโอวมองไปยังริมฝีปากของเชอร์ลี่ย์ ริมฝีปากสีชมพู สวยสดใสนี้สามารถดึงเสน่ห์แบบโลลิต้าของเธอออกมาได้เป็นอย่างดี
“แหะๆ พวกเราไปเล่นด้วยกันต่อก็ได้ เช่นไปจับหนอนถั่วลิสง จับหอยหลอด หรือไส้เดือนทะเล พวกนี้ก็สนุกเหมือนกัน” ฉินสือโอวรีบตอบกลับทันที ในใจบอกกับตัวเองว่าเขานั้นไม่ใช่โลลิคอน
“ยิ่งจับปูยิ่งสนุก” เสี่ยวฮุยยกก้อนหินก้อนที่หู่จือกำลังดมด้วยความสนใจอยู่ก้อนหนึ่งขึ้นมา แล้วร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นเหล่าปูนิ่มออกมาจากที่ซ่อนด้วยความตื่นตระหนก
ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วเล่นโทรศัพท์มือถือต่อ แต่ว่าเมื่อเขาผิวปากออกมา หู่จือกับเป้าจือก็วิ่งสะบัดหางออกจากแม่น้ำเล็กๆ มาหาฉินสือโอวพลางเข้าไปคลอเคลียอย่างใกล้ชิด
แบบนี้ถึงจะช่วยเผ่าพันธุ์ปูนิ่มไว้ได้ เมื่อเด็กๆ เล่นกันจนใกล้ถึงเวลากินอาหารกลางวัน พวกเขาก็ไปหยิบถังน้ำมาเพิ่มอีกสองถัง เด็กๆ จับปูนิ่มได้ทั้งหมดสามถังครึ่ง พวกเขาช่วยกันถือถังน้ำกลับบ้านไปอย่างมีความสุข
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา ปูนิ่มเยอะขนาดนี้ จะเอาไปขายตอนตกปลาหรืออย่างไร?
อาหารกลางวันวันนี้วินนี่เป็นคนทำ ซึ่งเป็นอาหารตะวันตกดั้งเดิม
ก่อนอาหารจานหลักเป็นสลัดผลไม้ อาหารคาวมื้อนี้จะเป็นพวกแฮมย่างน้ำผึ้ง หน่อไม้ฝรั่งย่างชีส ขนมปังไส้กรอก สเต๊กเนื้อ สเต๊กปลา และนักเก็ตไก่ อาหารหลักคือพายแอปเปิล เครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้ หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วยังมีของหวานอย่างเค้กแบล็กฟอเรสต์และมาการองอีกด้วย
พ่อของฉินสือโอวและคนอื่นๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว เมื่อวินนี่จัดการเสิร์ฟอาหารเสร็จ เธอก็นำสลัดผักและผลไม้จำนวนมากมาแบ่งให้ฉงต้า ต้าป๋าย ปอหลัวและเสี่ยวหมิง นอกจากนี้ยังแบ่งเนื้อปลาให้หู่จือ เป้าจือ บุชและนิมิตส์อีกด้วย
เมื่อมีคนเยอะสัตว์เลี้ยงทั้งหลายก็เชื่อฟังเป็นอย่างมาก พวกมันนั่งเรียงกันอยู่หน้าจานข้าวของตนเอง วินนี่ตักอาหารให้พวกมันทีละตัวทีละตัว
พ่อของฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ดูเสี่ยวเวยสิ เธอทำได้ดีจริงๆ เลี้ยงหมาและลูกหมีราวกับเลี้ยงลูกเลย พวกมันเชื่องจริงๆ”
พูดจบ แม่ของฉินสือโอวก็มองไปยังฉินสือโอวด้วยแววตาคาดหวัง
ฉินสือโอวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์แชทอย่างไม่สนใจ
พี่สาวของฉินสือโอวร่วมผสมโรงกับพ่อแม่ด้วย เธอพูดขึ้นมาอย่างจงใจว่า “พ่อ พ่อกับแม่อยากอุ้มหลานชายเหรอ?”
