ตามรายงานของกองทัพ ขีปนาวุธนิวเคลียร์มักจะเท่ากับทีเอ็นทีหลายหมื่นตัน ผู้คนจำนวนมากจึงดูแคลนพลานุภาพของทีเอ็นที คิดว่าถ้าไม่ถึงตันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่ในความเป็นจริงดินระเบิดชนิดนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก แค่หนึ่งกิโลกรัมก็มีอานุภาพที่น่าหวาดกลัวมากพอแล้ว!
ถ้าทีเอ็นทีหนึ่งกิโลระเบิดขึ้นมาจะทำให้เกิดพลังทำลายล้างมากแค่ไหนน่ะเหรอ? จากมุมมองทางวิชาการ ทีเอ็นทีหนึ่งกิโลสามารถทำให้เกิดพลังงานสี่ล้านสองแสนจูล แล้วพลังงาน 1 จูลมันขนาดไหนน่ะเหรอ? โดยคร่าวๆ จะสามารถเคลื่อนย้ายสสารขนาด 100 กรัมไปได้หนึ่งเมตร
ถ้าลองคำนวณในทางกลับกัน เท่ากับว่าพลังงานที่ทีเอ็นทีหนึ่งกิโลกรัมปล่อยออกไปจะสามารถเคลื่อนย้ายสสารจำนวนหนึ่งกิโลกรัมไปได้ไกล 420 กิโลเมตร หรือก็คือสสาร 100 กิโลกรัมสามารถเคลื่อนที่ ไปได้ถึง 4.2 กิโลเมตร!
นี่คืออาวุธสงครามที่แท้จริง กระสุนระเบิดแรงสูง 76 มม. หนึ่งลูกจะบรรจุทีเอ็นทีได้ประมาณหนึ่งกิโลกรัม สามารถแปรสภาพอาคารหนึ่งหลังให้กลายเป็นซากปรักหักพังได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งระเบิดมือหนึ่งลูกจะบรรจุดินระเบิดได้ประมาณ 50 กรัม ในซากวาฬตัวนี้ ตอนนี้มีระเบิดมือกำลังเตรียมการระเบิดอยู่ยี่สิบลูก
หากวาฬระเบิดขึ้นมา ถ้าจากระยะที่พวกตำรวจอยู่ห่างจากมันเมื่อก่อนหน้านี้ เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นคงมีแต่ต้องสร้างสุสานให้พวกเขาเท่านั้น แม้แต่ร่างกายที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ก็คงจะหาไม่เจอ
พอรู้เรื่องนี้ ฉินสือโอวกับพวกตำรวจต่างก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง ต่อจากนั้นผู้คนจึงแพร่กระจายข่าวนี้ออกไป บอกให้ทุกๆ คนพากันระวังตัว และต้องไม่เข้าไปใกล้ซากวาฬตัวนี้เด็ดขาด
ฉินสือโอวรู้สึกขอบคุณคำเตือนของศาสตราจารย์กับทิญาและคนอื่นๆ มาก ด้านเชอร์ลี่ย์ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่ค่อยอยากยอมแพ้ว่า “พี่เรียนเรื่องอาวุธเหรอคะ?”
ทิญาก้มตัวลงแล้วยื่นมือไปถูแก้มพองๆ สีชมพูของเชอร์ลี่ย์ เธอยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพูดว่า “ไม่ใช่ พี่สาวเรียนภาษากับสมุทรศาสตร์”
เมื่อถูกถูแก้ม เด็กสาวจึงรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ถ้าอย่างนั้นพี่รู้ได้ยังไงคะ ว่าวาฬระเบิดมีพลังเท่ากับดินระเบิดทีเอ็นทีหนึ่งกิโลกรัม? เดาเองเหรอคะ? ตั้งใจพูดให้คนกลัวหรือเปล่าเถอะ”
ทิญาจึงพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่นะ อาจารย์ของพี่เป็นคนพูด ที่จริงพี่ยังไม่เก่งขนาดนั้นหรอก ถ้าหนูคิดว่าอาจารย์พี่พูดผิด จะให้พี่เชิญท่านมาอธิบายสักหน่อยไหม?”
เชอร์ลี่ย์ทำเสียงขึ้นจมูกแสดงความไม่พอใจ เธอไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกันกับศาสตราจารย์ จะไปจ้องจับผิดเขาทำไมกันล่ะ?
เธอกระทืบเท้าอย่างโกรธๆ เชอร์ลี่ย์หมุนตัวเดินหนีออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนฉินสือโอวก็คุยเรื่อยเปื่อยกับทิญาไม่กี่ประโยคก็แยกจากกัน
เขาตามเด็กสาวไป แล้วถามว่า “เธอจะไปไหน? ดูเสร็จแล้วพวกเธอยังต้องกลับไปเรียนด้วยเหรอ?”
เชอร์ลี่ย์พูดกับเขาเสียงดังว่า “นี่มันเย็นมากแล้วค่ะ หนูเลิกเรียนไปตั้งนานแล้ว!”
ฉินสือโอวเห็นว่าท่าทางที่กำลังโกรธจัดของเธอดูน่าสนใจ เขาจึงหัวเราะเหอะๆ พร้อมกับยื่นมือออกไปหยิกแก้มของเธอ แล้วพูดว่า “โมโหอะไรอีกแล้ว? ฉันกับคุณทิญาแค่เคยเจอกันมาก่อนเฉยๆ ดูเธอสิ ทำอย่างกับว่าฉันแอบหากิ๊กลับหลังพี่วินนี่เสียอย่างนั้น”
เขาสามารถสัมผัสได้ว่า เด็กสาวมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเขาอยู่เล็กน้อย ทว่าความรู้สึกดีๆ แบบนี้ ไม่ใช่ความรู้สึกระหว่างชายหญิง เด็กสาวกับพวกพาวลิสต่างก็โตเกินกว่าวัย ในตอนที่ฝนตกลงมาครั้งนั้น ฉินสือโอวพาพวกเขากลับมาที่วิลล่า ให้ที่พักที่ปลอดภัยกับชีวิตที่ไว้วางใจได้ ในตอนนั้นมันจึงส่งผลต่อความรู้สึกของพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนนั้นเด็กสาวอาจจะรู้สึกสำนึกในบุญคุณของเขา แต่หลังจากเวลาผ่านมานานแล้ว ความรู้สึกของเด็กสาวจึงเริ่มเลือนราง จนคิดว่าความรู้สึกขอบคุณคือความรัก
เด็กสาวไร้เดียงสากลับไม่ได้รู้เลยว่าความรักคืออะไร พวกเธอคิดว่าการที่รู้สึกชอบผู้ชายคนหนึ่งก็คือความรัก ทว่ารักคือภาระหน้าที่ ก็เหมือนกับทุกครั้งที่วินนี่คอยต้มซุปแก้แฮงค์รอเขากลับมาเวลาที่เขาออกไปดื่มเหล้า
ฉินสือโอวไม่ได้ตั้งใจจะแสดงอะไรออกไป เขารู้ว่า เวลาคือครูที่ดีที่สุด มันจะสั่งสอนให้เด็กสาวแยกแยะระหว่างมิตรภาพ ครอบครัวและความรัก
ในความเป็นจริง หลังจากบำรุงร่างกายจนโตตามทันวัยแล้ว เชอร์ลี่ย์ก็ได้เปลี่ยนจากลูกเป็ดขี้เหร่มาเป็นหงส์ขาว กลายเป็นหญิงสาวที่สวยงามอย่างโดดเด่น กอร์ดอนเคยแอบบอกกับเขาว่า เชอร์ลี่ย์เป็นคนที่ได้รับความนิยมที่สุดในโรงเรียนประถมแกรนท์ เด็กผู้ชายต่างก็อยากเป็นแฟนเธอกันทั้งนั้น
ฉินสือโอวเองก็ชอบผู้หญิงสวยๆ แบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาแค่รู้สึกชอบเฉยๆ เพราะความสวย ความไร้เดียงสา จิตใจที่ดีงามและความบริสุทธิ์ของเชอร์ลี่ย์ต่างหากที่ทำให้รู้สึกชอบ นี่เป็นคนละเรื่องกันกับความรัก คนที่เขารักคือวินนี่ นี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก
หลังจากกลับมาถึงวิลล่า ฉินสือโอวจึงลองค้นอินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับอาจารย์ที่ปรึกษาของทิญาที่มาที่นี่ในครั้งนี้ เขามีชื่อว่ามิสเตอร์แซนเดอร์ส วอร์ตัน
พอลองค้นหาถึงได้รู้ว่าแซนเดอร์ส วอร์ตันเป็นคนที่เก่งมาก เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาทางทะเล และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพันธุวิศวกรรมในระดับนานาชาติ โครงการวิจัยของเขายังถึงขั้นว่าเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์!
ที่เก่งกาจที่สุดก็คือ แซนเดอร์ส วอร์ตันไม่ใช่คนคงแก่เรียนที่มีดีแค่เรื่องทางวิชาการอย่างเดียว เขามีการศึกษาแค่ระดับปริญญาตรี หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้วเขาก็ทำการวิจัยพื้นฐานทางชีววิทยาทางทะเลมาโดยตลอด ต่อมาถูกมหาวิทยาลัยโทรอนโตเชิญกลับมารับตำแหน่งเดิม ตอนนี้เขาจึงเป็นศาสตราจารย์คนเดียวของมหาวิทยาลัยที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีที่สอนนักศึกษาระดับปริญญาเอก
เดิมทีเขาแค่อยากค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแซนเดอร์ส วอร์ตันเล่นๆ เฉยๆ ตอนนี้พอเห็นว่าชายผู้ทรงคุณวุฒิเก่งกาจขนาดนี้ ฉินสือโอวก็เริ่มใจเต้นขึ้นมาแล้ว
ในฟาร์มปลาของเขามีแต่ชาวประมงที่มีความรู้นอกรีต พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องการจับปลา แต่หลังจากศึกษาปัญหาสายพันธุ์ในมหาสมุทรพวกเขาก็พากันหลับหูหลับตาคว้าอุตลุดแล้ว อย่างเช่นเมื่อก่อนตอนที่สาหร่ายทะเลเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนทำให้ใต้ทะเลขาดแคลนแคลเซียม แต่พวกเขากลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะภูเขาไฟ เดิมทีฟาร์มปลาคงจะประสบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ พอถึงเวลาสาหร่ายทะเลก็คงจะตายลงเป็นจำนวนมาก บทเรียนที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์มันร้ายแรงถึงขนาดนั้นนั่นเอง!
ในตอนนั้นฉินสือโอวเคยคิดว่า ฟาร์มปลาจำเป็นต้องจ้างนักวิจัยถึงจะพอไหว แต่กลับไม่มีผู้เข้าคัดเลือกที่เข้าตาเลย เขาเองก็กังวลว่าความลับของตัวเองจะถูกเผยออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เริ่มแผนการว่าจ้าง แต่ตอนนี้มีผู้เข้าคัดเลือกที่มีความเหมาะสมปรากฏตัวออกมาแล้ว
สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกสนใจจริงๆ คือฉากเมื่อตอนบ่ายที่ฉินสือโอวนำบรรดานักศึกษาเข้าไปใกล้ซากวาฬ ผู้อาวุโสมีสีหน้าเรียบเฉย ฝีเท้ามั่นคง เขารู้ถึงอานุภาพของซากวาฬระเบิดมากที่สุด ทว่าเขากลับเป็นคนที่ควบคุมจิตใจให้เยือกเย็นได้อย่างแท้จริง
นั่นเป็นเพราะเขามีแผนในใจอยู่แล้ว เขารู้ว่าซากวาฬตัวนี้เป็นเพียงแค่ภูเขาไฟเยลโล่สโตนลูกหนึ่ง หากระเบิดขึ้นมาแล้วจะน่ากลัวมาก ทว่ามันจะยังไม่ปะทุออกมาเป็นเวลาชั่วคราว
ท่าทางเหมือนมีเสียงฟ้าร้องภายในใจแต่มีใบหน้าราวกับทะเลสาบที่นิ่งสงบแบบนั้น สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกนับถือเขามากๆ
พอคิดดังนั้นแล้วก็ลงมือทำทันที ช่วงเย็นฉินสือโอวไปสอบถามโรงแรมที่พักของพวกศาสตราจารย์ วันต่อมาหลังจากออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จแล้ว เขาก็สวมชุดสูทที่มีความเหมาะสมแล้วไปที่โรงแรม
ขณะที่เขาเข้ามาข้างใน ศาสตราจารย์ผู้อาวุโสกำลังถือหมวกคาวบอยใบหนึ่งเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก พอเห็นเช่นนี้ฉินสือโอวจึงรีบเข้าไปทักทาย เขาพูดขึ้นมาว่า “เฮ้ ศาสตราจารย์วอร์ตัน สวัสดีครับ”
ศาสตราจารย์อาวุโสแย้มรอยยิ้มอบอุ่น เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “สวัสดี เพื่อน คุณมาหาทิญาเหรอ?”
เห็นฉินสือโอวทำสีหน้าประหลาดใจหน่อยๆ เขาก็หัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้อายุมากจนตาลายนะ เมื่อวานนี้พอทิญามาถึงที่เกาะเธอก็เข้าไปคุยกับคุณก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นผมเลยคิดว่าความสัมพันธ์ของคนหนุ่มสาวน่าจะไม่เลวเลย”
คราวนี้ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าเป็นยิ้มที่จืดเจื่อน เขาตอบกลับไปว่า “เข้าใจผิดแล้วครับ ศาสตราจารย์ ผมกับเธอแค่เคยเจอกันมาก่อนเท่านั้น แล้วผมก็มีภรรยาแล้วด้วยครับ ที่จริง ศาสตราจารย์ ผมมาหาคุณต่างหาก”
“ขอแนะนำตัวก่อนแล้วกันนะครับ ผมมีฟาร์มปลาอยู่ที่หนึ่ง เป็นฟาร์มปลาที่ใหญ่ที่สุดของนิวฟันด์แลนด์ แต่ฟาร์มปลาของผมไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่รับผิดชอบดูแลโดยตรง ดังนั้นบางครั้งจึงเกิดปัญหาบางอย่างขึ้น ตอนนี้หลังจากได้รู้จักคุณแล้ว ผมเลยอยากเชิญคุณให้มาทำงานที่ฟาร์มปลาของผม”
เขารู้ว่าคนที่มีความเชี่ยวชาญทั้งสองด้านทั้งด้านการปฏิบัติจริงและทางด้านทฤษฎีอย่างแซนเดอร์ส เป็นดั่งขนมหวานในสายตาของเจ้าของฟาร์มปลากับสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทุกแห่ง หากอยากจะเชิญเขามาคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวที่จะใช้ความบริสุทธิ์ใจเพื่อทำสงครามยืดเยื้อมาก่อนแล้ว
แต่ปรากฏว่าพอฟังที่เขาพูด แซนเดอร์สก็กล่าวกับเขาอย่างง่ายๆ ว่า “ไม่มีปัญหา แต่ในหนึ่งปีผมอาจจะมีเวลามาอยู่ที่ฟาร์มปลาของคุณแค่ครึ่งเดียวนะ ถ้าคุณคิดว่านี่ไม่เป็นปัญหา ก็พูดเรื่องเงินเดือนกับสวัสดิการเลยแล้วกัน”
……………………………………………………….
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 871 เชิญผู้เชี่ยวชาญ
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!