บทที่ 109 ปมในใจ
ในตอนที่กลุ่มของเฉินเฉียงเดินออกไปจากตึกจอมพลพร้อมเสียงพูดคุณกันอย่างสนุกสนานโดยไม่มีเว่ยหยวนตี้ร่วมวงออกไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ภายในห้องข้อมูล บรรยากาศภายในนั้นกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
หลังจากเฉินเฉียงได้ออกไปแล้ว เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้ตื่นเต้นแบบสุดๆ เขาได้เรียกองครักษ์ที่สุดแสนจะสนิทอย่างลีปิงให้เข้ามาหา ลีปิงผู้นี้มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง
“ท่านผู้การ อะไรทำให้ท่านมีความสุขได้ขนาดนี้กัน”
“ลีปิง เจ้ายังจำน้องชายของข้า เฉินเทียนเว่ยได้รึเปล่า”
“ผู้การเทียนเว่ยหรือครับ แน่นอนสิครับว่าข้าต้องจำได้ พวกเราหลบหนีออกมาได้จากการสละชีวิตของท่านผู้นั้น และท่านเองก็ยังนำเรื่องนี้ไปเผยแพร่จนทั่วทำให้ทุกคนรู้จักนามของเทียนเว่ยกันเป็นอย่างดี”
“ใช่ เขาเป็นน้องชายที่ดีของข้าจริงๆ เจ้ารู้รึเปล่า ทายาทของเขายังมีชีวิตอยู่และได้มาที่เขตกันหนันของพวกเราแล้วด้วย นี่ช่างเรียกว่าสวรรค์ทรงโปรดโดยแท้”
เมื่อลีปิงรีบถามออกมาในทันทีเมื่อได้ยิน “ทายาทของผู้การเทียนเว่ยเหรอ แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนกัน”
“ข้าได้ให้ฉิงเชินพาเขาและพวกไปกินข้าวที่ภัตตาคารติ้งฮู่น่ะ ลีปิง ที่ข้าให้เจ้ามาพบนั้นเป็นว่าข้าอยากให้ช่วยเจ้าดูตำแหน่งว่างดีๆของที่นี่ให้สักหน่อยน่ะ”
ลีปิงที่ได้ยินก็คิดสักพักก่อนที่จะถามออกมาแทนที่จะตอบ “ผู้การ ท่านคิดจะดึงทายาทของผู้การเว่ยมาอยู่ฝั่งเดียวกับท่านหรือครับ”
“แน่นอน ถึงแม้จะผ่านมาสิบเจ็ดปีแล้วก็ตาม ในเมื่อข้ารู้ว่าทายาทของน้องชายข้ายังมีชีวิตอยู่ มีหรือที่ข้าจะปล่อยให้เขาไปอยู่กับคนอื่น”
“แต่นี่มันก็ไม่รู้ว่าจะช้าไปรึเปล่าเหมือนกัน ตอนนี้เด็กนั่นเองก็โตขึ้นมากและดิ้นรนจนเข้าไปอยู่ในสำนักเต่าดำได้ด้วยตัวเอง แถมในตอนนี้เขาเองก็ถือว่าเป็นสมาชิกของกองกำลังเทียนเว่ยไปแล้วอีกด้วย”
“ตัวเขาในตอนนี้ทรงพลังไม่น้อยหน้าพ่อของเขาเลยสักนิด ความจริงข้าเองก็ไม่คิดว่าเขาเองก็จะเจริญตามรอยผู้เป็นพ่อและเข้าร่วมกองกำลังเดียวกัน นี่ราวกับว่าพระเจ้าได้กำหนดเอาไว้แล้วเสียจริงๆ”
“ท่านผู้การ ไม่ได้เป็นอันขาด ท่านห้ามไม่ให้ทายาทของผู้การเทียนเว่ยอยู่ข้างกายท่าน”
โดยไม่คาดคิด หลังจากลีปิงได้ยินคำพูดบ่นของเว่ยหยวนตี้แล้วเขากลับแสดงจุดยืนออกมาแบบนี้ แต่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังของลีปิงแล้วทำให้เว่ยหยวนตี้อดที่จะสงสัยไม่ได้ในทันที
“ลีปิง นี่เจ้าพูดเรื่องไร้สารอะไรกัน”
“นี่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าผู้การเทียนเว่ยนั้นช่วยพวกเราไว้จึงมีพวกเราอยู่ในทุกวันนี้”
“แล้วการที่ข้าจะช่วยเฉินเฉียงให้ได้ดิบได้ดีนี่มันผิดนักรึไง”
เมื่อเห็นเว่ยหยวนตี้แสดงความโกรธออกมา ลีปิงได้คุกเข่าลงหนึ่งข้าง ก่อนที่จะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “ท่านผู้การ ข้า ลีปิง รับใช้ท่านมากว่ายี่สิบปี แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ดีว่าท่านและผู้การเทียนเว่ยมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นขนาดไหน”
“และข้าก็จดจำบุญคุณที่ผู้การเทียนเว่ยช่วยชีวิตพวกเราจนมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้น ท่านและข้าคงจะตกตายกันไปนานแล้ว”
“อย่างไรก็ตาม จะเป็นการดีกว่าหากท่านจะไม่ดึงเขามาอยู่ข้างตัว”
หลังจากพูดจบ ลีปิงได้โค้งคำนับราวกับเสี่ยงชีวิตเพื่อขอร้องในเรื่องนี้
เว่ยหยวนตี้เองเมื่อเห็นท่าทางนี้แล้วก็ทำได้เพียงสะกดข่มความโกรธไว้ในใจ ก่อนที่จะพูดออกมา “ลีปิง ยืนขึ้นและตอบข้ามา ข้าอยากจะฟังความเห็นของเจ้าที่ต้องการห้ามข้าไว้”
“ขอบคุณท่านผู้การ”
ลีปิงยืนขึ้นและพูดออกมาช้าๆ “ท่านผู้การ ข้าเข้าใจดีว่าทำไมท่านนั้นต้องการจะตอบแทนบุญคุณของผู้เป็นพ่อกับทายาทของผู้การเทียนเว่ย”
“แต่ท่านลองคิดถึงความรู้สึกของเฉินเฉียงดูว่าหากเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเขาจะรู้สึกยังไง”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ต่อให้เฉินเฉียงไม่รู้เรื่องนั้น แต่การที่ท่านต้องเห็นหน้าของเขาที่อยู่ข้างกายซ้ำๆ ท่านจะอดทนต่อความรู้สึกผิดของตนเองได้หรือไม่”
“หากว่าเป็นข้านั้น ไม่เพียงจะไม่นำเขามาไว้ข้างตัว ข้าจะหาทางส่งเขาไปไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่งไปที่ไหนก็ได้ที่เขานั้นจะไม่กลับมาให้เห็นอีก”
“แล้วก็อย่าลืมว่า ท่านกับผู้การเทียนเว่ยเองก็เคยเอ่ยปากหมั้นหมายลูกของท่านทั้งสองเอาไว้หากว่าเกิดมาแล้วเป็นผู้ชายกับผู้หญิง ซึ่งในตอนนี้…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว”
เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้ยินความเห็นของลีปิงแล้ว ใบหน้าของเข้าก็มืดคล้ำ เขานั่งลงบนเก้าอี้พร้อมใบหน้าที่ขยับไปมาราวกับขบคิดอะไรบางอย่าง
“ท่านผู้การ ต่อให้ท่านไม่คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ท่านเองก็ต้องคิดถึงคุณหนูไว้บ้าง เธอเองมีร่างกระจ่างจิตที่ว่ากันว่าหมื่นปีจะมีสักคน ในอนาคต ระดับการบ่มเพาะของเธอเองยังไงซะก็หนีไม่พ้นระดับราชาเป็นที่แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
“และในปีนี้ มีผู้คนมากมายที่ก้าวเข้าสู่ระดับราชาได้แล้ว ดีไม่ดีอาจจะเกินไปแล้วด้วยซ้ำ หากว่าจัดการเรื่องของเฉินเฉียงและคุณหนูไม่ดีและทั้งคู่ต่างรู้เรื่องนี้แล้วแต่งงานกันไปซะก่อนล่ะก็ ช้าเชื่อว่าด้วยนิสัยของคุณหนูแล้ว เธอนั้นต้องละทิ้งการบ่มเพาะได้อย่างไม่แยแส”
“เอาล่ะ ลีปิง เจ้าไปได้ ข้าขอคิดอะไรสักหน่อย”
เว่ยหยวนตี้ได้มองไล่หลังลีปิงไปด้วยสายตาที่เย็นชา จนกระทั่งเขาอยู่คนเดียวภายในห้องข้อมูล และเริ่มทำการนวดหน้าผากตัวเองไปมา
….
ที่ภัตตาคารติ้งฮู่ชั้นสองนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้แขกของคุณหนู่เว่ยแห่งตึกผู้การกันหนันต้องถูกรบกวน ชั้นสองในวันนี้จึงมีเฉพาะแขกพิเศษของเธอเท่านั้น
และกลุ่มคนชายหญิงเหล่านี้ ด้วยการที่ทุกคนนั้นได้รับรู้สถานะของเฉินเฉียงแล้ว ถึงแม้ในตอนแรกจะดูมีกำแพงบางๆมากางกั้น แต่เพียงไม่นาน พวกเขาก็หัวเราะด้วยกันได้อย่างหมดใจ
“น้องฉิงเชิน ข้าได้ยินมาว่าด้วยร่างกายที่พิเศษของเจ้านั้นทำให้เจ้าไม่มีคอขวดในการบ่มเพาะ และนี่ทำให้เจ้าสามารถบรรลุระดับการบ่มเพาะไปเป็นระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงและระดับราชาเมื่อไหร่ก็ได้ จริงรึเปล่า”
เมื่อเว่ยฉิงเชินได้ยิน เธอได้ส่ายหัวไปมาก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “พี่ใหญ่เฉินเฉียง ถึงแม้มันควรจะเป็นแบบนั้นก็จริง แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่เขาลือกัน”
“ถึงแม้ว่าตัวข้านั้นต่อให้เปิดจุดชีพจรลับทั้งสามสิบหกจุดเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ว่าไว้จริง แต่นั่นจะทำให้พลังสายเลือดภายในตัวข้านั้นเจือจางและจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของข้าได้โดยตรง”
“เฉกเช่นดั่งตอนที่เราสองคนร่วมมือกันสู้กับถูหมั่นเทียน ถูหมั่นเถียนนั้นสมกับเป็นคนที่มีระดับการบ่มเพาะระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางที่เกิดจากขัดเกลาแท้จริง ส่วนในตอนนั้น ข้าเองพึ่งจะเปิดจุดชีพจรลับที่สิบสามได้เท่านั้น”
“ถึงแม้จะบอกว่าเป็นระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางเหมือนกัน แต่หากดูที่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้แล้ว ข้าเองก็ไม่ได้ต่างจากนายพลวิญญาณขั้นต้นเลยด้วยซ้ำ”
“ถ้าในวันนั้น ท่านไม่ตัดสินใจช่วยข้าไว้ ข้าเกรงว่าข้าคงไม่อาจฆ่าเจ้าโจรใจทรามนั่นได้ และต้องตกตายด้วยน้ำมือมันอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดจบ เว่ยฉิงเชินก็ราวจะนึกอะไรบางอย่างได้ เธอก้มหัวของเธอเล็กน้อยและถามออกมาอย่างกระมิดกระเมี้ยน “ว่าแต่……..พี่ใหญ่เฉินเฉียง ในวันนั้นที่เราสู้กับถูหมั่นเถียน ถึงแม้ต้องเผชิญหน้ากับนายพลวิญญาณแบบนั้น แต่ท่านที่อยู่ในระดับทหารขั้นสูงในตอนนั้น ท่านทำยังไงถึงสามารถทำลายเกราะพลังงานของมันได้กัน”
คำพูดของเว่ยฉิงเชินนั้นได้ทำให้เหล่าสมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยที่เมาหยำเปกันอยู่นั้นต่างก็ตกตะลึงกันในทันที พวกเขานั้นไม่เคยคิดกันมาก่อนว่าเฉินเฉียงนั้นจะทรงพลังได้ถึงขนาดนั้น
แถมจากที่ฟังมา เฉินเฉียงในตอนนั้นเองก็ยังมีระดับการบ่มเพาะเพียงระดับทหารขั้นสูงเท่านั้น
“เฉินเฉียง นี่….แม้แต่ในตอนนั้นระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางก็ยังไม่ใช่คู่มือของเจ้างั้นเหรอ ยิ่งฟังข้าก็ยิ่งคิดว่าความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้นี่ไม่ใช่ว่าสมควรจะได้รับธงพลได้แล้วยังไงก็ไม่รู้”
จางหยวนนั้นมีข้อตกลงห้าปีกับเฉินเฉียงอยู่ ซึ่งในตอนนั้นเป็นเพราะเขามั่นใจในระดับการบ่มเพาะของตนเองและความแข็งแกร่งในการต่อสู้ แต่ในตอนนี้ เมื่อเขาได้ฟังคำพูดเมื่อครู่ เขาเริ่มรู้สึกไม่คู่ควรขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าปฏิเสธความคิดนี้ในทันทีและพูดออกมา “มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดแม้แต่น้อย ในตอนนั้นมันเป็นเพราะถูหมั่นเถียนประมาทศัตรูเกินไปเพียงเท่านั้น”
“ส่วนที่ว่าทำลายเกราะพลังงานของถูหมั่นเถียนได้นั้น นั่นก็เป็นเพียงผลของทักษะที่พวกท่านก็ได้เห็นไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงมันจะดีกว่า”
“ฮะ พวกเราเห็นมาแล้ว” จางหยวนและคนอื่นๆเมื่อได้ยินก็งุนงงกันไปอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาจึงรีบถามออกมา “น้องชายเฉินเฉียง เจ้าพอจะบอกหน่อยได้รึเปล่าว่าเป็นทักษะไหนของเจ้า ทำไมพวกเราถึงจำมันไม่ได้กัน”
เว่ยฉินเชินเองก็เปิดตาอันกลมโตสดใสพร้อมเงี่ยหูฟังในทันที
แต่นี่กลับทำให้เฉินเฉียงพูดออกมาเบาๆราวกับบ่นอุบอิบออกมา “ก็นั่นไง ไอ้ที่ข้าขุดรูนั่นน่ะ”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้มีหน้าแดงออกมาอีกเล็กน้อย ต่อให้ทุกคนจะมองว่ามันเจ๋งขนาดไหนก็ตาม แต่สำหรับเฉินเฉียงแล้ว มันทำให้เขานั้นดูไม่ได้ต่างจากหนูเลยแม้แต่น้อย
“ขุดรู….เหรอ” ทุกคนได้พูดทวนก่อนที่จะนึกถึงฉากที่เฉินเฉียงได้ดำดินมาเพื่อช่วยเหลือพวกเขาในหุบเขา และนี่ทำให้พวกเขานั้นอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันและหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น
“คุณหนู ท่านผู้การเชิญให้กองกำลังเทียนเว่ยกลับไปที่ตึกจอมพลเพราะมีเรื่องบางอย่างที่ต้องพูดคุยครับ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะอย่างเฮฮา คนของตึกจอมพลได้มาส่งข้อความที่ได้รับมา