ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 940 มนุษยสัมพันธ์

สิ่งที่ได้จากการทดลองนี้ก็คือ ในชีวิตของคนนั้น จะต้องรู้จักกับเพื่อนประเภทที่สามารถช่วยเหลือเราได้บ้างไม่มากก็น้อย
ก่อนหน้านี้ที่บัตเลอร์มาพูดอวดเรื่องคอนเนคชั่นกับฉินสือโอวนั้น ฉินสือโอวไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่การมาร่วมงานประจำปีของบริษัทเอ็กซ์เพรสในครั้งนี้ เขาก็คิดได้ว่า เมื่อก่อนการที่เขาคบหาเพื่อนโดยอิงหลักการหวูเว่ย (การไม่ทำอะไร แต่ใช้ชีวิตไปตามสภาพแวดล้อมแทน) นั้น อาจจะไม่ผิดเสียทีเดียว
เขาจะไม่จงใจเข้าหาเพื่อนที่มีฐานะ แต่การทำแบบนี้กลับทำให้เขาได้รับความชื่นชมจากคนใหญ่คนโตเสียมากกว่า สิ่งที่คนเหล่านั้นชื่นชมเขาก็คือการใช้ชีวิตแบบอยู่ในส่วนของตัวเอง ไม่แก่งแย่งกับใครนั่นเอง
เคอร์ สเตราส์ก็คือหนึ่งในคนใหญ่คนโตเหล่านี้ เขากับฉินสือโอวเคยเจอกันแค่สี่ห้าครั้งเท่านั้น แต่ภาพความทรงจำที่ทั้งสองฝ่ายทิ้งไว้ให้แก่กันนั้นกลับเป็นภาพที่ดีมาก
เมื่อรวมเข้ากับทฤษฎีหกช่วงคนแล้ว การที่ฉินสือโอวรู้จักกับเคอร์ สเตราส์นี่แหละ ทำให้เขาได้รู้จักคนใหญ่คนโตที่มีประโยชน์มากมาย
ตอนเย็นตอนที่ฉินสือโอวกำลังออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่นั้นก็ได้พบเข้ากับหัวหน้าคนปัจจุบันของตระกูลสเตราส์ เขากำลังพูดคุยอยู่กับชายหนุ่มอายุใกล้เคียงกันอยู่ เมื่อเห็นฉินสือโอวเขาก็โบกมือทักทาย แล้วพูดอย่างดีใจว่า “เฮ้ ฉิน มานี่เร็ว ผมจะแนะนำเพื่อนให้คุณรู้จัก”
ฉินสือโอวรีบย่ำเท้าเข้าไปหา การทำแบบนี้สามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีได้ เพราะสามารถทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ว่าคุณสนใจพวกเขาจริงๆ
เคอร์ สเตราส์ไว้หน้าฉินสือโอวมาก เขาโอบไหล่ของฉินสือโอวอย่างสนิทสนมแล้วแนะนำว่า “นี่คือฉิน เป็นเพื่อนที่ผมกับพ่อมีร่วมกัน เป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่เก่งกาจของแคนาดาคนหนึ่ง ขนาดพื้นที่ของฟาร์มปลาของเขานั้น สามารถสร้างประเทศได้ใหม่อีกประเทศหนึ่งเลย”
ฉินสือโอวตอบกลับอย่างนอบน้อมไม่กี่คำ เคอร์ก็แนะนำคนอื่นต่ออีกว่า “นี่คืออังเดร คาลันโป คุณเรียกเขาว่าคุณลุงอังเดรก็ได้ เพราะว่าเขาเป็นคนที่ใส่ใจในศักดิ์เอามากๆ ฮ่าๆ คุณลุงอังเดรเป็นซีอีโอของบริษัทต่างชาติฟิลลิป มอร์ริส ถ้าหากคุณชอบสูบบุหรี่แล้วล่ะก็ งั้นรู้จักคุณลุงอังเดรไว้ไม่เสียหายแน่นอน…”
ตอนฟังชื่อรู้สึกไม่คุ้นหู แต่เมื่อได้รู้ถึงตำแหน่งแล้ว ฉินสือโอวก็เลิกคิ้วขึ้นมาทันที ชื่อบริษัทต่างชาติฟิลลิป มอร์ริสนั้น เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ประเทศจีนเขาอาจไม่เคยได้ยินมาก่อนก็จริง แต่พอมาถึงแคนาดาแล้ว กลับได้ยินชื่อนี้บ่อยมาก
บริษัทนี้คือบริษัทผลิตยาสูบที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่หากพูดถึงสินค้าหลักของบริษัทนี้อย่างบุหรี่มาโบโร่แล้วล่ะก็ งั้นไม่ว่าจะคนสูบบุหรี่หรือคนไม่สูบบุหรี่ ก็ต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน
“นี่คือโมล ฟริตซ์ ซีอีโอของบริษัทรถไฟยูเนียนแปซิฟิก คุณลุงของเขาก็คือแลนซ์ ฟริตซ์ แน่นอนว่าเจ้าหมอนี่ไม่ชอบให้คนพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับคุณลุง แต่ว่าผมไม่สนใจหรอก เพราะว่าพวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้ว ฮ่าๆ” เคอร์หัวเราะ
โมล ฟริตซ์เป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหม่น มีพุงโตแต่ภูมิฐาน และมีดวงตาที่ส่องประกายสว่างคู่หนึ่ง
เมื่อเคอร์แนะนำจบแล้ว โมลก็เข้ามาจับมือกับฉินสือโอว พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงใสว่า “อย่าไปฟังเจ้าเคอร์พูดไปเรื่อยครับ ผมก็คือผม คุณลุงผมก็ส่วนคุณลุง พวกผมไม่ได้เป็นคนเดียวกันอยู่แล้ว จะให้โยงถึงกันได้อย่างไร จริงไหมครับ?”
“ถูกของคุณครับ คุณฟริตซ์ ก็เหมือนกับที่ผมไม่ชอบให้ถูกโยงไปหาฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) นั่นแหละครับ” ฉินสือโอวพูดพร้อมรอยยิ้ม
โมลรู้สึกสนใจขึ้นมาแล้ว เขาถามออกไปด้วยความอยากรู้ว่า “ฉินสื่อหวง? คือใครครับ?”
“ฉินเป็นคนจีน ส่วนฉินสื่อหวงก็เป็นหนึ่งในราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน ถ้าหากว่าพวกเขามีประธานาธิบดี งั้นฉินสื่อหวงคนนี้ก็คือประธานาธิบดีนั่นแหละครับ” ชายหนุ่มรูปร่างผอมคนหนึ่งพูดพร้อมรอยยิ้ม
โมลเบิกตากว้าง พูดว่า “คุณเกี่ยวข้องกับราชาคนนี้เหรอครับ?”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมมองไปที่ฉินสือโอวอย่างสงสัย แล้วพูดว่า “แต่ว่า เท่าที่ผมรู้ว่าฉินสื่อหวงกับคนแซ่ฉินนั้นไม่เกี่ยวข้องกันไม่ใช่เหรอครับ รู้สึกว่าเขาจะชื่อหยิงเจิ้งไม่ใช่เหรอครับ?”
“ใช่ครับ ชื่อของฉินสื่อหวงคือหยิงเจิ้ง พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ ครับ” ฉินสือโอวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
โมลตบไปที่บ่าของฉินสือโอวเบาๆ แล้วก็หัวเราะร่าออกมา
เคอร์แนะนำชายหนุ่มร่างผอมที่พอมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจีนต่อว่า “คนนี้คือซิต ชวาร์ซ เป็นเพื่อนร่วมรบที่สนิทที่สุดของผม เขาเป็นซีอีโอของบริษัทคนกลางในการซื้อหุ้นนอกตลาด onex หมอนี่เป็นพวกรอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์ ที่ชอบที่สุดก็คือประวัติศาสตร์ของโรมันและจีน”
ฉินสือโอวจับมือกับซิต คนพวกนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น บริษัทต่างชาติฟิลลิป มอร์ริสเป็นหนึ่งธุรกิจใหญ่ห้าร้อยอันดับแรกของโลก บริษัท onex ก็เป็นหนึ่งในห้าร้อยนั้นเช่นกัน ส่วนบริษัทรถไฟแปซิฟิกยูเนี่ยนนั้นไม่ใช่ แต่ว่าบริษัทแม่อยู่ในห้าร้อยอันดับนั้น ส่วนคุณลุงของโมลก็คือซีอีโอของบริษัทแปซิฟิกยูเนี่ยนนั้นเอง เท่ากับว่าเป็นธุรกิจของตระกูลเลยก็ว่าได้
ซิตจ้องมองฉินสือโอวอยู่ เขาไม่เพียงแต่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เท่านั้น ไม่นานเขาก็นึกอีกฐานะหนึ่งของฉินสือโอวขึ้นมาได้ทันที “ปีที่แล้วที่เกิดพายุในอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ มีคนไปช่วยผู้โดยสารที่โดยสารมากับเรือ คนหนุ่มคนนั้นก็คือคุณใช่ไหมครับ? แล้วก็ตอนนี้ในตลาดอาหารทะเลระดับสูงของนิวยอร์กที่ว่าถูกฟาร์มปลาต้าฉินเหมาไปทั้งหมด คุณก็คือเจ้าของฟาร์มปลานั้นใช่ไหมครับ?”
ฉินสือโอวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “คิดว่าใช่ครับ ผมก็คือคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งสองนั้นเองครับ”
ตลาดอาหารทะเลระดับสูงนั้นไม่เท่าไร แต่การที่ได้เป็นวีรบุรุษกู้ภัยในท้องทะเลนั้น กลับเรียกคะแนนได้มากจริงๆ
โมลพูดกับเคอร์ว่า “ช่างเป็นคนหนุ่มที่สุดยอดจริงๆ เรื่องนั้นผมก็เคยได้ยินมาบ้าง ขอโทษที่ผมจำคุณไม่ได้ในทันทีนะครับ  พูดจริงๆ นะทุกคน ตอนนั้นผมรู้สึกชื่นชมกัปตันคนนี้มาก เขาเป็นคนที่เก่งมาก!”
คนอื่นๆ พากันเห็นด้วย ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างถ่อมตัว แต่ก็น้อมรับกับคำชมทุกคำ การถ่อมตัวมากเกินไปนั้นรังแต่จะทำให้นักธุรกิจใหญ่รู้สึกว่าเขาเสแสร้งเสียมากกว่า
พระอาทิตย์ตกดิน เหล่าคนรุ่นใหญ่พวกนี้คุยกันว่าจะไปเล่นไพ่โป๊กเกอร์กัน ซิตชวนฉินสือโอวไปด้วย ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นมา หลังจากรับสายแล้วก็พบว่าแบรนดอนโทรมา บอกเขาว่าบิลลี่กับเบลคก็มาด้วยเช่นกัน ให้เขาตามไปร่วมวงด้วย
ฉินสือโอวขอตัวอย่างมีมารยาท บอกว่าเพื่อนมาหาให้เขาไปทักทาย ซิตดูท่าว่าจะรู้สึกดีกับเขาไม่น้อย เพราะได้เชิญเขาไปตีกอล์ฟกันพรุ่งนี้ด้วย แน่นอนว่าฉินสือโอวคงปฎิเสธไม่ได้แล้ว จึงตอบตกลงไปด้วยสีหน้าดีใจ
การมาถึงของบิลลี่กับเบลคนั้นทำให้ฉินสือโอวแปลกใจมาก แขกที่บริษัทเอ็กซ์เพรสเชิญมางานประจำปีในครั้งนี้มีแต่ระดับสูงเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้าสองคนนี้ถึงมาร่วมงานได้กัน?
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสี่คนนั้นสนิทกันมากแล้ว ฉินสือโอวจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร หลังจากเดินเข้าไปหาพวกเขาแล้วเขาก็ถามสิ่งที่คาใจออกมาทันที “พวกนายสองคนก็มีสิทธิ์มาร่วมงานประจำปีครั้งนี้ด้วยเหรอ? บริษัทเอ็กซ์เพรสเชิญแขกมาหนึ่งหมื่นคนเหรอไง?”
บิลลี่ปล่อยหมัดใส่ฉินสือโอวทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนโกรธเคืองว่า “นายกล้าดูถูกฉันเหรอ ไอ้นี่ แกตายแน่!”
แบรนดอนอธิบายว่า “แน่นอนว่าเจ้าสองคนนี้ไม่มีสิทธิ์ได้รับบัตรเชิญหรอก แต่ว่าพ่อของเบลคได้รับสิทธิ์นี้ พี่ชายของบิลลี่ก็มีสิทธิ์เช่นกัน พวกเขามาร่วมงานในตัวแทนของญาติน่ะ แค่นี้ก็มีสิทธิ์แล้ว”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ไม่มีสิทธิ์ที่สุดก็คือฉินสือโอวนั่นแหละ แต่ว่างานประจำปีของบริษัทเอ็กซ์เพรสนั้นมีเกณฑ์อยู่ว่า ในหนึ่งปีที่ผ่านมาขอแค่ผู้ถือบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสมีการเคลื่อนไหวเงินมากกว่าห้าสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็สามารถมาร่วมงานได้แล้ว
การใช้จ่ายเงินของฉินสือโอวทั้งหมดทำผ่านบัตรใบนี้ เพราะมีบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสช่วยดำเนินเรื่องให้ ทำให้ธนาคารจ่ายเงินได้ทันใจ อีกทั้งยังมีเจนนิเฟอร์ช่วยเหลือในการแจ้งยอดด้วย ทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญของบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสไปเลย
คนที่เป็นตัวแทนญาติผู้ใหญ่มาร่วมงานด้วยนั้นก็มีไม่น้อยเหมือนกัน เพราะบริษัทใหญ่ๆ ในแคนาดากับอเมริกานั้นส่วนมากเป็นบริษัทครอบครัวทั้งนั้น ซึ่งบริษัทเหล่านี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการปั้นลูกหลานให้มารับช่วงธุรกิจต่อ
………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset