ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 478 คืนพร้อมหน้า

คนหนุ่มสองคนที่ถูกเบิร์ดจัดการจนมีสภาพอนาถอยู่แล้ว คนที่ข้อมือหักยังถือว่าดี แต่คนที่ถูกขาพาดไปที่บ่านั้นคิดว่ากระดูกคงแหลกไปแล้วแน่เลย และพอโดนกลุ่มประชาชนที่โกรธแค้นรุมทำร้ายอีก ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มสองคนนั้นก็มีแรงเหลือให้หายใจต่อแต่ไม่มีแรงจะหาเรื่องต่อแล้ว
ดีที่ตำรวจมาทันเวลาพอดี ในงานตลาดนัดของทุกปีทางสถานีตำรวจจะวางกำลังตำรวจตระเวนอยู่รอบๆ เพราะแทบจะทุกปีที่จะมีเรื่องชกต่อยหรือลักขโมยเกิดขึ้นอยู่แล้ว
นายตำรวจสองคนออกแรงเบียดฝูงชนเข้ามา มีคนถึงกับใช้กาน้ำชาที่พึ่งซื้อมาทุบไปที่หน้าของผู้หญิงที่ถูกลากลงรถคนนั้นอย่างแรง การกระทำแบบนี้เกือบจะทำให้เหล่าฝูงชนปะทุกันขึ้นมาอีกครั้งทีเดียว
พวกชาวบ้านเกลียดคนแบบนี้ที่สุด เรื่องการลักขโมยเล็กๆ น้อยน่ะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย
คุณตำรวจหยิบกุญแจมือขึ้นมากระแทกไปบนรถ ดัง ‘แก๊งๆ’ เสียงนี้ทำให้เหล่าฝูงชนนั้นเงียบลง พวกเขาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผู้หญิงที่อุ้มหลานอยู่เล่าเรื่องให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบด้วยเสียงสะอื้น
ตำรวจรูปร่างอ้วนนายหนึ่งถีบไปที่ชายหนุ่มสวมเสื้อกันหนาวสีแดงที่นอนเป็นตายอยู่บนพื้นอย่างรังเกียจ พูดว่า “แกมันชั่วช้าสามานย์ อย่ามาทำเป็นแกล้งตายนะ ให้ตายเถอะ ไอ้พวกลักพาตัว แกนี่มันสารเลวจริงๆ !”
เหล่าฝูงชนตะโกนให้ตีพวกเขาให้ตาย ตำรวจที่ดูสูงอายุก็ตะโกนว่า “ประชาชนทุกคนใจเย็นๆ เงียบเดี๋ยวนี้นะให้ตายเถอะ! พวกเราต้องทำการสอบสวนนะ พวกลักพาตัวพวกนี้ต้องไม่ได้มีแค่พวกเขาสามคนแน่นอน! พวกเราต้องรวบพวกมันให้หมด!”
เมื่อคุณตำรวจตะโกนออกมา เหล่าฝูงชนที่แม้จะยังโกรธไม่หาย แต่ก็ยอมสงบลง เพราะเป็นงานในหมู่บ้านใกล้เรือนเคียง ตำรวจพวกนี้ก็มีญาติที่อาศัยอยู่ในอำเภอนี้ด้วย มีคนตะโกนพูดกับนายตำรวจรูปร่างอ้วนท้วมว่า “ต้าจิน นายต้องจับตาดูไอ้สารเลวนี่ให้ดีนะ! สอบสวนให้ดี ต้องทวงความยุติธรรมให้คนในหมู่บ้านให้ได้!”
ตำรวจอ้วนพูด “วางใจได้ครับน้า พอพวกผมนำตัวพวกเขากลับไปแล้วก็จะเริ่มสอบสวนทันที! จริงสิ แล้วชายหนุ่มที่เลี้ยงหมาล่ะ? เขาไปไหนแล้ว?”
คนทั้งกลุ่มพากันทำหน้าสับสน พวกเขามองซ้ายมองขวา ถึงรู้ว่าชายหนุ่มที่หาเด็กเจอกับชายต่างชาติร่างกายกำยำนั้นหายไปแล้ว แต่หายไปตอนไหนนั้น ใครจะรู้?
พอฉินสือโอวเห็นคนรอบๆ พากันรุมเข้าไปเขาก็พาเบิร์ดเดินจากไปแล้ว ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว หากยังอยู่ต่อไปก็เท่ากับหาเรื่องให้ตัวเองแล้วล่ะ เขารู้ว่าหากตำรวจมาแล้วจะต้องลากเขาไปให้ปากคำอย่างแน่นอน อย่างนี้สู้รีบกลับบ้านดีกว่า
น่าเสียดายที่รถถูกปิดทางออกไว้ ฉินสือโอวจึงพาทุกคนนั่งไปกับรถตู้ที่ยืมมา กินพิสตาชิโอไปพลางพูดคุยกัน วินนี่หยิบเนื้อทอดที่ซื้อมาป้อนให้หู่จือกับเป้าจือ พร้อมกับพูดชมไม่หยุดปากว่าพวกมันเป็นเด็กดี
เมื่อกลับถึงบ้านตอนบ่าย เลขาหมู่บ้านรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน บอกว่าสำนักงานรักษาความปลอดภัยจากในอำเภอโทรมาหาเขา ถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ฉินสือโอวถามว่าต้องไปให้ปากคำหรือเปล่า เลขาหมู่บ้านหัวเราะแล้วพูดว่า “ปากคำอะไรกัน สิ่งที่พวกคุณทำเป็นเรื่องดี ยังต้องไปให้ปากคำอีกเหรอ? การหาตัวพวกลักพาตัวเจอนั้นถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เดี๋ยวกลับไปผมต้องไปสถานีตำรวจขอธงเกียรติยศเสียหน่อยแล้ว ถึงตอนนั้นจะเอามาห้อยไว้ในกลุ่ม ให้หมู่บ้านเรามีหน้ามีตาเสียบ้าง”
เหวินซูหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “ห้อยไว้ที่กลุ่มไหนกัน? เดี๋ยวรอโรงงานกระป๋องสร้างเสร็จ ห้อยไว้ที่โรงงานแทนเลย!”
พูดคุยกันได้สักพัก พวกเลขาหมู่บ้านและเหวินซูก็กลับไป พ่อของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด
วันที่ 28 เดือนสิบสอง (เดือนที่สิบสองตามปฏิทินจันทรคติ) เลขาหมู่บ้านได้มาเรียกให้ฉินสือโอวไปที่กลุ่มหมู่บ้าน จากนั้นก็ใช้เครื่องกระจายเสียงประกาศเรียกให้ทุกบ้านไปที่คลังเก็บของของหมู่บ้านเพื่อรับของขวัญประจำปีกัน
ของพวกนี้เป็นของที่ฉินสือโอวออกเงินซื้อให้ การทำแบบนี้ไม่ได้เป็นการอวดว่าตัวเองเป็นเศรษฐี แต่ปีใหม่ทั้งที สิ่งที่ผู้คนคาดหวังในวันนี้ก็มีแค่ขอให้มีความสุขกับโชคดีเท่านั้น ในทุกปีหมู่บ้านจะแจกของขวัญประจำปีอยู่แล้ว แต่เพราะไม่มีเงิน จึงแจกได้แค่ข้าวสารสองถุงกับไข่ไก่สองชั่งต่อหนึ่งครอบครัวเท่านั้นก็จบเรื่อง
ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเห็นว่าเหวินซูและหัวหน้าคณะกรรมการหมู่บ้านไปซื้อของขวัญที่จะแจกกัน เขาจึงให้พ่อเขาเอาเงินให้ไปสองแสนหยวน เพื่อจะได้ซื้อของขวัญได้เยอะขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คนแก่ในหมู่บ้านได้ของเยอะขึ้นด้วย
ตอนเขาอยู่เกาะแฟร์เวลทำทั้งซ่อมแซมโบสถ์ไหนจะยังขยายฟาร์มปลาอีก หากกลับบ้านเกิดแล้วขี้เหนียวเกินไป คงจะไม่ดีแน่
หมู่บ้านตระกูลฉินมีทั้งหมดสี่ร้อยกว่าครัวเรือน ประชากรประมาณสองพันคน เงินสองแสนหยวนแบ่งให้คนในหมู่บ้านได้เฉลี่ยเพียงคนละหนึ่งร้อยกว่าหยวนเท่านั้น ความจริงแล้วไม่ถือว่าเยอะเลย แต่ว่าหากเปลี่ยนเป็นข้าวสาร เนื้อ ไข่แล้วก็ของอีกนิดหน่อย ก็ถือว่าเยอะแล้ว
เมื่อถึงเวลาแจกของขวัญ ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ครึกครื้นที่สุดที่หมู่บ้านตระกูลฉินเคยมีมาเลย แทบจะทุกครัวเรือนจะได้รับของมูลค่าสามสี่ร้อยหยวนไป ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่เลย
อีกวันเดียวก็จะเป็นวันที่29เดือนสิบสองแล้ว ต่อจากนี้ก็คือเวลาที่ฉินสือโอวจะช่วยคุณพ่อติดตุ้ยเหลียน [1]โคลงบนของหน้าประตูเขียนว่า ‘พสกนิกรอยู่เย็นกันทั่วหล้า’ โคลงล่างคือ ‘ฝนตกตามฤดูมีเก็บเกี่ยวกิน’ โคลงกลางคือ ‘เขาเขียวขจีแม่น้ำใสสวยงาม’
ฉินสือโอวเห็นแล้ว ก็หัวเราะพูดว่า “แหม พ่อนี่มีหัววิชาการจัง ทำไมตุ้ยเหลียนของบ้านเราปีนี้ถึงดูมีความรู้จัง?”
พ่อของฉินสือโอวยิ้มอย่างพอใจแล้วพูดว่า “บ้านเราตอนนี้ถือว่าดีมากแล้ว เป็นคนต้องรู้จักพอ สถานะในตอนนี้ของบ้านเราถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ คิดๆ ดูแล้วที่เป็นแบบนี้ก็เพราะประเทศสุขสงบนั่นล่ะ ถ้าเป็นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แกจะไปแคนาดาได้ยังไง?”
ลูบตุ้ยเหลียนให้เรียบเร็ว พ่อของฉินสือโอวพูด “ท้ายที่สุดแล้ว ก็ต้องประเทศเจริญ ประเทศร่ำรวย ประเทศดี แบบนั้นประชาชนถึงจะดีด้วย”
ฉินสือโอวคิดๆ ที่พ่อพูดว่าก็มีเหตุผล แต่ว่าเขาก็ยังชอบเกาะแฟร์เวลมากกว่าอยู่ดี
ก่อนวัน 29 บรรยากาศปีใหม่ยังไม่เข้มข้น ต้องรอวันที่ 30 บรรยากาศที่บ่มมาร่วมปีถึงจะหอมกรุ่นขึ้นมาทันที
แต่ประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ ขนบธรรมเนียมหลากหลาย ธรรมเนียมของหมู่บ้านของฉินสือโอวนั้นคือเช้าวันที่สามสิบจะกินข้าวสวยกับก๋วยเตี๋ยวหมูใส่ผักกาดขาวกัน
ปีนี้ที่บ้านคนเยอะ พ่อกับแม่ของฉินสือโอวใช้เตากระทะใหญ่ทำก๋วยเตี๋ยวหมูผักกาดขาวมาหม้อใหญ่ ตอนเช้าตื่นมาแต่เช้าตรู่ หลังล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็จะไปกินข้าวกันที่เตียงตั่ง ฉินสือโอวใส่แผ่นเนื้อหมูแผ่นใหญ่ที่ต้มสุกแล้วให้กับพวกเด็กๆ คนละแผ่น
เชอร์ลี่ย์มองดูอย่างตกตะลึง แล้วถามด้วยเสียงเบาว่า “ฉิน หนูกินผักบ้างดีไหมคะ? เด็กผู้หญิงไม่ควรกินเนื้อเยอะเกินไปค่ะ”
ทางฝั่งวินนี่ยิ่งตะลึงกว่า เพราะทั้งพ่อและแม่ของฉินสือโอวต่างก็หยิบแผ่นเนื้อหมูให้เธอทั้งคู่ รวมเป็นเนื้อหมูสองแผ่นใหญ่!
ฉินสือโอวเห็นวินนี่กินไม่ลง จึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วช่วยเธอกิน ทั้งสองคนแบ่งเนื้อหมูกันเธอหนึ่งแผ่นฉันหนึ่งแผ่น กินกันอย่างมีความสุข ทางฝั่งพ่อและแม่ของฉินสือโอวที่มองดูอยู่นั้นยิ่งมีความสุข
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จก็เตรียมห่อเกี๊ยวกัน เกี๊ยวนี่ไว้สำหรับกินวันพรุ่งนี้ แม่ของฉินสือโอวเตรียมไส้ไว้หลายอย่าง มีผักกุ้ยช่ายสด ไข่ไก่สด กุ้งฝอยสด รวมเป็นเกี๊ยวน้ำไส้สามสหาย และก็มีเกี๊ยวน้ำไส้เนื้อวัวกับหอมหัวใหญ่ เกี๊ยวน้ำไส้ปลาอินทรีบั้ง และก็เกี๊ยวน้ำไส้ถั่วดำ
แม่ของฉินสือโอวจะตะโกนเรียกพ่อของฉินสือโอวมาช่วยกันห่อเกี๊ยว แต่สุดท้ายไม่ทันถึงมือของทั้งสอง เพราะเชอร์ลี่ย์กับเด็กๆ ต่างก็พากันมาล้อมอยู่ที่โต๊ะช่วยกันห่อ เหมือนกับสายน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ ไม่นานเกี๊ยวที่รูปร่างเหมือนเงินตำลึงก็ออกมาแล้ว
แม่ของฉินสือโอวมองดูแล้วยิ้มอย่างมีความสุข ชมพวกเขาไม่หยุดปากว่าพวกเขาห่อได้ดี เพื่อนบ้านที่มาเที่ยวหา เมื่อเห็นเด็กต่างชาติสี่คนห่อเกี๊ยวแถมยังห่อได้ดีอีก ต่างก็พากันตกใจแล้วพูดว่า “ว้าว ดูเหมือนว่าไม่ได้มีเพียงอาหารจีนของเราเท่านั้นที่ดังไปทั่วโลก แม้แต่อาหารแป้งของจีนก็ดังขนาดนี้เลยเหรอ?”
ตอนเย็นฉินสือโอวตามคุณพ่อไปไหว้หลุมศพของคุณตาคุณยายกัน นี่คือกิจกรรมที่สำคัญที่สุดของเย็นวันที่สามสิบของปี ก็คือการเชิญเหล่าบรรพบุรุษกลับบ้านมาฉลองปีใหม่ด้วยกัน
เมื่อถึงสุสานของหมู่บ้านแล้ว พ่อของฉินสือโอวก็เผากระดาษจุดธูป ส่วนฉินสือโอวก็จุดประทัดแพ
ปีนี้พ่อของฉินสือโอวจัดการทุกอย่างอย่างใหญ่โต ประทัดแพนี้เป็นประทัดใหญ่ขนาดห้าร้อยลูก ทำให้ฉินสือโอวจำต้องหาไม้ไผ่ยาวสองอันมามัดรวมกันจึงจะสามารถห้อยประทัดแพนี้ขึ้นมาได้
หลังจากจุดประทัดดังเปรี้ยงปร้างแล้ว พ่อของฉินสือโอวก็ถอนหายใจแล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “พ่อว่าแกลองหาเวลาย้ายหลุมศพของคุณปู่รองมาที่นี่ด้วยดีไหม? ใบไม้ร่วงยังคืนสู่ราก คุณปู่รองของแกน่ะ ก็คงอยากกลับบ้านอยู่เหมือนกันนะ”
ฉินสือโอวพยักหน้า หากมีโอกาสจะต้องย้ายหลุมฝังศพของคุณปู่รองมาที่นี่แน่นอน แต่เรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก เพราะที่แคนาดานั้นเป็นการฝังศพไม่ได้เผา การจะขนโลงศพกลับมาที่นี่นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
……………………………………

[1] ตุ้ยเหลียน คือ บทกลอนคู่ มีรูปแบบเป็นคำกลอนคู่ซ้าย-ขวา ที่มีความคล้องจองและมีความหมายสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ในช่วงตรุษจีน คนจีนทุกบ้านจะเอาตุ้ยเหลียนติดไว้ที่หน้าบ้าน ตุ้ยเหลียนที่ใช้ในวันตรุษจีนมักใช้พื้นสีแดงตัวหนังสือสีทอง

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset