บทที่ 158 การแข่งขันเพื่อการกุศล
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนเขาไม่มีสัญญาณ เพราะฉะนั้นโทรศัพท์จึงใช้ไม่ได้ พอมีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่นานก็มีข้อความส่งเข้ามา
ฉินสือโอวก้มลงอ่านข้อความนั้น ที่แท้ก็คาร์ล พิสเซลศัลยแพทย์สมองจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดติดต่อมา เนื่องจากอาการของเออร์บักทำให้ก่อนหน้านี้ทั้งสองติดต่อกันหลายครั้งเพราะอยากจะหาวิธีรักษาอาการของชายชรา
ฉินสือโอวคิดว่าศาสตราจารย์อาจจะมีวิธีการรักษาแบบใหม่จึงรีบโทรกลับไปหาแล้วถามว่า “ศาสตราจารย์คาร์ล ผมฉินนะครับ มีอะไรรึเปล่าครับ?”
คาร์ลตอบว่า “อ๋อ…คือว่าอย่างนี้นะฉิน ผมได้ข่าวมาว่านักบาสดาวเด่นของเอ็นบีเอสามสี่คนกำลังเตรียมจัดการแข่งบาสการกุศลเพื่อผู้ป่วยทางสมองขึ้นในหน้าร้อนนี้ ก่อนหน้านี้ผมได้ยินว่าคุณชอบบาสเกตบอลก็เลยมาลองถามดูว่าคุณสนใจไหม?”
ฉินสือโอวฝืนยิ้ม เข้าใจแล้ว นี่เขาดีใจเก้อเหรอเนี่ย
แต่พอมาคิดดูดีๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่ดี เกาะแฟร์เวลตั้งอยู่ทางใต้สุดของรัฐนิวฟันด์แลนด์ เหมือนว่าจะอยู่ใกล้กับเส้นชายแดนทางทะเลระหว่างแคนาดากับสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ส่วนบอสตันก็อยู่สุดทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ระยะห่างระหว่างสองเมืองนี้ใกล้กันมาก หากบินไปน่าจะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง
อีกอย่างมันถึงเวลาที่เออร์บักควรจะไปตรวจพอดีและเหมาเหว่ยหลงก็ชอบบาสเกตบอลเหมือนกัน เขาเป็นแฟนของเอ็นบีเอเลยแหละ แบบนี้ก็เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไปร่วมงานสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวินนี่อยู่ที่ไมอามีซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของอเมริกา เพียงแต่ว่าระยะทางมันก็ค่อนข้างจะไกลหน่อย เขากำลังคิดว่าเขาพอจะบินไปเจอเธอสักหน่อยได้หรือไม่
พอคิดดังนั้นแล้วเขาจึงรีบตอบตกลงไปทันที ส่วนศาสตราจารย์คาร์ลก็ดีใจที่สามารถดึงลูกค้ารายใหญ่มาได้หนึ่งคน
การแข่งบาสการกุศลนี้ไม่คิดค่าเข้าชม เนื่องจากอาศัยเงินบริจาคจากเหล่าคนมีเงินแทน เพราะฉะนั้นสมาคมผู้จัดการแข่งขันจึงพยายามเชิญเหล่าคนรวยให้เข้าร่วมอย่างสุดความสามารถ
ศาสตราจารย์คาร์ลพอจะรู้เรื่องฐานะของฉินสือโอวอยู่บ้าง เนื่องจากตอนนั้นที่วางแผนการรักษาให้กับเออร์บัก ประโยคแรกที่ฉินสือโอวพูดก็คือ ‘เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา’ หลังจากนั้นศาสตราจารย์คาร์ลก็ได้อ่านรายงานของบริษัทจัดประมูลริชชี่ก็เลยรู้ว่ารู้ว่าเขาเป็นมหาเศรษฐี
การแข่งขันเพื่อการกุศลนี้จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน มีเวลาอีกสี่วัน ฉินสือโอวขึ้นรถแล้วถามว่า “โคโกโร่ วีซ่าของแกเปลี่ยนได้ไหม มะรืนนี้ฉันว่าจะไปอเมริกา”
เหมาเหว่ยหลงมาที่ฟาร์มปลาเพื่อพักร้อนเขาจึงไม่อยากวิ่งไปนู่นมานี่เพราะฉะนั้นเขาจึงถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมีความสุขว่า “ไปทำอะไรที่อเมริกาอะ?”
ฉินสือโอวตอบ “ดาวเด่นของเอ็นบีเอจำนวนหนึ่งจะจัดการแข่งขันการกุศลเอ็นบีเอออลสตาร์ที่บอสตัน แล้วมีคนเชิญฉันไป ฉันก็เลยจะไปดูสักหน่อย แต่ถ้าแกไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้ามีเวลาฉันค่อยไปดูการแข่งขันก็ได้ เดี๋ยวฉันจะโทรไปบอกเขาว่าไปไม่ได้แล้วก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวๆๆ อยาก อยากไปดิวะ แกจะไปปฏิเสธเขาทำไมเล่า? เขาเชิญแกเพราะเขาเชื่อถือแก แกจะไปทำให้เขาผิดหวังไม่ได้! ไป หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไปบอสตัน ฉันเปลี่ยนวีซ่าที่นี่ได้ แค่ไปสถานทูตแล้วประทับตราก็เรียบร้อยแล้ว”เหมาเหว่ยหลงตะโกนออกมาทันที
ฉินสือโอวหัวเราะ เขารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้
ไม่ใช่แค่เหมาเหว่ยหลงเท่านั้นที่ต้องไปที่สถานทูต ฉินสือโอวก็ต้องไปเหมือนกัน เขาต้องไปทำวีซ่า
ก่อนหน้านี้เรื่องพวกนี้เออร์บักเป็นคนทำแทนเขาทั้งหมด แต่ครั้งนี้เขาไม่อยากรบกวนเออร์บักก็เลยโทรศัพท์หาโรเบิร์ตเบลคที่สี่เพื่อให้เขาช่วยแนะนำทนายความสำหรับขอวีซ่าให้
แคนาดากับอเมริกาเป็นเพื่อนบ้านกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการลงนามในสนธิสัญญามากกว่าร้อยฉบับเพราะฉะนั้นการทำวีซ่าไปมาระหว่างสองประเทศจึงง่ายมาก แต่ว่าถ้ามีทนายความทำให้ก็จะสะดวกกว่า จ่ายเงินสักเล็กน้อยก็จะมีคนจัดการให้ทั้งรวดเร็วและครบถ้วน
เมื่อได้รับสายจากฉินสือโอว โรเบิร์ตก็หัวเราะออกมา “ฉิน คุณไม่ติดต่อผมมานานแล้วนะ แล้วนี่คุณจะเอาทนายไปทำอะไร?”
“ผมอยากได้วีซ่าไปอเมริกา แบบด่วนหน่อย”
“ไม่เห็นต้องใช้ทนายความเลย เดี๋ยวผมจัดการให้ วันที่ 23 เจอกันที่ออตตาวา คุณสามารถรับวีซ่าแล้วบินไปบอสตันวันนั้นได้เลย”
พอวางสายฉินสือโอวก็โทรหาวินนี่ แต่ว่าโทรไม่ติด เธอคงกำลังบินอยู่
หลังจากกลับถึงบ้าน ฉินสือโอวก็ไปหาเออร์บักแล้วบอกเรื่องที่จะไปร่วมการแข่งขันเพื่อการกุศลในวันที่ 24
เออร์บักเห็นด้วยอย่างง่ายดาย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฉิน ผมต้องไปขอบคุณเหมาสักหน่อย สมุนไพรที่เขาเอามาให้เหมือนยาวิเศษเลย ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ตรวจแต่ผมรู้สึกได้ว่าเจ้าวายร้ายนี้ถูกกำราบจนอยู่หมัดแล้ว”เออร์บักพูดจบก็ชี้ไปที่หัว
ไม่ต้องไปขอบคุณไอ้เหมามันหรอก ที่คุณดีขึ้นเป็นเพราะพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนต่างหากไม่ใช่เพราะสมุนไพรนั่นสักหน่อย ฉินสือโอวได้แต่คิดในใจ เพราะเรื่องนี้พูดออกมาไม่ได้ แต่การรักษาด้วยพลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้ผลดีแบบนี้เขาก็ดีใจ
เห็นแบบนี้แล้วเขาก็อยากจะรีบไปรับพ่อกับแม่มาให้เร็วที่สุดแล้วใช้พลังของเขาทำให้พ่อแม่มีสุขภาพที่ดีขึ้น
การเดินทางขึ้นเขานั้นเหนื่อยล้าไม่ใช่เล่น ฉินสือโอวกลับมาถึงก็ไปที่ริมชายหาดห่างจากท่าเรือเพื่อหาที่ปักร่ม เขาสวมกางเกงบ็อกเซอร์นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมดื่มน้ำผลไม้ไปรับลมไป
หู่จือกับเป้าจือก็วิ่งเล่นอยู่ที่ชายหาดอย่างมีความสุข เม็ดทรายสีทองเกาะอยู่บนเส้นขนสีทองเต็มไปหมด เจ้าตัวแสบทั้งสองผลักกัดคร่อมอีกฝ่ายไปมา เสียงเห่าของพวกมันนั้นใสและเพราะราวกับเสียงระฆัง
ฉงต้าตอนอยู่บนเขานั้นดูราวกับเป็นเจ้าป่า โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับฝูงหมาป่า มันไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ และดูหิวกระหายการต่อสู้
แต่พอกลับมาที่ฟาร์มปลา มันก็กลับมาขี้เกียจและขี้อายเหมือนเดิม มันนอนอยู่ข้างๆ ฉินสือโอวแล้วยื่นคออ้วนๆ ของมันมองไปมารอบทิศ พอลมพัดหญ้ากระดิกมันก็รีบมุดเข้าไปในอ้อมแขนของฉินสือโอว
ส่วนเจ้าต้าป๋ายนั้นก็สงบนิ่งเหมือนเดิม ตอนที่กลับมาเจอกับเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหวงมันก็เข้าไปทักทาย
รับลมทะเลไปได้สักพักฉินสือโอวก็เคลิ้มหลับไป ทันใดนั้นฉงต้าก็ร้องแล้วปีนขึ้นมาบนตัวเขา
ฉินสือโอวตื่นทันที เขาลุกขึ้นนั่งแล้วเห็นว่าหู่จือกับเป้าจือนั้นเลิกหยอกกันแล้วและพวกมันทั้งสองกำลังวิ่งไปกลับไป
เมื่อหันกลับมาฉินสือโอวก็ได้พบกับสิ่งที่น่าตกใจ นกยักษ์ที่มีลำตัวยาวเกือบหนึ่งเมตร ปีกกว้างเกือบสองเมตรกำลังพุ่งตัวลงมาจากท้องฟ้า จะงอยปากแหลมคมของมันชี้ตรงไปยังกระรอกน้อยที่อยู่บนพื้น!
คาดว่าเจ้ากระรอกเสี่ยวหมิงเห็นฉินนอนกินลมอยู่บนชายหาด ก็เลยอยากจะวิ่งมาเล่นด้วย แต่พอวิ่งมาถึงชายหาดก็ถูกนกยักษ์นี้เห็นเข้า
ขนของนกยักษ์ตัวนี้เป็นสีเทาดำ แต่เมื่อโดนแสงอาทิตย์ปลายขนของมันก็เปล่งแสงสีทองแสบตาออกมา เมื่อเห็นชั้นขนสีทองกับขนาดตัวของมันก็ไม่ต้องคิดนาน นกชนิดนี้ก็คือ
อินทรีทอง!
นกนักล่าหมายเลขสามของอเมริกาเหนือ!
ฉินสือโอวไม่กลัวเจ้าอินทรีทองนี่ ตอนนี้สิ่งที่เขากังวลคือความปลอดภัยของเจ้าเสี่ยวหมิง เขารีบลุกขึ้นแล้วตะโกนไล่ “ชิ่ว!”
มันเป็นเสียงดังที่สุดที่เขาจะสามารถเปล่งออกมาแล้ว แต่เหมือนเขาจะอยู่ไกลเกินไป เจ้าอินทรีทองจึงไม่สนใจ กรงเล็บสองของมันยื่นลงมาหมายจะจับเสี่ยวหมิง
คิดว่าจะสายไปเสียแล้ว อินทรีย์ทองตะครุบลงตรงทรายข้างเสี่ยวหมิง เห็นเพียงแต่ทรายกระจุยกระจาย ส่วนเสี่ยวหมิงนั่นหายตัวไปจากพื้นทราย
อินทรีทองสะบัดกรงเล็บแล้วบินออกบินอีกครั้ง
ฉินสือโอววิ่งกลับไปอย่างตกใจ แต่สิ่งที่ทำให้เขาโล่งใจก็คือในกรงเล็บของอินทรีทองที่บินขึ้นไปนั้นไม่มีเจ้าเสี่ยวหมิง
หลังจากบินขึ้นไปอินทรีทองก็พลิกตัวกลับมาคิดจะพุ่งลงมาอีกครั้ง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงนกร้องดังขึ้นจากนั้นก็มีนักล่าอีกตัวบินมา
ฉินสือโอวบ่นในใจว่าให้ตายสิ ก็แค่กระรอกน้อยตัวเดียว นี่พวกแกไปหิวมาจากไหนเนี่ย?
แต่นกนักล่าตัวที่สองไม่ได้ต้องการจะจับเสี่ยวหมิง มันกระพือปีกบินพุ่งไปยังอินทรีทอง
……………………………………