ที่ฉินสือโอวบอกว่าลูกสาวของเหมาเหว่ยหลงไม่ใช่ตัวเล็กๆ แล้ว ไม่ใช่เพราะอายุเยอะ แต่เป็นเพราะอายุของเหมาเหว่ยหลง
เด็กหญิงตัวเล็กดูท่าน่าจะมีอายุประมาณห้าขวบ สวมชุดกระโปรงเจ้าหญิงน้อยผ้าชีฟองโปร่งบาง บนหัวติดกิ๊บหนีบผมผีเสื้อสีส้ม ใส่รองเท้าหนังคู่เล็กๆ ดวงตากลมโต แก้มกลมๆ ผิวอ่อนนุ่มราวกับว่าถ้าบีบแล้วจะมีน้ำไหลออกมา
ถ้าใช้ภาษาอินเทอร์เน็ต คงเรียกว่าน่ารักแอ๊บแบ๊ว
ไม่แปลกใจที่เด็กหญิงตัวเล็กคนนี้จะไม่ใช่ลูกสาวที่เพิ่งเกิดของเหมาเหว่ยหลงอย่างแน่นอน เพราะดูเหมือนว่าอายุจะไม่สอดคล้องกันเท่าไร
ส่วนคนที่ยืนข้างหลังของเหมาเหว่ยหลงเป็นสาวสวยสวมแว่นตากรอบสีดำ เธอน่าจะอายุประมาณสามสิบกว่าปี ผมของเธอเกล้าม้วนขึ้นเป็นมวย คิ้วโก่งบาง ริมฝีปากแดงเรื่อและแต่งหน้าอ่อนๆ มีลักษณะของผู้หญิงที่มีความสง่างาม
ฉินสือโอวกอดเหมาเหว่ยหลงไว้แน่น เขายิ้มกว้างแล้วพูดว่า “ยินดีต้อนรับโคโกโร่มาป่วนนิวฟันด์แลนด์”
ย้อนกลับไปในช่วงเวลานี้เมื่อหนึ่งปีก่อน ก็เป็นช่วงที่เหมาเหว่ยหลงเคยต้อนรับฉินสือโอวแบบนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้กลับเป็นฉินสือโอวที่ต้องมาต้อนรับเขาแทน
เมื่อเห็นฉินสือโอว สีหน้าอมทุกข์ของเหมาเหว่ยหลงก็หายไป เขาหัวเราะดังออกมา “ฉันไม่ได้มาป่วนนิวฟันด์แลนด์ฉันมาป่วนแกต่างหาก! ครั้งนี้ฉันมาเกาะแก และอาจจะนานด้วย แถมยังจะเกาะแกทั้งบ้านอีก”
“อาหารทะเล ผัก เนื้อไก่เป็ดห่าน ผลไม้ เลี้ยงพอแน่นอน! มีมากพอให้แกกินจนอยากอาเจียนไปเลยล่ะ!” ฉินสือโอวหัวเราะพร้อมพูดต่อว่า “เออใช่สิ ปีหน้าก็เริ่มดื่มไวน์ได้แล้วอีกด้วย อาจจะทำให้แกดื่มจนอยากจะอาเจียนด้วยเหมือนกัน!”
เหมาเหว่ยหลงตบที่ไหล่ของฉินสือโอวเบาๆ และแนะนำให้ฉินสือโอวรู้จักกับหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังเขา “นี่คือหลิวซูเหยียน พี่สะใภ้แก และนี่ตั๋วตั่ว หลานสาวแก”
“ล้อเล่นหน่า!” ฉินสือโอวจ้องไปที่เหมาเหว่ยหลง จากนั้นจึงจับมือกับหญิงสาวอย่างสุภาพพร้อมกับแนะนำตัว “ฉันชื่อฉินสือโอว หรือจะเรียกว่าพี่ฉินก็ได้ ฉันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหลง เขานับถือฉันมาก ถ้าคุณไม่รังเกียจ ก็สามารถนับถือฉันร่วมกับเขาได้”
หญิงสาวยิ้มพร้อมพูดว่า “ฉันนับถือคุณมานานแล้ว หลงมักจะพูดถึงคุณทุกวันเป็นร้อยๆ รอบ มักบอกแต่ว่าอยากไปอยู่กับคุณ ถึงแม้ว่าจะถูกคุณแกล้งเป็นประจำ แต่เขากลับมีความสุขมากเลยล่ะ เขาไม่ได้รู้สึกทุกข์หรือเศร้าใจอะไรเลย”
ฉินสือโอวหัวเราะชอบใจ จากนั้นจึงค่อยๆ นั่งยองๆ ลงแล้วบีบปลายจมูกของเด็กน้อยน่ารักเบาๆ แล้วหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ว่าไงสาวน้อย หนูชื่ออะไรจ๊ะ? อายุเท่าไรแล้ว? พอเห็นลุงแล้ว ลุงหล่อไหม?”
ดวงตากลมโตไร้เดียงสาของเด็กน้อยคนนี้จึงมองไปที่เขา หลิวซูเหยียนทำสัญญาณมือตรงหน้าอก เด็กน้อยจึงยิ้มออกมาอย่างเขินอาย แล้วเข้ากอดคอของฉินสือโอว จากนั้นก็หอมลงที่แก้มของเขาแล้วใช้มือน้อยๆ แสดงท่าทางออกมา
เมื่อเห็นท่าทางเหล่านี้จึงทำให้ฉินสือโอวรู้ว่า เด็กคนนี้พูดไม่ได้ อีกอย่างความสามารถในการอาจจะไม่ค่อยดีอีกด้วย
ฉินสือโอวกอดเธอให้ฟุบตรงหน้าอกแล้วให้เธอฟังเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง จากนั้นก็ดึงเหมาเหว่ยหลงเข้ามากอดเธอด้วยกัน
เขาไม่เข้าใจภาษามือ จึงทำได้แค่ใช้วิธีนี้ในการแสดงความรู้สึกของตัวเอง
หลังจากรับทุกคนมาแล้ว ฉินสือโอวจึงช่วยเหมาเหว่ยหลงลากกระเป๋าหนังไปข้างนอกสนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องอีกครั้ง
แม้ว่าเฮลิคอปเตอร์จะเป็นสี่ที่นั่ง แต่จริงๆ แล้วมันมีพื้นที่กว้างขวางมาก ฉินสือโอวอุ้มเด็กน้อยไปนั่งที่นั่งคนขับนักบิน เฮลิคอปเตอร์ได้รับอนุญาตให้อุ้มเด็กนั่งที่นั่งด้านหน้าได้ ถึงต่อให้ไม่ได้รับอนุญาต แต่ใครจะสามารถมาตรวจสอบได้?
พอนั่งลงบนเครื่อง เหมาเหว่ยหลงจึงยิ้มและพูดว่า “หมอนี่มีชีวิตดีจริงๆ แม้แต่เครื่องบินยังซื้อ? เรือยอชต์ก็มี แล้วต่อไปจะมีอะไรอีกล่ะ”
“ก็กำลังเตรียมทำเรือบรรทุกเครื่องบิน” ฉินสือโอวหัวเราะล้อเล่น เมื่อเฮลิคอปเตอร์บินขึ้น จะมีเสียงดังมากจนคนที่ใส่หูฟังอยู่ก็ไม่สามารถพูดคุยกันได้
เครื่องบินบินไปถึงเกาะแฟร์เวลได้อย่างรวดเร็ว เกาะเล็กๆ ในฤดูใบไม้ผลิเต็มไปด้วยความคึกคักและมีชีวิตชีวา น้ำทะเลใสสะอาดกำลังม้วนคลื่นขึ้นมาตามชายฝั่ง ฝูงนกนางนวลก็บินผ่านผิวน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว และทุกครั้งที่พวกมันบินขึ้น ก็จะเห็นพวกมันคาบปลาตัวเล็กๆ มาด้วย
ลึกเข้าไปในฟาร์มปลา จะบังเอิญมีปลาวาฬหลังค่อมสองตัวลอยอยู่บนผิวน้ำเพื่อระบายอากาศพอดี เด็กน้อยใช้สองมือทาบประตูกระจกมองดูปลาวาฬตัวใหญ่สองตัวนั้นอย่างตื่นเต้นและแปลกใจ พอหันหลังกลับมาก็จะเห็นเหมาเหว่ยหลงกับหลิวซูเหยียนโบกมือไปมาให้
หลิวซูเหยียนยิ้มออกมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
ฉินสือโอวก็ตั้งใจมองที่เหมาเหว่ยหลงด้วยสายตาเอ็นดูเช่นเดียวกัน เหมือนเขารู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเหมาเหว่ยหลง
บนเกาะเล็กๆ ผืนนี้ที่เต็มไปด้วยสีเขียวมรกต สีเขียวแบบนี้ไม่ใช่สีเขียวเข้มในช่วงฤดูร้อน แต่เป็นสีเขียวสดใสที่เต็มไปด้วยพลัง พืชพันธุ์กำลังเจริญงอกงาม ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งและดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในสวนของบ้านแต่ละหลัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ความสุขในช่วงฤดูกาลนี้มีเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเครื่องบินกำลังจะลง หลิวซูเหยียนช่วยตั๋วตั่วจัดเสื้อผ้าพลางถอนหายใจไปด้วย “พระเจ้า ที่นี่สวยมาก ท้องฟ้าสีคราม น้ำทะเลใสสะอาด ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ”
ฉินสือโอวยิ้มพร้อมพูดว่า “ถ้าชอบที่นี่ คุณกับครอบครัวก็อยู่ที่นี่เลยสิ รอให้ถึงช่วงรับประทานอาหารก่อนเถอะ แล้วคุณจะพบว่า ที่แท้แล้วผักและอาหารทะเลที่นี่อร่อยขนาดไหน!”
เมื่อเห็นเครื่องบินกำลังลงสู่พื้นดิน หู่จือเป้าจือฉงต้าและลูฟพาต้าป๋ายปอหลัววิ่งเข้ามา หลิวซูเหยียนเห็นเช่นนั้น จึงรีบดึงตั๋วตั่วมาไว้ในอ้อมอก เหมาเหว่ยหลงพูดปลอบใจเธอ “อย่าห่วงเลย นี่คือหู่จือเป้าจือ ฉงต้า ต้าป๋าย มันไม่ทำร้ายคน พวกมันเหมือนกับพี่น้องของฉัน พวกมันมันรู้เรื่อง”
ฉินสือโอวดึงมือตั๋วตั่วมาลูบหัวเจ้าสัตว์พวกนี้ แล้วบอกว่าถึงพวกมันจะเพื่อนตัวเล็ก แต่จริงๆ แล้วพวกมันโตกันหมดแล้ว หู่จือเป้าจือก็โตเป็นหนุ่มแล้ว ฉงต้าก็ตัวอ้วนใหญ่แล้ว ปอหลัวก็เริ่มแสดงรูปร่างสูงใหญ่ของกวางอูฐออกมาแล้ว หรือแม้แต่หลัวปอก็มีหัวแล้ว
แต่ในสายตาของฉินสือโอว ไม่ว่าพวกมันจะโตแค่ไหน ก็ยังคงเป็นเจ้าตัวเล็กอยู่ดี
ตั๋วตั่วลูบพวกมันเรียงตัว หู่จือและเป้าจือก็ค่อยๆ เลียที่มือน้อยๆ ของเธอเบาๆ ฉงต้าก็กะพริบตามองไปที่เด็กน้อยน่ารัก จากนั้นจึงยื่นขาอ้วนๆ ของมันไปชนกับกำปั้นของเธอแล้วเปิดยิ้มกว้างออกมา
สำหรับความฉลาดของฉงต้า มันอาจจะแปลกไปบ้างแต่เหมาเหว่ยหลงก็เห็นจนชินแล้ว แต่สำหรับหลิวซูเหยียนเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น จึงตกใจจนต้าค้างแล้วส่ายหัวไปมาอยู่อย่างนั้น
ฉินสือโอวพาตั๋วตั่วไปแนะนำให้เจ้าเพื่อนตัวน้อยให้รู้จัก จากนั้นก็พูดว่า “เอาล่ะๆ นี่คือเพื่อนใหม่ของพวกเรา จากนี้ไปต้องเล่นกับเธอด้วย เข้าใจไหม?”
ตั๋วตั่วมองไปที่หลัวปอตัวอ้วนตุ้ยนุ้ยขนสีขาวราวกับหิมะ แล้วรู้สึกว่ามันน่ารักมากจึงอยากจะกอดมัน
หลัวปอไม่ชอบให้ใครกอดนอกจากวินนี่ แม้แต่ฉินสือโอวมันยังไม่ให้กอด ดังนั้นมันจึงรีบถอยหลังออกไป
หู่จือรีบเดินอ้อมไปข้างหลังแล้วยื่นขาออกมาตีหัวหลัวปอเบาๆ ท่าทางเหมือนพี่ชายสอนว่ามันไม่สุภาพ
แต่ตั๋วตั่วไม่ได้บังคับฝืนใจ เธอหัวเราะแล้ววิ่งไปกอดต้าป๋าย เพราะต้าป๋ายก็น่ารักเหมือนกัน แถมทั้งตัวมันยังมีขนสีขาวเหมือนกันอีกด้วย อีกอย่างมันยังรู้เรื่องอีก ไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธกอดของเธอแล้ว มันยังเอาหัวที่มีขนปุกปุยมาถูแก้มของเด็กน้อยน่ารักคนนี้อีกด้วย
หลังจากรู้จักกันแล้ว ฉินสือโอวจึงโบอกมือส่งสัญญาณบอกให้เจ้าเพื่อนตัวน้อยไปได้แล้ว เขาเตรียมของว่างและเครื่องดื่มไว้ให้กับเหมาเหว่ยหลงและครอบครัว รอพวกเขากินลองท้องแล้วก็จะพาพวกเขาทั้งสามคนไปห้องพักที่เตรียมไว้ให้
เหมาเหว่ยหลงบอกว่าไม่ค่อยเหนื่อย ฉินสือโอวจึงตอบกลับว่า “บินมาสิบกว่าชั่วโมง แกไม่เหนื่อยแล้วลูกกับภรรยาก็จะไม่เหนื่อยด้วยเหรอ? เอาล่ะๆ ไปพักเถอะ ฉันจะไปปลูกองุ่นฝั่งนู้นละ ไม่มีเวลามาปรนนิบัติแกหรอกนะ! พักผ่อนเยอะๆ ตอนเย็นจะเตรียมเหล้าดีๆ อาหารชั้นเลิศมาต้อนรับ!”
เนื่องจากความต่างของเวลา หลังจากรับเหมาเหว่ยหลงมาก็เที่ยงแล้ว ดังนั้นข้าวมื้อต่อไปก็คือข้าวเย็น
เหมาเหว่ยหลงบีบไหล่เขา แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณมากพี่ชาย!”
ฉินสือโอวหันหลังกลับมาแล้วใส่เขากลับหนึ่งหมัด พร้อมหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “แกมาที่นี่กับฉัน แล้วยังจะขอบคุณอีก ฉันไม่ใช่พี่น้องของแกแล้วเหรอ? ขอบคุณอะไรกัน ถ้าอยากขอบคุณฉันจริงๆ ก็จ่ายเงินให้ฉันสิ ยังจะมาพูดเกรงใจฉันอะไรมากมาย”
………………………………..
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 573 เด็กน้อยน่ารักและผองเพื่อนตัวน้อย
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!