พ่อของเขารีบส่ายหัวทันที พลางพูดว่า “บ้านของพวกเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเพศชายหรือหญิง มีหลานสาวก็ดีเหมือนกันนะ หากมีหลานสาวเหมือนอย่างเชอร์ลี่ย์ล่ะก็ กลับบ้านไปพวกลุงๆ ป้าๆ ต้องอิจฉาแน่ๆ”
เชอร์ลี่ย์ยิ้มหวานออกมา ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไร้เดียงสา
กอร์ดอนพูดออกมาอย่างซื่อๆ ว่า “คุณปู่ฉินมองผิดไปแล้ว เขารู้กันอยู่แล้วว่าเชอร์ลี่ย์น่ะปกติแล้วใจร้ายมาก…”
“หุบปากไปเลยนะกอร์ดอน ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าคุณปู่ฉินฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องล่ะก็ นายได้ถูกฉันตีตายแน่!”เชอร์ลี่ย์ตบหัวกอร์ดอนพลางยิ้มหวานออกมา แน่นอนว่า ยังถือโอกาสใช้มือดึงหูของเขาด้วยเช่นกัน
มิเชลที่กำลังดื่มน้ำผลไม้อยู่นั้นทำหน้าสะใจออกมา “ไม่ทำไม่เอา ทำไมนายเป็นคนแบบนี้ล่ะ”
ประโยคนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเรียนกับฉินสือโอว มันเป็นประโยคภาษาอังกฤษที่ดังบนโลกอินเทอร์เน็ตของประเทศจีนอย่างมาก
การกินอาหารกลางวันเป็นไปอย่างสนุกสนาน จากนั้นฉินสือโอวก็พาครอบครัวของเขาเข้าไปเดินเล่นในเมือง
เมื่อวานพวกเขามาที่ฟาร์มปลาแล้ว พ่อแม่ของฉินสือโอวนั้นจำรถคาดิลแลควันอันหรูหราได้ แต่พวกเขาไม่ได้เอ่ยปากถาม วันนี้ฉินสือโอวขับบีเอ็มดับเบิลยู 760 ของเออร์บัก รถทั้งสองคนนั้นหรูหราเหมือนกัน วันนี้พวกเขาจึงอดถามออกมาไม่ได้ว่า
“รถคันนี้ราคาเท่าไรน่ะ?” พ่อของเขาถามขึ้นมาเหมือนตัวเองไม่ได้ตั้งใจที่จะถาม
ฉินสือโอวพูดพลางยิ้มออกมาว่า “นี่เป็นรถของเออร์บัก”
“เรียกลุงเออร์สิ เขาอายุมากกว่าแกนะ”พ่อของเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “รถคันใหญ่ๆ นั่นก็ของลุงเออร์เหรอ?”
เออร์บักยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ฉินสือโอวยิ้มออกมาเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “คันนี้ของผม”
“เท่าไร? ไม่ได้ถามแกนะ เสี่ยวโอว แกดูนะ พ่อเสี่ยวฮุย ชอบรถยนต์นี่ บอกมาสิว่ารถคันนี้ราคาเท่าไร?”
พี่เขยของเขากระแอมออกมา แล้วพูดขึ้นว่า “รถคันนี้ ราคาน่าจะเกือบสี่แสนดอลลาร์แคนาดาใช่ไหม?”
เขาคิดคำนวณในใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนสกุลเงินจากหยวนมาเป็นดอลลาร์แคนาดาเสร็จสรรพ
ฉินสือโอวมองไปยังพี่เขยของตัวเองอย่างขอบคุณ แล้วพูดเสริมขึ้นว่า “ไม่ถึงสี่แสน สามแสนกว่าหน่อยๆ เท่านั้น”
พ่อของฉินสือโอวพยักหน้ารับรู้แล้วพูดขึ้นว่า “ถูกกว่าออดี้ของพี่เขยแกอีกเหรอ? พ่อเคยได้ยินจากทีวีว่ารถที่ต่างประเทศนั้นราคาถูก แต่ไม่คิดว่าจะถูกขนาดนี้”
และแล้วรถทั้งสองคันก็มาถึงในเมือง
เมืองแฟร์เวลในตอนนี้กับตอนที่เขาพึ่งมาถึงนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวนับร้อยนับพันคนเข้ามาเที่ยวยังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ทำให้เมืองแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ชาวเมืองแฟร์เวลมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร้านค้าแผงลอยและพ่อค้าหาบเร่เต็มถนน เนื่องจากไม่มีกฎระเบียบการจัดการบ้านเมือง พวกเขาจึงสามารถตั้งแผงขายของที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ
ทันทีที่ลงรถมาพ่อกับแม่ของฉินสือโอวก็ตกใจอย่างมาก พวกเขาพูดออกมาทันทีว่า “นี่คือที่ที่ในทีวีบอกว่าเป็นไชน่าทาวน์เหรอ?”
“ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวทั้งนั้นเลย” พี่สาวของเขาอธิบายออกมาว่า เธอได้อ่านข่าวของเมืองแฟร์เวลบนอินเทอร์เน็ต ส่วนมากเป็นข่าวที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ทำให้รู้ว่าในตอนนี้ที่นี่เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมมากันมากที่สุด
พ่อค้าแผงลอยหาบเร่ต่างๆ นั้นต่างพากันมาขายอุปกรณ์ตกปลา ของที่ระลึกจากนิวฟันด์แลนด์ก็ค่อนข้างเยอะ นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งกำลังเลือกซื้อเบ็ดตกปลาและเหยื่อตกปลาอยู่ พวกเขาเลือกเหยื่อไปก็ส่ายหัวไปด้วย “เหยื่อปลอมพวกนี้ถ้าตกปลาในแม่น้ำยังพอได้ แต่พวกเราเช่าเรือเพื่อที่จะไปตกปลาทะเล พวกมันใช้การไม่ได้หรอก”
มีเสียงคนคุยกันดังไปทั่ว แต่ฉินสือโอวก็ไม่ได้สนใจ เมื่อกอร์ดอนได้ยิน ก็ลากเสี่ยวฮุยมาถามเบาๆ เสี่ยวฮุยร่วมเข้าไปฟังสิ่งที่กลุ่มคนข้างๆ นั้นคุยกัน แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
ดวงตากลมโตของกอร์ดอนนั้นเปล่งประกายออกมา ฉินสือโอวนึกว่าเขาได้เรียนรู้อะไรใหม่ ตอนที่กำลังจะหันไปถาม กอร์ดอนก็ลากเด็กคนอื่นๆ ไปหาวินนี่เสียแล้ว
ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน วินนี่ถึงได้หัวเราะออกมา แล้วพาเด็กๆ ทั้งหมดกลับไปยังฟาร์มปลา
เมื่อพวกเขากลับในเมือง มีแค่เชอร์ลี่ย์และมิเชลสองคนที่วินนี่พากลับมา ฉินสือโอวจึงถามขึ้นว่า “อีกสามคนไปไหนแล้วล่ะ?”
“อยู่ที่ด้านหลังค่ะ” เชอร์ลี่ย์ตอบ
จากนั้น ซีบิสกิตที่มีรูปทรงกะทัดรัดก็ปรากฏขึ้นที่ถนน ความเร็วของมันนั้นค่อนข้างช้า เสี่ยวฮุยกับกอร์ดอนนั้นนั่งหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขอยู่ที่ด้านหลังพวงมาลัย
นักท่องเที่ยวที่พึ่งเคยเห็นรถเอทีวีที่รูปทางกะทัดรัดแบบนี้เป็นครั้งแรกต่างพากันยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปพลางถอนหายใจกันออกมา “แคนาดานี่สนุกจริงๆ”
ซีบิสกิตจอดอยู่ข้างๆ คนกลุ่มหนึ่ง เสี่ยวฮุยและกอร์ดอนลงมาจากรถ คนหนึ่งถือถังขนาดเล็กในมือ ส่วนอีกคนก็หยิบปูนิ่มที่จับได้เมื่อวานจากในถังออกมา
“พวกนายทำอะไรน่ะ? วันนี้ไม่ได้ไปตกปลากันนะ”
“นี่เป็นการค้าขาย พวกเราจะทำธุรกิจใหม่ครับ” กอร์ดอนหัวเราะออกมาเสียงดัง
…………………………………………
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 342 ธุรกิจใหม่
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!