ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 882 คิดดีคือพระเจ้า

ฉินสือโอวบอกให้บิลลี่อยู่ทานปลารมควันด้วยกันตอนเย็น บิลลี่ตบท้องเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันต้องอยู่ต่อแล้วล่ะ สำหรับฟาร์มปลาของนาย ความทรงจำที่ฝังลึกที่สุดสำหรับฉันก็คือเรื่องอาหาร อาหารอร่อยๆ”
ครึ่งปีหลังของปีนี้ พอไม่มีอะไรทำบิลลี่ก็จะมาทานข้าวฟรีที่ฟาร์มปลา เขาคอยชี้แนะคนของกรมทรัพยากรธรณีแห่งชาติที่กำลังบุกเบิกฟอสซิลในทะเลสาบเฉินเป่าอยู่โดยตลอด แต่เขาไม่ได้กลับไปไมอามีมากนัก
ช่วงบ่าย ฉินสือโอวยกเก้าอี้ผ้าใบมาวางไว้ที่หน้าทางเข้าประตูเพื่อที่จะคุยกับบิลลี่ แต่ปรากฏว่าพอลากเก้าอี้ออก ลูกแมวป่าก็ ‘ฟึบ’ วิ่งเพ่นพ่านออกมาทันที กระดิกขนหูน้อยๆ พวกนั้นที่อยู่บนหู มันนอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ ทุกสัดส่วนบนใบหน้ากลมเล็กดูมีความสุข
ฉินสือโอวกลอกตาใส่ เขาจับหนังบริเวณหลังคอของมันแล้วยกขึ้นมา จากนั้นพอผิวปากออกไป หู่จือกับเป้าจือก็วิ่งเข้ามาอย่างมีความสุขทันที พวกมันมองดูลูกแมวป่าแล้วใช้ลิ้นเลียริมฝีปาก
ลูกแมวป่าตกใจจนตัวโยน มันพลิกตัวอย่างปราดเปรียว ขนนุ่มลื่นเป็นประกายทั่วทั้งตัว พร้อมกับที่ฉินสือโอวไม่ได้จับมันไว้แน่นๆ ดังนั้นมันจึงดิ้นหนีไปได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ปีนตามแขนของฉินสือโอวไปอยู่บนไหล่ของเขา
หู่จือกับเป้าจือเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของฉินสือโอว เมื่อเห็นว่าลูกแมวป่ากล้าที่จะขึ้นไปนั่งอยู่บนไหล่ของพ่อ พวกมันก็ร้องคำรามด้วยความไม่พอใจทันที
วินนี่เดินออกมาแล้ว ในมือของเธอถือโทรศัพท์เอาไว้พร้อมกับพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องเห่าแล้ว พวกแกสองตัวมานี่สิ มาดูสิว่านี่คือใคร?”
เมื่อสักครู่เธอกำลังจะชำระสะสางรูปภาพในมือถือ เลยพบรูปภาพที่น่าสนใจอยู่หลายรูป ในนั้นมีหนึ่งใบ ที่เป็นรูปลูกสุนัขตัวผอมร่างกายอ่อนแอสองตัวที่กำลังจ้องบิสกิตหนึ่งชิ้นที่อยู่ในพื้นโคลนจนน้ำลายไหล
ฉินสือโอวเข้ามาลองดูใกล้ๆ วินนี่มือไวจริงๆ เขาจำไม่ได้ว่าครั้งแรกที่ได้เจอหู่จือกับเป้าจือ วินนี่ถ่ายรูปนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร
ใช่แล้ว รูปภาพใบนี้บันทึกภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาได้เจอกับพวกสุนัขแลบราดอร์เป็นครั้งแรกเอาไว้ ในตอนนั้นลูกสุนัขแลบราดอร์ไม่ได้ดูน่ารัก พวกมันทั้งผอมทั้งอ่อนแอแถมร่างกายยังเจ็บป่วยอีกต่างหาก
หู่จือกับเป้าจือเข้ามาดูใกล้ๆ หน้าจอโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็เอียงหัวใส่กันเพราะความงงงวย ต่อจากนั้นพอจำได้แล้วพวกมันก็พากันดันหัวเข้าไปในอ้อมกอดของวินนี่
วินนี่มีใบหน้าที่อบอุ่นอ่อนโยน เธอกอดสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเอาไว้พร้อมกับจัดแต่งขนให้กับพวกมัน
บิลลี่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินสือโอวจึงเล่าเรื่องเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว ก่อนที่เขาจะรับสุนัขมาเลี้ยงให้เขาฟัง
วินนี่ส่งรูปให้บิลลี่ดู หลังจากบิลลี่ได้เห็นแล้วเขาก็อุทานด้วยความตื่นตะลึงว่า “พระเจ้า ใครจะคิด ว่าลูกหมาตัวผอมร่างกายอ่อนแอ ตัวสกปรกมอมแมมแบบเจ้าสองตัวนั้น จะโตมาเป็นสุนัขพันธุ์ดีแบบนี้?”
ฉินสือโอวดึงเก้าอี้ผ้าใบออก หู่จือกับเป้าจือก็กระโดดขึ้นมาด้านบน คนหนึ่งคนกับสุนัขสองตัวนั่งอิงแอบอยู่ด้วยกัน วินนี่ถ่ายรูปไว้อีกครั้ง เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พูดว่า “ในอนาคต พวกเราค่อยมาดูรูปนี้อีกที แบบนั้นต้องรู้สึกวิเศษมากแน่ๆ เลยค่ะ”
บิลลี่กำลังมองดูครอบครัวที่แสดงความรักกันต่อหน้าคนอื่นๆ ด้วยความอิจฉา สุดท้ายเขาก็บ่นพึมพำออกมาว่า “โธ่ ฉันอยากหาเมีย ฉันอยากแต่งงาน! ฉันก็อยากเป็นพ่อคนเหมือนกัน!”
ฉินสือโอวพูดหยอกเขาว่า “ใครเคยบอกฉันกันนะ ว่าในเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าจะส่งคนที่ใช่มาให้น่ะ?”
บิลลี่บอกกับเขาว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าจะส่งผู้หญิงที่ใช่มาให้ฉัน ฉันเชื่อว่าท่านแค่กำลังยุ่งเกินไปเท่านั้น ถ้ามีเวลาว่าง ท่านจะต้องส่งผู้หญิงน่ารักๆ มาให้ฉันแน่ๆ และฉันก็จะรอจนกว่าจะถึงวันนั้น”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ เรือสปีดโบ๊ทลำเล็กหนึ่งลำก็ฝ่าลมโต้คลื่นเข้ามาใกล้กับฟาร์มปลา แล้วจอดเทียบอยู่บนท่าเรืออย่างช้าๆ
ฉินสือโอวชี้เรือสปีดโบ๊ทแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ดูสิ เพื่อน นั่นพระเจ้าส่งผู้หญิงมาให้นายแล้วหรือเปล่า?”
ในความเป็นจริงย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นี่คือเรือสปีดโบ๊ทของแบรนดอน บางครั้งเขากับเบลคจะนั่งเฮลิคอปเตอร์มาที่ฟาร์มปลา แต่บางครั้งก็จะนั่งเรือสปีดโบ๊ทมา
เป็นอย่างนั้นจริงๆ ต่อจากนั้นคนที่กระโดดจากเรือสปีดโบ๊ทขึ้นมาบนท่าเรือก็คือเบลค ส่วนแบรนดอนก็สวมแว่นตากันแดดอันใหญ่เดินตามมาอยู่ด้านหลัง
ฉินสือโอวชนหมัดกับทั้งสองคน เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกนายมาได้จังหวะพอดีเลย เพื่อน ฉันทำปลารมควันไว้ ปลาแมคเคอเรลชั้นหนึ่ง คืนนี้ต้องกินให้อร่อยเลยนะ”
ปลารมควันทำได้ไวกว่าปลาโอแถบอบแห้ง นึ่งจนสุก สะบัดน้ำออก ต่อจากนั้นก็นำไปอบอย่างง่ายๆ หลังจากนั้นก็เอาออกจากเตาได้แล้ว
นีลเซ็นใช้ตะขออันเล็กแขวนปลารมควันเอาไว้ เนื้อปลาสีขาวเหมือนหิมะถูกรมควันจนกลายเป็นเหลืองทอง ฉีกเนื้อปลาออก เนื้อปลาด้านในเป็นสีเหลืองอ่อน มีสีน้ำตาลเข้มที่อยู่ติดๆ กัน นี่คือสีของซอสถั่วเหลืองและเครื่องปรุงรสต่างๆ
ฉินสือโอวยกปลารมควันขึ้นมาหนึ่งชิ้น เนื้อปลาละเอียดเกลี้ยงเกลาอีกทั้งยังนุ่มนวล ฉีกเนื้อปลาเป็นแผ่นๆ แล้วใส่เข้าไปในปาก รสชาติหอมอร่อย!
ถ้าเทียบกันแล้ว เนื้อกวางกับเนื้อหมูป่ารมควันจะแห้งกว่ากันมาก เพราะขาดไขมัน ของพวกนี้เหมาะสำหรับทำปิ้งย่าง ไม่เหมาะกับการอบ
ปลารมควันที่ออกมามีน้ำหนักหนึ่งร้อยถึงสองร้อยกิโลกรัม ฉินสือโอวทานไม่หมดอยู่แล้ว เขาจึงนำบางส่วนไปวางไว้บนรถ เอาเข้าไปส่งให้โอดอม ครอบครัวฮิวจ์ แล้วก็ยังมีคุณลุงฮิคสันกับคนอื่นๆ
โอดอมกำลังตรวจร่างกายให้บาทหลวงกริมม์อยู่พอดี เขาพยักหน้าให้ฉินสือโอวแล้วบอกให้เขารอก่อนสักครู่ หลังจากช่วยบาทหลวงชราสวมเสื้อเรียบร้อยแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาอย่างสบายๆ ว่า “ไม่มีอะไรครับ พระเจ้าคุ้มครองคุณพ่ออยู่ แค่กระแสลมหนาวมาเร็วเกินไปหน่อย หลอดลมของคุณพ่อเลยรับไม่ไหวเท่าไร ผมจะจัดเตรียมยาให้คุณพ่อสองกล่อง กินเข้าไปก่อนนอน หนึ่งสัปดาห์ก็กลับมาสบายดีเหมือนเดิมแล้วครับ”
บาทหลวงชราลุกยืนแล้วทำเครื่องหมายกางเขนอยู่ที่หน้าอกด้วยความศรัทธา หลังจากนั้นก็หยิบจี้ไม้กางเขนขึ้นมาจูบแล้วพูดว่า “ขอบคุณพระเจ้า!”
ฉินสือโอวพูดกับเขาเล่นๆ ว่า “ไม่ใช่ครับ คุณพ่อ คุณพ่อต้องขอบคุณคุณหมอโอดอมครับ”
บาทหลวงชรามองหน้าเขาอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับพูดว่า “แน่นอน พ่อต้องขอบคุณคุณหมอ แล้วก็ต้องขอบคุณลูกด้วย ฉิน ลูกๆ เป็นคนที่ดีมาก แต่ในบทสรุปสุดท้าย พ่อต้องขอบคุณพระเจ้า เพราะท่านบันดาลให้ลูกกับคุณหมอโอดอมมาที่เมืองนี้”
ฉินสือโอวลองคิดๆ ดู เขารู้สึกว่าหลักเหตุผลของบาทหลวงชราก็ถูกต้องอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับบิลลี่ที่คิดว่าจะรอพบกับผู้หญิงที่ใช่ ถึงยังอย่างไรก็ไม่น่าจะใช่ความคิดที่ถูกต้อง
เขาลองเล่าความคิดของบิลลี่ให้บาทหลวงชราฟัง บาทหลวงชราก็บอกกับเขาว่า “วันพรุ่งนี้พ่อจะลองไปคุยกับเด็กคนนั้น พระเจ้าคือพ่อผู้มีเมตตา แต่ท่านไม่ใช่แม่นม ท่านช่วยเหลือแต่คนที่พึ่งพาตัวเองได้เท่านั้น!”
ฉินสือโอวมอบปลารมควันให้บาทหลวงไปหนึ่งชุดแล้วเช่นกัน บาทหลวงชราหัวเราะเหอๆ พูดว่า “เป็นปลาที่ไม่เลวเลย ขอบใจนะ ฉิน ลูกเป็นคนดี ขอให้พระเจ้าคุ้มครองลูกตลอดไป”
ฉินสือโอวจึงล้อเล่นเล็กๆ น้อยๆ ว่า “นี่เป็นของที่พระเจ้าสั่งให้ผมมอบให้คุณพ่อครับ”
บาทหลวงชรายักไหล่แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าสั่งให้ลูกมอบมันให้กับพ่อจริงๆ ฉิน พ่อรู้ว่าลูกไม่ใช่ชาวคริสต์ พ่อไม่ใช่พวกคลั่งศาสนา แต่พ่อหวังว่าลูกจะเข้าใจ ฉิน ความเชื่อของพวกเราไม่เคยเกิดความขัดแย้งมาก่อน”
เมื่อพูดจบ บาทหลวงชราก็นำมือไปวางไว้บนหน้าผากของฉินสือโอว แล้วพูดกับเขาว่า “ลูกของพ่อ ลูกเชื่อเรื่องการคิดดีไหม? ลูกเชื่อไหมว่า การทำดีจะได้รับผลตอบแทนที่ดี?”
ฉินสือโอวกล่าวว่า “ใช่ครับ ผมเชื่อว่าคนดีจะยิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข”
เขาคิดแบบนี้จริงๆ การทำสิ่งต่างๆ กับการเป็นคนที่มีจิตใจรู้บาปบุญคุณโทษ จะทำให้ใช้ชีวิตได้ง่ายยิ่งขึ้น
บาทหลวงชราแย้มรอยยิ้มอย่างมีเมตตา “ที่จริงแล้ว พระเจ้าก็คือความคิดดีในจิตใจของเรานั่นเอง ลูกของพ่อ หากมีจิตที่คิดดี ลูกกับพ่อต่างก็มีพระเจ้าอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น”
ฉินสือโอวพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าว่าเขาได้รับการสั่งสอนแล้ว บาทหลวงชราจึงตบไหล่ของเขาด้วยความพึงพอใจ หลังจากนั้นก็ถือปลารมควันเดินจากไปอย่างมีความสุข
หลังจากคุยกันกับโอดอมไปแล้วหลายประโยค ฉินสือโอวก็ขับรถไปที่ร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน เขาเตรียมปลารมควันมาให้ชายชราเยอะที่สุด น่าจะประมาณยี่สิบกว่ากิโลได้
เขาคิดว่าตาเฒ่าจะต้องดีใจมากแน่ๆ แต่ปรากฏว่าหลังจากเข้าไปข้างในแล้ว เขาก็พบว่าสีหน้าของตาเฒ่านั้นเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
……………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset