คาบ็อทถามฉินสือโอวว่ามาถึงแคนาดาตอนไหน เขาตอบว่าสองปีก่อนก็มาถึงแล้ว ได้ยินแบบนี้ คาบ็อทก็ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “ดูท่าว่าข้อนี้คุณจะไม่เหมือนปู่คุณ เขาเต็มไปด้วยความกลัวและความจงรักภักดีต่อพระเจ้า…”
พูดไปเขาก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มเขินๆ “ขอโทษทีหนุ่มน้อย ผมน่ะชินกับการพร่ำสอน สรุปก็คือ ปู่ของคุณเป็นคนน่านับถือคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่มีคุณธรรมที่พระเจ้าส่งมาให้เดินบนโลก ผมภูมิใจที่ได้รู้จักกับเขา ผมเชื่อว่าคุณก็เป็นคนใจดีแบบนั้นเหมือนกัน”
ฉินสือโอวกล่าวขอบคุณ ที่จริงเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ เขาเองก็พูดมากไม่ได้
พอได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับหัวใจโพไซดอน ฉินสือโอวเชื่อว่าพระเจ้า พระพุทธเจ้า พระอัลเลาะห์ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องสมมุติ บางทีในบางช่วงเวลาบนโลก พวกเขาอาจจะเคยมาเกิดเช่นเดียวกับตำนานของโพไซดอน
ตามตำนานโพไซดอนควบคุมคลื่นของทะเลทั้งเจ็ด มีอำนาจสั่งการสรรพสัตว์ในท้องทะเล ถ้าหัวใจโพไซดอนของเขาแข็งแกร่งมากพอก็สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้เหมือนโพไซดอนไม่ใช่เหรอ? อย่างการขี่โลมา เขาเองก็ทำได้
ตอนนี้ฉินสือโอวไม่ใช่เด็กหนุ่มวัตถุนิยมเหมือนสมัยมหาวิทยาลัยอีกแล้ว เขามีความเชื่อ เชื่อในหัวใจโพไซดอนว่าคือทุกสิ่งในมหาสมุทร
คาบ็อทเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่ได้คุยเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อกับเขาต่อไป พอรู้ว่าฉินสือโอวเข้าโบสถ์เป็นครั้งแรก เขาก็เลยเสนอตัวพาฉินสือโอวเดินชมรอบๆ แล้วบอกกับเขาด้วยว่าปู่ของเขาเคยบวชที่นี่มาระยะหนึ่ง ที่นี่มีห้องของเขา
ฉินสือโอวไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ในมหาวิหารเป็นที่แรก กล่าวได้ว่าเป็นวังบิชอป ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของโบสถ์ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวันจันทร์และวันศุกร์ ในนั้นมีหนังสือโบราณจำนวนมาก มีเสื้อคลุมโบราณเรลิกและวัตถุทางวัฒนธรรมอื่นๆ
คาบ็อทกำลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับของพวกนี้ให้ฉินสือโอวฟัง และอธิบายคัมภีร์หนาเล่มหนึ่งเป็นการพิเศษ “นี่คือพระคัมภีร์ที่มีเพียงเล่มเดียวในโลก ตั้งแต่ ค.ศ. 1861 จนถึงปัจจุบัน ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเสมอมาจากดับลินและพูดภาษาเกลิก”
มีรูปปั้นหินอ่อนอยู่ด้านในสุดของวังบิชอป ชื่อว่า ‘พระนางมารีคลุมหน้า’ สร้างขึ้นในปี 1850 โดยประติมากรชาวแคนาดาที่มีชื่อเสียงที่สุดในศตวรรษที่ 19 นามว่าสตราซซา งานแกะสลักมีความวิจิตรงดงาม แผ่นหินอ่อนพับยู่ยี่ปิดหน้าของพระแม่มารีราวกับเป็นผ้าคลุมหน้า ลายเส้นนุ่มนวลและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
พอเดินชมจนทั่วคาบ็อทก็พาฉินสือโอวไปที่ห้องในสวนด้านหลังที่ทำความสะอาดไว้เรียบร้อยมาก ปกติคงจะเอาไว้ให้เป็นที่พักของลูกศิษย์ที่มาบวช ตอนนี้ข้างในมีเด็กที่แต่งตัวธรรมดาอยู่สองสามคน คาบ็อทบอกว่าในเมืองมีคนไม่น้อยที่โดนหิมะคุกคามจนไม่มีที่ไป โบสถ์ได้รับคนเอาไว้ส่วนหนึ่ง
“แต่ผมพาคุณมาไม่ใช่เพื่อจะโชว์ว่าพวกเราทำอะไร แต่อยากให้คุณได้เห็น ที่นี่เคยเป็นที่ที่ปู่ของคุณเคยอยู่ เขาเคยบวชที่นี่อยู่หนึ่งปี ตอนนั้นเขาเหมือนจะเจอกับปัญหาบางอย่าง หลังจากนั้นพอมาบวชที่นี่ก็หาทางออกเจอ” คาบ็อทเล่า
ฉินสือโอวเดินเข้าไป เป็นห้องกว้างห้องหนึ่งที่ธรรมดามาก มีแค่เตียงหลังใหญ่หลังหนึ่ง โต๊ะหนังสือหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองสามตัว แต่ว่าหลังจากที่เขาเข้าไปเขากลับรู้สึกว่าเขาสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง เพราะเขาเห็นรูปปั้นพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง และรูปปั้นนั้นก็แผ่รังสีน่าดึงดูดที่ยากจะต้านทานมาทางเขา!
“ให้ตาย!” ฉินสือโอวก่นด่าเสียงเบา ในใจเขาเริ่ม** ลูกตาแทบจะแดงไปหมด เขารู้สึกได้ วัสดุของรูปปั้นนี้จะต้องเป็น ‘อำพันทะเล’ แสนลึกลับนั้นแน่!
แต่ว่าฉินสือโอวเข้าไปดูดพลังไม่ได้ เขาได้แต่ควบคุมตัวเองไม่ให้มองรูปปั้นแล้วแสร้งทำท่าสบายๆ ก่อนจะถามว่า “ตอนนั้นปู่ผมอยู่ห้องนี้เหรอครับ? ขอถามหน่อยว่ารูปปั้นนั้นมีมาตั้งแต่ที่เขาเข้ามาอยู่หรือเปล่าครับ?”
คาบ็อทมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ แล้วถามขึ้น “ทำไมคุณต้องถามถึงรูปปั้นพระเยซูด้วยล่ะ?”
ฉินสือโอวฝืนยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ผมก็ถามไปอย่างนั้นแหละ เพราะในห้องไม่มีของพิเศษอย่างอื่นแล้ว”
แม้แต่เขายังรู้สึกว่าเหตุผลนี้ไร้สาระ สำหรับโบสถ์แล้ว รูปปั้นพระเยซูถือว่าเป็นของพิเศษเหรอ?
คาบ็อทไม่ได้ถามหาความจริง เขาเดินเข้าไปจ้องมองรูปปั้นพระเยซูนั้นแล้วพูดขึ้น “ที่จริงแล้ว นั่นน่ะอาเต๋อเป็นคนแกะสลักออกมากับมือ ผมว่าที่คุณสังเกตเห็นมันคงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสายเลือด”
พอได้ยินแบบนี้ ฉินสือโอวก็ตกใจเล็กน้อย รูปปั้นนี้ปู่ของฉินโซ่วเป็นคนแกะสลักเหรอ? เขาก็น่าจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหม? ทำไมไม่ดูดพลังโพไซดอนจากในนี้ไปล่ะ? เขารู้สึกว่ารูปปั้นนี้มีพลังโพไซดอนอยู่ เยอะกว่าตอนที่เขาอยู่ศาลเจ้านามิโยเกะจินจะที่ญี่ปุ่นเสียอีก!
คอบ็อทเช็ดรูปปั้นพระเยซูจนสะอาดแล้วกอดขึ้นมายื่นให้ฉินสือโอวแล้วพูดว่า “ผมว่าคุณคงต้องการเขานะ ใช่ไหม?”
สีหน้าของฉินสือโอวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ที่บาทหลวงเฒ่าพูดหมายถึงอะไร? หรือเขารู้เรื่องเกี่ยวกับหัวใจโพไซดอน?
ตอนที่เขากำลังคิดฟุ้งซ่านในใจ คาบ็อทก็พูดขึ้นอีก “ตอนที่ปู่คุณจากไป เขาเคยพูดว่าต่อไปอาจมีคนมาที่นี่เพราะอยากได้รูปปั้นนี้ เขาให้ผมวิเคราะห์เอาเอง ถ้ารู้สึกว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนมีคุณธรรมก็อย่าให้เขา ถ้าคนคนนั้นเป็นคนมีคุณธรรม ผมก็จะเอารูปปั้นให้เขาไป”
บาทหลวงเฒ่าไม่ได้พูดอะไรเยิ่นเย้อ เขาเป็นคนรู้จักของฉินหงเต๋อ อายุก็เจ็ดแปดสิบแล้ว ฉินสือโอวคิดว่าเขารู้เห็นอะไรมาเยอะ อาจจะคาดเดาได้ถึงหัวใจโพไซดอนหรืออะไรเทือกนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามเขาตรงๆ ว่าอยากได้ไหม
แต่เขาก็ทนความน่าดึงดูดของพลังโพไซดอนไม่ไหวจึงถามหยั่งเชิงดู “คุณคิดว่าผมเป็นคนมีคุณธรรมเหรอครับ?”
เขารู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล
บาทหลวงเฒ่ายิ้มออกมาพลางเอ่ยตอบ “คุณเป็นคนดี เป็นเด็กดีคนหนึ่ง แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ใช่เหรอ? มา เอารูปปั้นนี้กลับไปด้วยเถอะ นี่เป็นของที่ปู่คุณเหลือไว้ เขาเป็นของคุณ”
ฉินสือโอวรับรูปปั้นมา บาทหลวงเฒ่าพูดว่า “งั้นเราก็ไปร่วมงานประมูลกันเถอะ อีกเดี๋ยวน่าจะเริ่มแล้ว ถ้ายังมีเวลาผมจะแนะนำคนดีๆ ให้รู้จักสักสองสามคน พวกเขาล้วนแล้วแต่คุ้มค่าที่จะทำความรู้จักด้วย”
แต่ตอนนี้ฉินสือโอวจะไปมีอารมณ์อยากทำความรู้จักกับใครได้? หลังจากที่คาบ็อทพาเขากลับเข้ามาในโบสถ์ก็แนะนำคนกลุ่มหนึ่งให้เขารู้จักจริงๆ ฉินสือโอวทำท่านอบน้อมมาก แต่ความคิดกลับถูกรูปปั้นในอกดึงดูด ไม่ค่อยได้จดจำคนพวกนั้นเท่าไร
ตอนหลังมีคนมาหาคาบ็อท บอกว่างานประมูลเตรียมจะเริ่มแล้ว ฉินสือโอวถึงเพิ่งนึกได้ว่าของที่ตัวเองจะเอามาประมูลยังไม่ได้เอาออกมาเลย เขารีบล้วงเอากล่องเครื่องประดับออกมาเตรียมไว้แล้วพูดกับบาทหลวงเฒ่าว่า “คุณหัวหน้าบาทหลวง นี่คือของประมูลที่ผมเตรียมไว้ เมื่อกี้ลืมเอาขึ้นไป ตอนนี้คงได้แต่รบกวนคุณแล้ว”
พอเห็นไข่มุกดำเปล่งประกายแวววาวเจ็ดเม็ด คาบ็อทก็เผยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มบนหน้าก็กว้างกว่าเดิมก่อนจะพยักหน้าอย่างชื่นชม “คุณเหมือนกับอาเต๋อจริงๆ เป็นคนดีที่น่านับถือ พระเจ้าจะคุ้มครองคุณ พ่อหนุ่ม”
ฉินสือโอวพูดขอบคุณ หาที่นั่งสักที่นั่งลงแล้วนั่งรออย่างอยู่ไม่สุข ดูว่าจะดูดพลังโพไซดอนอย่างไรไม่ให้คนรอบข้างสังเกตเห็น
…………………………………………………
ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 919 ของที่ระลึกของคุณปู่
Posted by ? Views, Released on November 8, 2021
, ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา
ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท
หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้
นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา
แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี
นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก
จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน
กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี
ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป
ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’
ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา
จากนั้นมา…
จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!