ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 2 ลูกนายพล

บทที่ 2 ลูกนายพล

“เฉินเฉียง เมื่อกี้กัปตันฉีจากทีมสำรวจมาหาคนให้ไปช่วยถือของ ต้องขอบคุณการไม่สนโลกของเจ้าจริงๆที่ทำให้เจ้าเป็นผู้เสียสละสำหรับพวกเรา”

“อ้อ แล้วก็ แก่นคริสตัลที่อยู่ในมือนั่นน่าจะเป็นค่าจ้างล่ะนะ”

“แก่นคริสตัลก้อนนั้นน่าจะพอแลกอาหารดีๆอยู่ได้สักสองเดือน มันมีราคาสูงเลยทีเดียว”

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ฟังอยู่นิ่งๆก่อนที่จะหยิบแก่นคริสตัลขึ้นมาดูพร้อมความรู้สึกกดดันภายในจิตใจ

เพียงเพราะว่าเขานั้นไม่ได้สนใจฟังทุกคนคุยกันก็แค่นั้น แล้วทำไมอยู่ๆเขาก็ได้กลายเป็นทีมสำรวจไปได้ซะอย่างนั้น

“เฉินเฉียง พวกเราไม่ได้กินอะไรดีๆเลยนับตั้งแต่เราเข้าทีมเก็บกู้ศพนี่มา ในเมื่อเจ้าเองก็มีแก่นคริสตัลอันแสนล้ำค่าอยู่ในมือ ทำไมเจ้าไม่ไปหาเนื้อสัตว์ประหลาดๆดีๆมากินกันคืนนี้สักหน่อยล่ะ”

เฉินเฉียงมองไปที่เจ้าอ้วนที่ในตอนนี้มายืนอยู่ข้างๆเขาด้วยบรรยากาศกดดันแปลกๆที่แผ่ออกมาจากใบหน้าของเขา

ความจริงไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้อยากจะไม่ทำตามข้อเสนอของเจ้าอ้วน แต่ในทันทีที่แก่นคริสตัลนี้ตกมาอยู่ในมือเขา ระบบได้กลืนกินผลึกนี้แทบจะในทันทีที่เขาสัมผัสมัน

ติ้ง

ระบบดูดซับค่าพลังงาน 10 หน่วยและจะเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ 1 หน่วย

ค่าพลังงาน 0 หน่วย เจ้าของระบบโปรดเพิ่มค่าพลังงานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

และตอนนี้เฉินเฉียงได้รับรู้ว่า ระบบย่อยสลายซากนี้ตอบสนองกับแก่นคริสตัล หรือก็คือเขาต้องใช้แก่นคริสตัลเหล่านี้ในการเพิ่มค่าพลังงานให้ระบบ

“ไอ้อ้วน ไปให้พ้นๆเลยไป”

ผู้อาวุโสซุนได้ตะคอกออกมาอย่างอารมณ์เสีย และไล่คนอื่นๆออกไปจนเหลือแค่เฉินเฉียงเท่านั้น

ผู้อาวุโสซุนเองคงไม่คิดที่จะฮุบแก่นคริสตัลนี่เอาไว้คนเดียวหรอก….มั้ง

ผู้อาวุโสซุนได้ให้เฉินเฉียงไปนั่งลงที่เก้าอี้ก่อนที่จะเดินไปหยิบขวดที่ปิดฝาเอาไว้มาจากมุมเตียงของเขา เขาปัดฝุ่นที่เกาะขวดออกแล้วดึงจุกออกมา

กลิ่นหอมหวนของไวน์ได้ลอยออกมาจากขวด

“นี่คือของดีที่ข้าเก็บเอาไว้กว่าสิบปี”

ใบหน้าของผู้อาวุโสซุนนั้นกลับมาสู่ความผ่อนคลายในทันทีที่ได้กลิ่น เขาค่อยๆรินไวน์ใส่ชามครึ่งหนึ่งก่อนที่จะส่งให้เฉินเฉียงแล้วค่อยรินให้ตัวเอง หลังจากนั้นก็นำขวดน้ำที่อยู่บนโต๊ะมารินน้ำใส่ให้เต็ม

“ไวน์ดีๆแบบนี้มีไม่มากนัก คงไม่ว่าอะไรนะถ้าข้าจะเติมน้ำลงไปเพื่อเก็บส่วนอื่นไว้กินทีหลัง”

หลังจากพูดจบ เขาได้นำกระดาษจากกล่องเล็กๆออกมา เมื่อเขาเปิดออก เฉินเฉียงก็เห็นว่าในนั้นมีกระดูกสองชิ้น เท่าทีเห็นน่าจะกัดเคี้ยวไปบ้างแล้ว

หนึ่งผู้เฒ่า หนึ่งเด็กหนุ่ม ได้นั่งกันคนละฝั่งฝากโต๊ะ ตาของทั้งสองได้จับจ้องไปยังกระดูกที่หลงเหลือไว้ด้วยเศษเนื้อที่วางอยู่ข้างหน้า

“ไอ้หนู เจ้าน่าจะยังไม่เคยกินเนื้อสัตว์ประหลาดเลยสินะ อยากลองสักหน่อยรึเปล่าล่ะ คิดซะว่าสักครั้งในชีวิตก็ยังดี”

ทันทีที่เสียงแหบพร่าและสั่นเครือเล็กน้อยของผู้เฒ่าได้พูดออกมา ทั้งสองต่างก็หยิบกระดูกข้างหน้าไปคนละชิ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน

เพียงไม่กี่นาที ผู้อาวุโสซุนก็ได้กัดเข้าไปที่เนื้อที่ยังติดอยู่บนกระดูกอย่างเต็มปากเต็มคำและเคี้ยวอย่างเมามัน ก่อนที่จะยกถ้วยไวน์ที่อยู่ตรงหน้าดื่มไปหนึ่งที พลางจ้องมองเฉินเฉียงด้วยความรู้สึกหดหู่ และในที่สุด เขาก็ถอนหายใจออกมา

“ข้าจำไม่ได้แล้วจริงๆว่าข้าต้องส่งเด็กแบบเจ้าไปกับไอ้พวกทีมสำรวจเวรนั่นกี่ครั้งแล้ว แต่ว่านี่เป็นเพราะว่าข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ เผ่าพันธุ์ของเรานั้นต้องดิ้นรนให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์แบบนี้อย่างยากลำบาก เฮ้ออออ มา ชนกันหน่อย”

เพียงอึกเดียว ไวน์ในชามก็หายไปกว่าครึ่ง

“เป็นยังไงบ้างไอ้หนู ไวน์นี่รสชาติไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”

เฉินเฉียงได้ยิ้มออกมาและพูดว่า “ถ้าไม่ได้เติมน้ำไปเมื่อครู่นี้รสชาติก็คงดีกว่านี้อีกล่ะครับ”

“หืม นี่เจ้าไม่กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องอันตรายเลยรึไงกันถึงได้ยิ้มกว้างออกมาซะขนาดนี้ เฮ้อ นิสัยของเจ้านี่เหมือนพ่อไม่มีผิด”

พ่อเหรอ

เฉินเฉียงนั้นไม่พบข้อมูลของพ่อทั้งจากความทรงจำก่อนและความทรงจำนี้ เมื่อได้ยินผู้อาวุโสพูดออกมาทำให้เขานั้นอดที่จะยิ้มด้วยน้ำตาไม่ได้ และนี่ทำให้เฉินเฉียงต้องถามออกมา

“ปู่ซุน ท่านรู้จักพ่อของข้าด้วยเหรอ ตอนนี้เขาอยู่ไหนกัน บอกข้าได้รึเปล่า”

เมื่อผู้อาวุโสซุนได้ยินดังนั้นเขาก็ได้วางชามไวน์ลงและนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดออกมา

“โอ้… ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพ่อของตน มันเป็นเรื่องกว่าสิบห้าปีมาแล้ว เฉินเฉียง เจ้าเคยได้ยินชื่อของนายพลเทียนเว่ยหรือไม่”

“นายพลเทียนเว่ย…อืม… นายพลเทียนเว่ยนั่นรึเปล่า เคยสิ ทุกคนๆในอาณานิคมแห่งภูเขาหมางแห่งนี้จะมีใครไม่รู้จักชื่อของจอมพลในตำนานคนนั้นกัน”

“เขาเป็นจอมพลแห่งกองกำลังเหมันต์จันทรา เขาเป็นคนที่เสียสละตนเองเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้พวกมนุษย์กลายพันธุ์สามารถทำลายหมู่บ้านเหมันต์จันทราตอนที่พวกมันบุกโจมตี”

“หลังจากนั้นผู้พันเทียนเว่ยจึงถูกเรียกว่าจอมพลแห่งกองกำลังเหมันต์จันทราและถูกเรียกว่าเป็นจอมพลเหนือจอมพล”

แต่เดิมเฉินเฉียงเองนั้นก็ได้รู้จักจอมพลเทียนเว่ยผู้นี้เป็นอย่างดีตามเรื่องเล่าที่เคยฟังมาในร่างก่อน

