ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 152 ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

บทที่ 152 ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy

หมูป่าตัวนี้หนักแค่ 25-30 กิโลกรัมเท่านั้นซึ่งฉินสือโอวก็สามารถแบกขึ้นบ่าได้อย่างง่ายดาย แต่เขาไม่อยากแสดงความเปลี่ยนแปลงของตัวเขาออกมาต่อหน้าคนที่คุ้นเคยกันดีอย่างเหมาเหว่ยหลง นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขาเรียกอีวิลสันมา
อีวิลสันมีรูปร่างสูงใหญ่คล้ายไดโนเสาร์ แขนขาทั้งสี่ยาวได้มาตรฐาน และเขาแค่ใช้มือข้างเดียวก็สามารถลากขาหลังของหมูป่าที่ตัวค่อนข้างใหญ่ไปได้อย่างง่ายดายแล้ว
การฆ่าสัตว์ป่าบนเขาที่ดีที่สุดคือควรจะไปทำในน้ำเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการทิ้งกลิ่นเลือดสดๆไว้แถวที่ตั้งค่าย มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่มันจะล่อพวกหมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายกว่านั้นมา (เสือ สิงโต) แต่มันอาจจะดึงดูดพวกหนอนหรือมดมาอีกด้วย
ฉินสือโอวและอีวิลสันจัดการหมูป่าคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็จัดการกวางตัวผู้อยู่ที่ริมแม่น้ำ พวกเขาใช้น้ำร้อนเดือดๆเพื่อให้หนังของพวกมันอ่อนนุ่ม จากนั้นแต่ละคนก็ใช้มีดแล่หนังออกอย่างรวดเร็ว
หนังหมูป่านั้นถลกออกยากที่สุด เพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อไปแล้ว ไม่เหมือนหนังกวางแค่ลอกออกก็ได้แล้ว
หลังจากถลกหนังเสร็จพวกเขาก็โยนเครื่องในทั้งหมดทิ้งลงในน้ำ เหลือไว้แค่เนื้อก็พอแล้วล่ะ สำหรับคนสี่คนหมาสองตัวกับหมีที่ค่อนข้างตัวใหญ่อีกหนึ่ง ตัวจะกินได้มากแค่ไหนเชียว?
ฉินสือโอวนำเอาหนังของกวางหนุ่มไปล้างอย่างสะอาด หลังจากนั้นก็นำไปตากแห้งบนต้นไม้ หนังกวางนับว่าเป็นของดี แต่คงไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรหากจะเอากลับไปที่ค่ายทั้งที่ยังมีรอยเลือดติดอยู่ ดังนั้นเอาห้อยไว้ที่ต้นไม้คงดีที่สุด นอกจากจะหลอกล่อพวกสัตว์ป่าได้แล้ว ยังได้ผึ่งให้แห้งอีกด้วย
หลังจากล้างเลือกออกจากเครื่องในเสร็จเรียบร้อยแล้ว ร่างของกวางและหมูป่าส่วนใหญ่ก็ถูกจัดการจนเรียบร้อยและพร้อมสำหรับอาหารเย็นแล้ว
เหมาเหว่ยหลงและอีวิลสันไปเก็บฟืนแห้งมาเป็นจำนวนมาก ส่วนนีลเซ็นก็ใช้ก้อนหินมาก่อเป็นเตาสองเตาและก่อกองไฟสำหรับย่างและบริเวณรอบๆ ได้นำหินและดินเหนียวที่ขุดมาจากตรงริมแม่น้ำมาวางแยกไว้เป็นส่วนๆ เพราะการก่อไฟปิ้งย่างบนเขาอาจจะก่อให้เกิดอัคคีภัยได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องเตรียมการป้องกันไว้อย่างดี
จริงๆแล้วเนื้อกวางก็ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร มันออกจะแข็งและแห้งไปเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่ค่อยมีไขมันจนเกือบจะเป็นเนื้อแดงทั้งหมดด้วย นอกจากนี้กลิ่นของมันก็ไม่ค่อยดีจึงไม่สามารถกินแบบลวกได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องย่างกิน แต่พอตอนย่างยังมีน้ำมันหยดลงมาไม่หยุดแบบนี้ค่อยน่ากินหน่อย
ฉินสือโอวเอากระดูกหมูป่าทั้งหมดสับเป็นท่อนๆ แล้วโยนลงต้มในหม้อต้มที่มีอุณหภูมิเดือดสุดๆ จากนั้นเขาก็หั่นพวกผักป่าเช่น ขึ้นฉ่ายป่า ต้นหอมป่า และผักชีโยนลงไปในหม้อแล้วตามด้วยต้นหอม ขิง กระเทียมและเครื่องเทศ พอโยนเข้าไปหมดแล้วต้มเข้าด้วยกันก็จัดได้ว่ารสเด็ดเลยทีเดียว
ส่วนเนื้อกวางนั้นเขาก็เลือกขาสองข้างออกมาก่อน จากนั้นก็ใช้มีดหั่นเป็นชิ้นยาวๆ หนักประมาณสองสามปอนด์ได้ สุดท้ายเสียบใส่กิ่งไม้และย่างบนกองไฟ และหลังจากนีลเซ็นทาน้ำมันกับซอสอย่างละเมียดละไม ไม่นานพวกมันก็เป็นมันวาวและเหลืองอร่ามน่ากิน
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทลงไปแล้ว ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป ส่วนดวงจันทร์ก็ลอยขึ้นมาแทนที่ วันนี้อากาศดีท้องฟ้าจึงเต็มไปด้วยดวงดาวดาษดื่นเต็มม่านฟ้าที่มืดสนิทเหมือนกับเพชรเม็ดเล็กๆใหญ่ๆโรยอยู่บนผ้าแพรเต็มไปหมด
เทือกเขาเคอร์บัลเต็มไปด้วยก๊าซออกซิเจนธรรมชาติอย่างแท้จริง แต่ถ้าเป็นตอนอยู่ในเมืองแล้วทำกิจกรรมเยอะอย่างวันนี้ เกรงว่าเหมาเหว่ยหลงคงจะนอนสลบอยู่บนพื้นและขยับไปไหนไม่ได้ตั้งนานแล้ว แต่เมื่ออยู่บนภูเขาลูกใหญ่ลูกนี้ เขาจึงเพียงแค่พักนิดหน่อยเท่านั้น เพราะที่นี่มีออกซิเจนบริสุทธิ์ให้สูดหายใจเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย
เหมาเหว่ยหลงพักไปสักหน่อยก็กลับมามีชีวิตชีวาอย่างเดิมแล้ว เขาโยนฟืนสองท่อนเข้าไปในกองไฟอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้มันคอยลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา
ท้องฟ้าก็ช่างเป็นใจ วันนี้ลมไม่แรงและมีลมอ่อนๆพัดมาปะทะบนลำตัวและใบหน้าของพวกเขาบ้างเล็กน้อยชวนให้ความรู้สึกเบาสบาย
นอกจากนี้แล้วเปลวไฟกองนี้ไม่มีทางถูกลมพัดหายไปได้แน่นอน กองเพลิงที่ลุกโชติช่วงขึ้นสู่ฟ้าเป็นกองไฟแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนจนทำให้พวกเขาอดที่จะรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาไม่ได้
เหมาเหว่ยหลงหยิบเอาเบาะรองนั่งมาแล้วเอนตัวลงไป แบบนี้เขาจึงได้มองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน เขามองไปยังท้องฟ้ากระจ่างราวกับไร้ซึ่งเศษฝุ่นละอองใดๆ แม้นิดเดียวก่อนที่เขาจะอ้าปากกว้างพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ฉินสือโอวได้แต่ขำ เขาคิดว่าเหมาเหว่ยหลงจะต้องเหมือนกับเขาแน่ๆ ครั้งแรกที่เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองแฟร์เวล เขาก็ตกตะลึงเพราะความกระจ่างเหล่านี้เช่นกัน
ไม่ว่ามนุษยชาติจะสามารถสร้างงานวิศวกรรมได้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่สิ่งที่สามารถทำให้คนใจสั่นได้มากที่สุดก็เห็นจะมีแต่ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นี่แหละ
“ฉินโซ่ว ฉันคิดบทกลอนออกบทหนึ่ง” แล้วไม่นานเหมาเหว่ยหลงก็พึมพำออกมา
ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีเลศนัย “งั้นนายก็ท่องออกมา เดี๋ยวฉันจะฟัง ขอฟังดูหน่อยซิว่าผู้ชายเสเพลอย่างนายจะเข้าใจอะไรกับบทกลอน”
เหมาเหว่ยหลงไม่ได้จะตอบโต้อะไรกับเขา ดวงตากลมโตของเขามองไปที่หมู่ดาวและท่องกลอนออกมาทีละคำอย่างช้าๆ “แสง-หิ่งห้อย-ในฤดูใบไม้ร่วง-สาดกระทบ-ฉากกั้น หยิบ-พัด-ผ้าไหม-โปร่งใส-มาปัดไล่-หิ่งห้อย ท้องฟ้ายามค่ำคืน-หนาวเหน็บ-เหมือน-สายน้ำ นั่ง-มอง-สองกลุ่มดาว-สาวทอผ้า-กับ-หนุ่มเลี้ยงวัว!”
ฟังกลอนบทนี้จบ ฉินสือโอวก็ไม่รู้จะพูดอะไรไปเลย เขาได้แต่จ้องไปยังเปลวไฟที่ลุกโชน จากนั้นสักพักเขาก็พูดขึ้น “เจ้าหลานชาย นึกไม่ถึงเลยว่านายก็ยังมีสมองนะเนี่ย! กลอนบทนี้ช่างเข้ากับบรรยากาศจริงๆ ใครเป็นคนแต่งเหรอ?”
“ตู้มู้ นักกวีแห่งยุค!” เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างไม่สะทกสะท้านต่ออีกว่า “นายว่าการจะสามารถเขียนกลอนแบบนี้ได้ ‘ค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง’ ดวงดาวที่ตู้มู้ดูอยู่ในตอนนั้นก็น่าจะเป็นแบบนี้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
ฉินสือโอวพูดขึ้น “ดวงดาวที่บรรพบุรุษของพวกเราเฝ้าดูจะต้องส่องสว่างเจิดจ้า สุกใสเป็นประกายและสวยงามยิ่งกว่าตอนนี้แน่เลย ยิ่งในสมัยราชวงศ์ถังนะ ตอนนั้นประเทศชาติสงบสุข ประชาชนก็อยู่เย็นเป็นสุข ความคิดเปิดกว้าง ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในสายตาของคนสมัยราชวงศ์ถังจะต้องกว้างใหญ่กว่าสมัยอื่นมากแน่นอน!”
“แม่เอ้ย พูดแล้วก็อยากจะย้อนเวลากลับไปดูสักหน่อย ดูแค่สักหน่อยก็พอใจแล้ว” เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างมีความหวัง
“วี๊ดวี๊ดวี๊ด…” หม้อความดันสูงเริ่มเดือดขึ้นมาพร้อมเปล่งเสียงแสบแก้วหูออกมาด้วย
จิตใจของฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงยังคงเคลิบเคลิ้มกับประวัติศาสตร์จีนเมื่อห้าพันปีก่อน เมื่ออยู่ใต้ท้องฟ้าของต่างถิ่นต่างประเทศเวลาแบบนี้ ลูกหลานหยางหวง(ชาวจีน)สองคนก็เกิดรู้สึกภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติตัวเองขึ้นมาอย่างฉับพลัน
บางทีเศรษฐกิจกับเทคโนโลยีของยุโรปในตอนนี้อาจจะล้ำหน้าจีนไปแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็คงไม่มีวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองเหมือนราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่งที่เต็มไปด้วยนักกวีและกาพย์กลอนแน่นอน ในอนาคตพวกเขาอาจจะไล่ตามได้ แต่ประวัติศาสตร์ ยังไงก็กลับไปแก้ไขไม่ได้หรอก!
เนื้อกวางย่างได้ที่แล้ว ฉงต้าก็พาพอสซั่มหางเล็กๆรีบวิ่งมาก่อนใครเพื่อน จากนั้นหู่จือกับเป้าจือก็นั่งลงข้างฉินสือโอวและมองเนื้อกวางในมือของนีลเซ็นอย่างรอคอยพลางแลบลิ้นเลียปาก แต่พวกมันก็ไม่เข้าไปยื้อแย่ง
ฉินสือโอวเห็นพอสซั่มวิ่งมาข้างๆ เขาเลยโบกมือทักทายมัน พอสซั่มน้อยตกใจไปเล็กน้อย หลังจากนั้นมันถึงค่อยเข้าใกล้เขาด้วยความระมัดระวัง
ฉินสือโอวลูบคลำขนสีขาวนุ่มสลวยของพอสซั่มแล้วหันไปพูดกลั้วหัวเราะกับเหมาเหว่ยหลง “เจ้าหนุ่มน้อยนี่ยังไม่มีชื่อเลยนะ นายตั้งให้มันสักชื่อดีไหม?”
เหมาเหว่ยหลงกลอกตามองบนแล้วพูดขึ้น “ฉันกำลังรำลึกให้แก่ความเจ็บปวดในอดีตอยู่ นายอย่ามากวนได้ไหม ไสหัวไปทางนู้นเลยไป!”
ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงคิดชื่อด้วยตัวเอง แต่เขาเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อจริงๆ ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มน้อยตัวนี้จะมีขนขาวทั้งตัวแถมยังเป็นผู้ติดตามของฉงต้าอีก อืม งั้นเรียกว่าต้าป๋ายเลยแล้วกัน
แน่นอนว่าพอสซั่มตัวนี้ยังไม่โต แต่สักวันมันก็ต้องโตแหละน่า
พอตั้งชื่อให้แล้วก็เท่ากับว่าฉินสือโอวยอมรับเจ้าพอสซั่มตัวนี้แล้ว เขาคิดไปคิดมาก็รู้สึกตลก ฟาร์มปลาใกล้จะกลายเป็นรังหนูแล้ว ตอนแรกก็เป็นกระรอกน้อย ต่อมาเป็นหนูเหลืองน้อย มาตอนนี้ก็เป็นพอสซั่มน้อยสินะ
ต้าป๋ายไม่ผิดนะ พวกเราก็แค่ไม่ใช่สัตว์ตระกูลเดียวกับพวกสัตว์ที่ใช้ฟันแทะนี่นา (หนู กระรอก กระต่าย) พวกเราเป็นพวกตระกูลจิงโจ้ และร่างกายพวกเราก็ไม่มีไวรัสหรือเชื้อโรคจำพวกโรคกลัวน้ำหรืออหิวาตกโรคหรอกนะ
เนื้อกวางย่างชุดแรกสุกแล้ว พวกเขานั่งเรียงกันแล้วจัดการแบ่งเนื้อ ฉินสือโอวให้อีวิลสันก่อนสองชิ้นเพราะรู้ว่าเขาหิวจนหน้าอกจะไปติดหลังท้องอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะเขากินข้าวเที่ยงไม่อิ่มเลยสักนิด
และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พอเนื้อถึงมือ อีวิลสันแทบจะไม่รอให้หายร้อนเลย พอเขาฉีกมันได้เขาก็เริ่มยัดเข้าไปในปากอย่างตะกละตะกลามจนน้ำมันไหลเลอะเต็มปาก
ฉงต้าได้ไปหนึ่งชิ้น หู่จือและเป้าจือแบ่งกันกินหนึ่งชิ้น ฉินสือโอวให้นีลเซ็นกินไปก่อนเลย เดี๋ยวเขาขอย่างต่ออีกสักหน่อย
แต่แน่นอนว่านีลเซ็นไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เขาเลยให้เหมาเหว่ยหลงกินไปก่อน ฉินสือโอวเดินไปดูหม้อความดันสูง พอเปิดหม้อออกกลิ่นเนื้อหมูป่าหอมเข้มข้นคลุกเคล้ากับผักป่าก็ส่งกลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมา
ฉินสือโอวตักน้ำซุปมาชิมก่อนหนึ่งถ้วย รสชาติของมันไม่ต่างกับซุปไก่เท่าไร มันไม่มีรสฝาดแบบนั้น ส่วนกลิ่นหอมได้ที่แล้ว ซึ่งกลิ่นหอมนี้ก็ไม่เหมือนกัน เพราะในหม้อนี้ล้วนมีแต่เนื้อหมูป่าสะอาดที่ถูกเลือกมาเป็นอย่างดี พวกมันถูกต้มจนเปื่อยได้ที่ ดังนั้นซุปเนื้อหม้อนี้จึงเข้มข้นและมีกลิ่นหอมมาก
“เนื้อชิ้นใหญ่มีไว้กิน ถ้วยใบใหญ่มีไว้ดื่ม หยิบเหล้าที่พกมาด้วยออกมาสิ เย็นนี้เราจะสนุกกันให้สุดเหวี่ยง!” ฉินสือโอวเรียกเหมาเหว่ยหลง
ไม่ต้องรอให้เขาบอก เพราะเพียงเริ่มกินเหมาเหว่ยหลงก็พุ่งไปที่กระเป๋าของฉินสือโอวทันทีแล้ว จากนั้นเขาก็นำเหล้าเหมาไถสองขวดมาเป็นเสบียงในอาหารมื้อนี้
………………………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset