ฉินสือโอวตั้งตาคอยเทศกาลตรุษจีนมาก คนในครอบครัวก็ร่วมกันฉลองวันไหว้อย่างมีความสุข แต่ว่าไม่นาน เทศกาลนี้ก็จบลงแล้ว
เมื่อผ่านวันที่สามวันที่สี่ไป บรรยากาศปีใหม่ก็เริ่มหมดแล้ว คนในหมู่บ้านก็เริ่มยุ่งกันขึ้นมาอีกครั้ง พ่อและแม่ของฉินสือโอวไปที่สวนผักเก็บกุ้ยช่าย เพื่อเตรียมย้ายไปปลูกที่สวนอื่น
พวกท่านไม่เหมือนกับฉินสือโอวที่ปลูกกุ้ยช่ายอย่างลวกๆ หว่านเมล็ดพันธุ์ไปที่ผืนดินให้พวกมันโตขึ้นมาก็พอแล้ว จะขึ้นเยอะขึ้นน้อยเขาก็ไม่สนใจ อย่างไรเสียดินก็อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว จะได้เก็บเกี่ยวตอนไหนก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
แต่พ่อและแม่ของฉินสือโอวนั้นจะหว่านเมล็ดกุ้ยช่ายลงบนดินแต่ต้นปีจากนั้นคลุมดินไว้ พอปลายปีต้นกล้าขึ้นแล้ว ก็จะทำการย้ายต้นกล้าลงปลูกใหม่
ฉินสือโอวอยากขอพ่อแม่ว่าไม่ต้องทำงานแล้ว แต่เมื่อได้ไปดูที่สวนผักแล้ว ก็เห็นว่าผักที่พ่อกับแม่ปลูกนั้นไม่ได้มีเยอะเลย มีปลูกต้นกล้ากุ้ยช่ายเพียงแปลงเล็กๆ แปลงเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ปลูกทีครั้งละหกร้อยถึงหนึ่งพันสองร้อยตารางเมตร
เมื่อเห็นฉินสือโอวไม่พูดอะไร พ่อของฉินสือโอวก็หัวเราะขึ้นมา “เอาน่า ลูกชาย แกไปยุ่งธุระของตัวเองเถอะ ฉันกับแม่ของแกไม่โง่หรอกนะ ตอนนี้ที่บ้านไม่ได้ขัดสนแล้ว คิดว่าพวกเราจะยังทำงานเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ? แค่ปลูกอะไรนิดหน่อยเก็บไว้กินเองแค่นั้น กินไม่หมดก็ขาย”
พอผ่านปีใหม่มาแล้วเรื่องที่ต้องทำก็ควรเริ่มทำได้แล้ว ฉินสือโอวเองก็ยังมีงานต้องทำเหมือนกัน นั่นก็คือการรับทำเหมาก่อสร้างแม่น้ำไป๋หลง
ก่อนปีใหม่เขาได้เซ็นสัญญารับเหมาแล้ว ฉินสือโอวให้เงินไป ปีละสองแสนหยวน ค่ารับเหมานี้ถือว่าเป็นค่าจ้างปกติสำหรับงานแบบนี้
บริเวณที่เขารับเหมามาคือเขตด้านหน้าของหมู่บ้านตระกูลฉิน มีความยาวประมาณเจ็ดถึงแปดร้อยเมตร ส่วนความกว้างไม่เท่ากัน ความกว้างตรงส่วนหัวและปลายค่อนข้างแคบประมาณสี่ถึงห้าเมตร ส่วนตรงกลางค่อนข้างกว้างหน่อย มีประมาณยี่สิบเมตร
วันที่หกหลังปีใหม่ ฉินสือโอวหาเวลาไปที่เขตเมืองอำเภอเพื่อซื้อตาข่ายล้อม ไปล้อมไว้ตรงส่วนหัวและปลายของแม่น้ำ แค่นี้ก็สามารถเลี้ยงปลาน้ำจืดได้แล้ว
จากนั้นเขาก็ใช้พลังโพไซดอนไปสำรวจดูในน้ำ เงินตำลึงในเรือที่จมลงไปยังคงแน่นิ่งอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน มีปลาเฉาฮื้อหลายตัวที่ว่ายล้อมรอบไปแถวเรือลำนั้น เพราะทั้งสี่ด้านของเรือลำนั้นมีพืชน้ำขึ้นอยู่สามารถกินเป็นอาหารได้
ฉินสือโอวให้พี่เขยช่วยเขาติดต่อบริษัทลูกปลากับลูกกุ้ง เพื่อซื้อลูกกุ้งหนึ่งหมื่นตัวกับลูกปลาทอง ลูกปลาคาร์ฟกับลูกปลาดุกอีกหนึ่งหมื่นตัว ตอนปล่อยลูกปลาพวกนี้ลงไปในแม่น้ำ จำนวนปลาก็เยอะจนละลานตาไปหมด
ที่เขาจะเลี้ยงต่อไปนี้คือปลาเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง แต่ก่อนจะเลี้ยงต้องทำให้ ‘น้ำมีชีวิต’ ก่อน นี่คือคำพูดที่คนในบ้านเกิดเขาชอบพูดกัน ความหมายก็คือหาปลาที่เลี้ยงง่าย โตง่ายไปอาศัยอยู่ในน้ำก่อนช่วงหนึ่ง ให้ในแม่น้ำมีกลิ่นอายของปลาก่อน
เมื่อซื้อปลากับกุ้งแล้วก็ต้องมีอาหารด้วย ฉินสือโอวไม่อยากเลี้ยงด้วยอาหารปลาสำเร็จรูป เพราะการทำแบบนั้นนอกจากจะเหนื่อยแล้ว การเลี้ยงแบบนั้นยังทำให้ได้ปลาที่มีเนื้อเกรดต่ำด้วย รสชาติไม่ได้เรื่องเลย
เขาอยากปลูกพืชน้ำแทน แต่กลายเป็นว่าทั้งอำเภอกลับไม่มีบริษัทไหนที่มีเมล็ดพันธุ์พืชน้ำขายเลย ไม่เหมือนกับที่นิวฟันด์แลนด์ที่ทำอุตสาหกรรมด้านนี้มานาน ทำให้มีพวกเมล็ดพันธุ์หญ้าทะเลกับเมล็ดพันธุ์พืชน้ำขายเต็มไปหมด
เมื่อเป็นแบบนี้เขาจึงเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อติดต่อหาซื้อแทน สุดท้ายก็เจอเข้ากับบริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงพืชและสัตว์ในน้ำที่มีเมล็ดพืชน้ำขายอยู่ ฉินสือโอวสั่งซื้อไปจำนวนห้าตัน แล้วจ้างรถบรรทุกลำหนึ่งลากกลับมาให้
การทำอุตสาหกรรมปลาไม่ซื้ออาหารสำเร็จรูปแต่กลับซื้อเมล็ดพืชน้ำแทน ทำเอาคนในหมู่บ้านประหลาดใจไปตามๆ กัน จึงพากันมาถามไถ่
ฉินสือโอวอธิบายว่า ก่อนที่เมล็ดพันธุ์พืชน้ำจะเติบโตนั้น พวกมันยังมีบทบาทสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเป็นอาหารให้กับพวกลูกกุ้งล็อบสเตอร์กับลูกปลานั่นเอง ดังนั้นซื้อทีจึงต้องซื้อจำนวนเยอะๆ เมล็ดพันธุ์พืชน้ำห้าตันนี้ สุดท้ายต้นที่เติบโตได้นั้นคงมีไม่ถึงหนึ่งตันด้วยซ้ำ ที่เหลือนั้นไม่ตายก่อนก็คงเข้าไปอยู่ในท้องของลูกปลาแทน
เมื่อได้ฟังคำพูดเขาแล้ว คนในหมู่บ้านต่างก็พากันส่ายหัว เจ้าเด็กนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ เลย
อาหารปลาจะราคาสักเท่าไรกันเชียว? หากใช้อาหารปลาเลี้ยงปลาทองแล้วล่ะก็ หนึ่งตันก็ราคาแค่สองพันถึงสี่พันหยวนเท่านั้น แต่ว่าเมล็ดพันธุ์พืชน้ำล่ะ? หนึ่งตันราคาตั้งหนึ่งหมื่นสี่พันหยวน ราคามันหลายเท่าเลยนะ!
ฉินสือโอวไม่สนใจ เขาหาคนมาช่วยหว่านเมล็ดห้าพันกิโลกรัมลงในน้ำ จากนั้นก็วุ่นอยู่กับการล้อมแหกั้นไว้ริมตลิ่งตรงเขตที่มีปลาไว้
จุดประสงค์ที่ต้องล้อมไว้ไม่ใช่เพราะกลัวมีคนมาขโมยปลา แต่กลับกัน เขากลัวว่าจะมีคนไปเล่นน้ำในแม่น้ำมากกว่า โดยเฉพาะพวกเด็กๆ พวกเขาชอบลงไปว่ายน้ำในแม่น้ำกันช่วงหน้าร้อน
อีกหน่อยฟาร์มปลาที่เต็มไปด้วยพืชน้ำ ถ้าเด็กๆ ลงไปเล่นน้ำแล้วถูกพืชน้ำพันขาไว้ล่ะก็ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่!
นอกจากจะล้อมแหกั้นตรงตลิ่งแล้ว ฉินสือโอวยังแขวนป้ายไว้ทั้งสี่ด้าน เขียนไว้ว่า ในน้ำพืชน้ำเยอะ กรุณาอย่าลงเล่น!
เมื่อเห็นฉินสือโอวแขวนป้าย หัวหน้าหมู่บ้านก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วพูดว่า “เสี่ยวโอว ทำไมนายไม่ใช้อาหารปลาเลี้ยงล่ะ? ใช้พืชน้ำไม่ค่อยดีนะ เสียเงินเยอะไม่ว่า ยังอันตรายมากด้วย”
ฉินสือโอวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณก็เห็นสภาพน้ำของแม่น้ำของเราแล้ว ทุกบ้านต่างก็มาว่ายน้ำซักผ้ากันที่นี่ หากผมไม่ปลูกพืชน้ำเพื่อมาชำระล้างแม่น้ำก่อนแล้วล่ะก็ ปลาของผมจะโตได้เหรอ?”
หัวหน้าหมู่บ้านทำเสียงจิ๊จ๊ะอีกรอบ แต่ก็หมดคำพูด จึงทำได้แต่เดินจากไปอย่างมึนงง
สุดท้ายใช้เวลาไปทั้งหมดสิบกว่าวัน ฟาร์มปลาในแม่น้ำก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ทั้งลูกปลาและลูกกุ้งก็ปล่อยลงไปแล้ว ฉินสือโอวได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกบัวไปอีกชุดหนึ่ง นี่คือจุดเด่นของบ้านเกิด ฤดูร้อนชมดอกบัว ฤดูใบไม้ร่วงเก็บใยบัว ทั้งสวยงามและยังมีผลทางเศรษฐกิจด้วย
เมื่อฟาร์มปลาสร้างเสร็จแล้ว พ่อและแม่ของฉินสือโอวอยู่ไม่เป็นสุขขึ้นมา พวกเขารู้ว่าถ้าปลาตัวโตขึ้นมาหน่อยแล้วต้องมีคนมาขโมยปลาแน่ๆ จึงเตรียมตัวจะย้ายไปอาศัยอยู่ข้างแม่น้ำตอนที่อากาศอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว
ฉินสือโอวดีใจขึ้นมาทันที เมื่อพ่อและแม่ไปอยู่ข้างแม่น้ำแล้ว งั้นงานที่สวนผักก็จะไม่ต้องไปทำอีกแล้ว เพราะการดูแลปลานั้นไม่เหนื่อยแค่ใช้เวลาเยอะเฉยๆ คุณจะต้องอยู่เฝ้าที่นั่นทั้งวัน เพราะขอแค่ออกห่างแล้ว คนขโมยปลาก็จะมีโอกาสเข้าไปได้ทันที
พ่อของฉินสือโอวก็รู้ถึงจุดนี้ ดังนั้นเขาจึงปลูกผักในสวนแค่พอตัวเองกิน สวนผักอื่นๆ ต่างก็หยุดไปหมด กะว่าพอเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วจะเริ่มปลูกพวกต้นผลไม้แทน โรงงานผลไม้กระป๋องใกล้จะเริ่มก่อสร้างแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพอถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็ต้องมีส่วนแบ่งออกมาแน่นอน
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็แผ่พลังโพไซดอนไปที่แม่น้ำ แล้วพูดกับพ่อแม่ว่า “เอาล่ะ พ่อกับแม่รอเก็บเกี่ยวปลาก็พอแล้ว ฤดูใบไม้ผลิปีนี้พวกลูกกุ้งล็อบสเตอร์กับปลาก็สามารถเอาไปขายได้แล้ว ถึงตอนนั้นแล้วต้องได้กำไรดีกว่าการทำไร่ทำนาแน่นอน”
พ่อของฉินสือโอวพูดว่า “ทำไมแกถึงต้องเลี้ยงปลาทองอะไรพวกนี้ด้วย? ปลาแบบนี้ไม่ได้ราคา เลี้ยงพวกปลาไหล ปลาแมนดาริน ปลาทรายแดง กับปลาดุกหัวเหลือง ปลาพวกนี้สิถึงจะมีราคา”
ฉินสือโอวยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “พ่อ พ่อไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก ฟังลูกชายเถอะ ไม่ผิดแน่นอน ปลาที่เลี้ยงตอนนี้เลี้ยงง่าย กินได้ทุกอย่าง แต่พวกปลาไหลกับปลาแมนดารินกลับไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องเลี้ยงปลาบ้านๆ พวกนี้ให้โตก่อน”
ฟาร์มปลาในแม่น้ำสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พ่อของฉินสือโอวขอเจ้าเกี๊ยวซ่าของเสี่ยวฮุยไว้เพื่อใช้งาน ความจริงแล้วเขาอยากได้หู่จือกับเป้าจือมากกว่า แต่คงจะขอเจ้าสองตัวนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะวินนี่เห็นเจ้าสองตัวนี้เป็นเหมือนกับลูกชายเลยทีเดียว
เสี่ยวฮุยเองก็ไม่ค่อยเต็มใจ เพราะเขาอยากฝึกให้เจ้าเกี๊ยวซ่าเป็นสุนัขทหาร แต่คุณปู่คุณย่าบอกกับเขาว่า ปลาในแม่น้ำนั้นเป็นปลาที่เลี้ยงให้เขาทั้งนั้น หลังจากนี้ทุกวันอาทิตย์เขาสามารถพาเพื่อนตัวน้อยไปตกปลาที่ริมแม่น้ำได้ด้วย
เมื่อได้ยินแบบนี้ เขาจึงยอมยกเกี๊ยวซ่าให้อย่างเต็มอกเต็มใจทันที “อืม เกี๊ยวซ่า เป็นเด็กดีนะ ดูแลปลาให้ดีๆ นะ ปลาทั้งหมดนี่เป็นของฉันหมดเลยนะ
วันที่ 15 มกราคมเป็นวันเทศกาลโคมไฟ คนทั้งครอบครัวก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุขกันอีกรอบ ครั้งนี้พี่สาวและพี่เขยพาเสี่ยวฮุยมาด้วย คนสิบกว่าคนอัดกันจนบ้านแน่นไปหมดเลย ฉินสือโอวซื้อพวกประทัดและดอกไม้ไฟมามากมาย คนทั้งกลุ่มจึงพากันจุดดอกไม้ไฟเล่นอยู่หน้าประตูบ้าน
กินขนมบัวลอยแล้ว ดอกไม้ไฟก็เล่นแล้ว ฉินสือโอวก็จะต้องเตรียมตัวกลับเกาะแฟร์เวลแล้ว กลับบ้านไปพักอยู่เกือบเดือน ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการอยู่ดูแลพ่อกับแม่ที่บ้านได้อย่างจุใจจริงๆ
ถึงแม้ว่าจะอยู่มาเกือบเดือนแล้วก็จริง แต่พ่อและแม่ของฉินสือโอวก็ยังไม่อยากให้ลูกชายกลับอยู่ดี เพราะกลับไปครั้งนี้ กว่าจะได้มาอีกอย่างน้อยก็ต้องมีครึ่งปี
เมื่อเห็นสีหน้าฝืนยิ้มฝืนดีใจของพ่อและแม่ของฉินสือโอว วินนี่ก็แอบไปสะกิดฉินสือโอวพูดว่า “ถ้าหากว่า เอ่อ ฉันหมายถึงถ้าหากว่านะ ถ้ามีเงินมากพอแล้วล่ะก็พวกเราซื้อเครื่องบินลำหนึ่งเถอะ แบบนี้ไปๆ มาคงสะดวกมากกว่านี้”
……………………………………
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 480 ฟาร์มปลาในแม่น้ำ
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!