ถึงแม้ว่าจะพึ่งมาอยู่ในร่างนี้แต่เมื่อได้หลอมรวมความทรงจำกันแล้วย่อมทำให้เขานั้นมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับจอมพลคนนี้เป็นพิเศษ

“ก็ใช่ แล้วถ้าข้าจะบอกว่าเจ้าคือลูกชายคนเดียวของจอมพลคนนั้นล่ะ”

หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสก็ได้จ้องมองไปยังเฉินเฉียงที่เขาคิดว่าน่าจะต้องตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน แต่เขากลับเห็นว่าใบหน้าของเฉินเฉียงนั้นแค่กระตุกไปเล็กน้อยเท่านั้น

“ไม่เลว เจ้านั้นสุขุมมาก สมแล้วที่เป็นลูกชายของจอมพล”

มีสิ่งหนึ่งที่ผู้อาวุโสซุนไม่รู้ก็คือเฉินเฉียงที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่เฉินเฉียงที่เขารู้จักมาก่อนหน้านี้

หลังจากที่ผู้อาวุโสลอบพยักหน้าพึงพอใจอยู่ในใจแล้วก็ได้พูดต่อว่า “แต่เดิม ข้านั้นต้องการให้เจ้าปลุกสายเลือดขึ้นมา หลังจากนั้นค่อยสืบทอดตำแหน่งต่อจากนายพลเทียนเว่ย แต่ข้าไม่นึกเลยว่า สายเลือดของเจ้านั้นกลับกลายเป็นสายเลือดธรรมดาซะได้”

“น่าเสียดายจริงๆที่จะบอกว่า แม้แต่ตำแหน่งของพ่อเจ้าในกองกำลังเหมันต์จันทรานั้น ในตอนนี้ก็ยังคงว่างอยู่”

“ตำแหน่งของพ่อเจ้านั้นเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของมวลมนุษย์เลยก็ว่าได้”

“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้มีสายเลือดนักรบแบบพ่อเจ้า แต่เจ้ากลับกล้าหาญประดุจดั่งนายพลเทียนเว่ย แค่นี้ก็คงถือได้ว่าช่วยปลอบประโลมวิญญาณของพ่อเจ้าได้”

คำพูดของผู้อาวุโสซุนนั้นแม้จะทำให้เฉินเฉียงดูสงบใจลงได้ในภายนอก แต่ในใจเขาตอนนี้นั้นกลับบังเกิดความรู้สึกตกตะลึงขึ้นในใจ

เขานั้นไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าพ่อของเขานั้นจะเป็นผู้มีเกียรติขนาดนั้น

หากว่าเป็นร่างนี้ในก่อนหน้านี้ ก็คงจะยังมีชีวิตอยู่ประดุจดั่งคนธรรมดาสามัญ

แต่ในตอนนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากระบบทำให้เขานั้นได้รับสายเลือดค้างคาวโลหิตพิษ ตราบใดก็ตามที่เขาขยันบ่มเพาะ เขาเองก็สามารถกลายเป็นสายเลือดนายพลได้ในอนาคต

อย่างๆน้อยๆในตอนนี้ เขานั้นจะนำตำแหน่งของพ่อตนกลับมาไว้ในครอบครองให้ได้

สิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่เขาพอจะให้ได้กับร่างเดิมของเขา

“ท่านปู่ซุนอย่าเป็นกังวล เมื่อข้ากลับจากการสำรวจแล้ว ข้าจะตั้งใจบ่มเพาะอย่างดีจะได้ไม่ทำให้พ่อของข้าต้องผิดหวัง”

ผู้อาวุโสได้ยิ้มอย่างขมขื่นออกมาเมื่อได้ยิน “เมื่อเจ้ากลับมารึ พูดง่ายกว่าทำนะนั่น”

“เฉินเชียง เจ้าอาจจะยังไม่รู้”

“ทีมสำรวจที่เคยส่งไปยังภูเขานั้นส่วนใหญ่แล้วแทบจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา”

“และด้วยสายเลือดของเจ้านี้ ข้าก็พอจะบอกได้ว่าตัวเจ้านั้นอาจจะตกตายได้ทันทีเมื่อก้าวเข้าไปยังภูเขาหมางนั่น”

“ไม่ใช่เพราะว่าคนเหล่านั้นหาคนไม่ได้ แต่เป็นเพราะไอ้พวกนั้นไม่อยากจะสูญเสียทรัพยากรบุคคลของพวกมันไปกับเพียงเรื่องแค่นี้จึงเลือกที่จะให้คนอื่นเสียสละแทน”

“และด้วยการที่มนุษย์ต้องยอมทนอยู่ในที่แห่งนี้ ความเสียสละเองเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”

“อีกอย่างนึง เฉินเฉียง ข้าไม่อยากให้เจ้าหลงลืมไปว่า ยังไงซะ เจ้าก็เป็นผู้สืบสายเลือดของผู้พันเทียนเว่ย ข้าหวังให้เจ้านั้นเชิดหน้าเข้าไว้อย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด จะได้ไม่ทำให้พ่อของเจ้านั้นต้องอับอาย”

“นี่ตราหน้าว่าข้าตายไปแล้วเลยเหรอนั่น”

ผู้อาวุโสพยักหน้ารับอย่างเคารพ

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ได้ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาตั้งอยู่ในระดับสายตา เขานิ่งคิดไปสักพักก่อนที่จะซดเข้าไปทีเดียวหมดชาม

“ปู่ซุน ใครจะรู้ได้กัน ขนาดวันนี้พิษของค้างคาวโลหิตพิษนั่นก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าอาจจะโชคดีจนกลับมาที่นี่ได้ก็ได้นะ”

“เป็นเด็กที่กล้าหาญดีจริง ดี ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นจริงล่ะก็ ยามที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยข้าจะยกไวน์ที่เหลือนี่ให้เจ้า หลังจากนั้นเรามาดื่มกันอีก”

“ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม แต่บอกไว้ก่อนนะว่าครั้งหน้า ข้าขอเป็นไวน์เพรียวๆนา….”

“อืมๆ วิธีการพูดของเจ้าเองก็ถอดแบบผู้พันเทียนเว่ยมาเลยทีเดียว”

เช้าวันถัดมา เมื่อเฉินเฉียงไปยังสนามที่นัดกันไว้ ที่นั่น ทีมสำรวจได้รออยู่ก่อนแล้ว ในทีมมีผู้คนกว่าสิบคน และพร้อมที่จะเดินทางทุกเมื่อ

“เฉินเฉียง เจ้าสวมกระเป๋านี้ไว้แล้วตามพวกเขาเข้าไปในภูเขา”

กัปตันฉีโยนกระเป๋าหนังขนาดใหญ่ลูกหนึ่งให้ ก่อนที่จะยกมือส่งสัญญาณนำทุกคนขึ้นภูเขาไป

ณ ที่พักของทีมเก็บกู้ซากศพ เจ้าอ้วนและเด็กอีกหกคนได้มองส่งเฉินเฉียงที่ตอนนี้กำลังเดินตามหลังทีมสำรวจไปลิบตา บรรยากาศของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความสำนึก

“ไอ้อ้วน ข้าว่าครั้งนี้เราทำเกินไปหน่อยนะ ยังไงซะไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เขานั้นก็เป็นผู้เสียสละของพวกเรา”

“แล้วไง พวกเรามีแค่เจ็ดคนนะโว้ย ถ้าไม่เป็นเฉินเฉียงก็ต้องเป็นหนึ่งในพวกเราอยู่ดี หรือแกจะไปแทน”

“ข้าหวังได้เพียงว่าเขาจะสามารถกลับโชคร้ายให้เป็นโชคดีได้นะ ตราบใดที่เขากลับมาได้ ข้าจะทำงานแทนเขาอาทิตย์นึงเลย”

เหล่าเพื่อนๆของเฉินเฉียงได้พูดออกมาด้วยความรู้สึกสำนึกเสียใจและรู้สึกผิด แต่พวกเขาเองก็ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าผู้อาวุโสซุนนั้นได้เร้นกายมาอยู่ข้างหลัง

“ไอ้เด็กเวรพวกนี้นี่ พวกแกอู้งานกันอีกแล้วเรอะ”

“รีบๆไปทำงานได้แล้ว ไป”

“ถ้าวันนี้พวกแกทำความสะอาดถุงเก็บศพและถุงมือไม่เสร็จ อย่าหวังว่าคืนนี้จะได้กินข้าวกันเลยนะโว้ย”

เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าเพื่อนๆของเฉินเฉียงก็ได้วงแตกกันทันที

หลังจากมองเด็กๆรีบวิ่งไปทำงาน เขาได้หันไปจ้องมองยังทีมสำรวจก่อนจะตะเบ๊ะทำความเคารพออกมา

“นายพลเทียนเว่ย ข้าช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก ไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้องเขาได้ หวังว่าท่านจะสามารถช่วยให้เฉินเฉียงกลับมาได้อย่างปลอดภัย”

Related

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset