ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 133 สถานะถูกเปิดเผย

บทที่ 133 สถานะถูกเปิดเผย

“นายท่านผู้นำพา ท่านอย่าได้เข้าใจผิดไป”

หลินเสี่ยวรีบตอบออกมาด้วยความเคารพ “ด้วยการที่ข้านั้นได้นำนักรบเหล่านี้มาตั้งแต่แรกเกิด ข้าจึงต้องหาคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาเลี้ยงดูพวกเขาเพียงเท่านั้น”

“หลังจากเด็กๆได้โตขึ้นมา ข้าได้สั่งให้พวกมันคอยดูแลเสื้อผ้าและอาหารให้กับนักรบของเราเพียงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นพวกมันคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้”

เฉินเฉียงได้พยักหน้าแสดงออกมาอย่างเข้าใจ เขาได้ใช้ความคิดครู่หนึ่งจึงได้พูดออกมา “ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของนายท่านราชาสวรรค์แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ข้าคิดว่าจะเข้าไปยังสำนักมังกรอาชูร่าเพื่อดูลาดเลาก่อน”

“ยังไงซะภารกิจนี้จะสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสำนักมังกรอาชูร่า ข้าจะไปเพื่อทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะรับเด็กเหล่านี้ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะมาเพื่อนำเด็กเหล่านี้ไปกับข้า”

“ในระหว่างนี้ เจ้าก็ส่งไอ้พวกมนุษย์แก่เฒ่าพวกนี้ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแต่อย่าทำให้เด่นสะดุดตา เข้าใจหรือไม่”

“ข้าขอรับคำสั่ง”

ด้วยการที่เขานั้นกลัวว่าจะต้องทำให้เหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องบาดเจ็บและล้มตาย เฉินเฉียงไม่มีทางเลือกจึงได้เปลี่ยนแผนชั่วคราว เขาจึงตั้งใจว่าจะลองไปที่สำนักอาชูร่าแทน

หากไม่มีทางเลือก เขาจะรอคอยจนกว่าจะนำเด็กมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ไปเพียงคนเดียวและฆ่าทิ้งระหว่างทาง

ระยะทางระหว่างทะเลสาบกระจกและสำนักมังกรอาชูร่านั้นแม้จะห่างกันมากกว่าสามพันไมล์ แต่ด้วยความเร็วของเฉินเฉียงนั้นเพียงแค่วันครึ่งก็เพียงพอ

ความแตกต่างระหว่างสำนักมังกรอาชูร่าและสำนักเต่าดำนั้นที่ดูแตกต่างกันที่สุดคงหนีไม่พ้นที่หนึ่งตั้งตระหง่านกลางภูเขา ส่วนอีกที่หนึ่งนั้นตั้งอยู่ในกลางเมืองใหญ่ ด้วยความแตกต่างของภูมิประเทศและอุปสรรคในการก่อสร้างนี้ทำให้สำนักมังกรอาชูร่าดูแข็งแกร่งและกว้างขวางกว่าสำนักเต่าดำเป็นอย่างมาก

เหนือสิ่งอื่นใดแล้วก็คือตึกจอมพลฮัวจ้งนั้นคือผู้นำของกองกำลังในเขตที่ราบภาคกลางแห่งนี้ ด้วยการสนับสนุนจากตึกจอมพลนี้ทำให้พื้นที่ภาคกลางมีสำนักศึกษาถึงสองแห่ง หนึ่งคือสำนักมังกรอาชูร่า อีกหนึ่งคือสำนักเสือขาว

และนี่จึงทำให้สำนักมังกรอาชูร่าแข็งแกร่งที่สุดในสี่สำนัก

ที่ใกล้ๆกับทางเข้าสำนัก เฉินเฉียงได้หยุดการใช้ก้าวย่างสวรรค์ลงและกลืนกินเม็ดยาสีสันในทันทีก่อนที่จะเดินเข้าไปในสำนักราวกับเป็นที่ที่คุ้นเคย

“หยุดเดี๋ยวนี้”

ในทันทีที่เขาเดินเข้าไป เฉินเฉียงก็ถูกปิดกั้นทางเอาไว้โดยศิษย์สำนักคนหนึ่งที่อยู่ในระดับทหารขั้นสูงที่ตรงประตู

“ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้เข้าเขตสำนักมังกรอาชูร่าได้โดยไม่แสดงตัว”

เฉินเฉียงได้มองไปที่ศิษย์สำนักตรงหน้าด้วยแววตากระหายเลือดและเย็นเฉียบ เขาถ่มถุยน้ำลายออกมาและตรงรี่เข้าไปกระหน่ำตบศิษย์สำนักคนนี้ในทันที

“ไอ้เวรตะไล ข้าไม่อยู่เพียงหนึ่งปีแต่เจ้ากลับไม่รู้จักตงเจี๋ยนแห่งแผนกทองคำเช่นนั้นรึ”

นักรบสายเลือดผู้ที่โดนตบไปนี้ ในตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพเลือดกบปากจากการถูกตบใบหน้านับครั้งไม่ถ้วน นี่ทำให้เขารีบเรียกศิษย์พี่ที่อยู่ข้างหลังเขาในทันที “พี่ อึ้ก ศิษย์พี่ลี่ รีบ..อั้ค..รีบหยุดคน…นี้…”

“โอ้ เชี่ย”

เมื่อเฉินเฉียงได้ยิน เขาได้ยกมือขึ้นมาอีกครั้งและตบศิษย์คนนี้ต่ออย่างไรปรานี “เด็กน้อย เจ้าไม่ควรจะเรียกใครมาช่วยในสิ่งที่เจ้าก่อ ดี ในวันนี้ข้าจะตีเจ้าให้หนักจะได้หลาบจำ”

เมื่อศิษย์คนอื่นที่เฝ้าประตูอยู่นั้นได้เห็นฉากนี้เมื่อมาถึง พวกเขาได้รีบตะโกนร้องห้ามในทันทีเมื่อเห็น “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ได้โปรดหยุดก่อน ศิษย์น้องจางนั้นเป็นเด็กใหม่ที่เข้ามาไม่ถึงปีเองครับ”

“อึกอย่าง ต่อให้ศิษย์พี่เป็นศิษย์สำนักแต่ศิษย์พี่ก็ต้องแสดงตัวก่อนที่จะเข้าและออกประตูนะครับ”

“โฮ่….เจ้าต้องการให้ข้าแสดงบัตรประจำตัวงั้นรึ”

“นี่เจ้าเองก็ไม่รู้แล้วสินะว่าข้านั้นคือใคร”

“ดี ในวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าจดจำข้าไปจนวันตาย”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็เริ่มวิ่งไล่ลูกศิษย์อีกคนที่มาพูดกับเขา และนี่ทำให้เกิดเสียงโวยวายดังลั่นขึ้นที่ทางเข้าสำนัก ไม่นาน ก็มีศิษย์สำนักอีกคนหนึ่งได้มาถึง

“หยุด”

เป็นตอนนี้ที่ลมเฉือนที่บังเกิดมาจากฝ่ามือที่แหลมคมได้พุ่งมาจากด้านหลังของเฉินเฉียงไป ทำให้เขานั้นต้องหลบและแยกออกจากศิษย์ที่เขากำลังไล่ตบอยู่เมื่อครู่

เฉินเฉียงได้หันไปก็พบกับชายคนหนึ่งที่ยืนตัวตรงและสูงสง่ามองมาที่เขา

หากอิงจากข้อมูลของตงเจี๋ยนที่เขาได้รับมาแล้ว เขาจดจำได้ว่าชายคนนี้คือเจิ้งยี่ ผู้ที่คอยเป็นปรปักษ์กับตงเจี๋ยนตลอดเวลา

“ข้าก็นึกว่าใคร เป็นศิษย์พี่เจิ้งนี่เอง”

“ว่าแต่ท่านไม่อายมั่งรึไปที่กล้าลอบกัดคนจากด้านหลังน่ะ”

เจิ้งยี่ได้มองไปยังเฉินเฉียงที่อยู่ในคราบตงเจี๋ยนอย่างดูถูก “ตงเจี๋ยน ต่อให้เราต้องเผชิญหน้ากันแล้วเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถรับมือกับฝ่ามือของข้าได้รึไง”

เมื่อเห็นท่าทางที่หยิ่งยโสแบบนี้ เฉินเฉียงเองก็ชักอยากจะพุ่งเข้าไปทดสอบฝีมือเสียให้ได้ในทันที

แต่ด้วยนิสัยของตงเจี๋ยนนั้น เขาไม่ใช่คนที่จะทำแบบนั้น ยิ่งไปนั้นคือเขาอาจทำให้ต้องเผยตัวตนโดยใช่เหตุ

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงจึงได้เม้มปากและทำตัวสั่นแสดงท่าทางออกมาประดุจดั่งสวะผู้มีนิสัยหาความสุขไปวันๆและไม่คิดจะสู้กับคนที่เหนือกว่า “ข้ากับเจ้าน่ะเหรอ ไม่เห็นน่าสนใจสักนิด ต่อให้เจ้าเก่งกว่าแล้วไง เจ้าจะทำอะไรข้าได้”

“ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งก็จะจบปัญหาได้ทุกเรื่องสักหน่อย สู้ข้าที่รู้จักคนไปทั่วยังจะดีซะกว่า”

“สู้กับเจ้านะ เฮอะ เจ้านั้นไม่คู่ควร”

“น่ารังเกียจ”

เจิ้งยี่ไม่ได้แยแสต่อเฉินเฉียงอีกต่อไป และเป็นตอนนี้ที่มีเสียงหวานแหววได้ดังลั่นขึ้นมาจนได้ยินไปทั่ว

“ตงหลางงงงงง….(ชื่อเล่นที่สาวๆเรียก) เจ้ากลับมาแล้วววว สุดยอดไปเลยยยย”

ไม่ไกลนัก ศิษย์สำนักสองสาวงามได้โบยบินมาหาเขาราวกับผีเสื้อ ทั้งสองได้เกาะแขนเฉินเฉียงคนละข้างก่อนที่จะเริ่มแย่งตัวเขากัน

“ออกไปจากตงหลางของข้านะ”

“ยัยแพศยา แกนั่นแหละที่ต้องออกไปจากตงหลางของข้า”

“ตงหลางงง พูดอะไรหน่อยสิ ไล่นังแพศยาคนนี้ไปให้พ้นๆซะ ข้าเองมีเรื่องจะคุยกับเจ้ามากมายนัก”

เฉินเฉียงรู้สึกได้ถึงปัญหาในทันทีที่สองสาวได้เข้ามาเกาะแกะตน

เขาเองก็ไม่รู้ว่าตงเจี๋ยนนั้นทำบุญด้วยอะไรถึงทำให้สาวสวยทั้งสองภักดีกับเขาขนาดนี้ นี่ผู้ชายบนโลกนี้ตกตายไปหมดแล้วหรืออย่างไร

“ออกไปกันทั้งคู่นั่นแหละ”

เฉินเฉียงได้สะบัดแขนตัวเองออกจากสองสาวที่เกาะแขนจนสำเร็จ “เจ้าสองคนอย่าเพิ่งเข้ามาเกาะแกะข้า ข้ามีเรื่องที่ต้องรีบเร่งไปทำตอนนี้ เดี๋ยวข้าจะไปหาพวกเจ้าทีหลัง ตกลงไหม”

เฉินเฉียงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะให้ทั้งสองสาวผละจากเขาจนล้มคะมำก่อนที่เขานั้นจะพุ่งตรงเข้าสำนักไป

ทั้งสองสาวในตอนนี้อดจะประหลาดใจไม่ได้ที่พวกตนนั้นถูกปฏิเสธจากเฉินเฉียงในคราบตงเจี๋ยน นี่ทำให้พวกเธอยืนนิ่งอึ้งและครุ่นคิดในทันที

“พี่สาวฮัว ท่านว่าตงหลางของพวกเราเปลี่ยนไปรึเปล่า”

“แล้วยังไง พวกเราไม่เจอเขามาปีนึงแล้วนะ เขาจะเปลี่ยนไปบ้างแล้วจะทำไม”

เย่เอ๋อได้มองฮัวเหยาด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวและพูดออกมา “ดูเหมือนว่าตงหลางจะไม่ได้จริงจังกับท่านจริงๆ ไม่อย่างนั้นทำไมท่านถึงไม่เห็นสนใจที่เขาเปลี่ยนไปเลยล่ะ”

“เจ้าว่าไงนะ” ฮัวเหยาได้กระโดดผึงขึ้นมาจากผืนดินราวกับตะปูที่ตั้งตรง เธอชี้ไปที่เย่เอ๋อและพูดออกมาอย่างดังลั่น “ตงหลางนั้นอยู่กับข้าทั้งวันทั้งคืนก่อนที่เขาจะออกไปจากสำนัก เขายังบอกข้าว่าเขานั้นเกลียดกลิ่นตัวเจ้าที่สุดด้วย”

ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองเริ่มที่จะถกเถียงกันอย่างจริงจังที่หน้าสำนัก เฉินเฉียงก็ได้เข้ามาในสำนักมังกรอาชูร่าเรียบร้อยแล้ว

ภายในสำนักแห่งนี้มีอาณาเขตที่กว้างขวางและสะอาดตาเสียยิ่งกว่าตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราซะอีก สิ่งที่น่าตื่นตาที่สุดสำหรับเขาคงหนีไม่พ้นสวนที่ทอดยาวไปตลอดสองข้างทาง ถึงแม้เข้านั้นจะมีข้อมูลของตงเจี๋ยน แต่นั่นไม่ได้บอกโครงสร้างต่างๆของสำนักแต่อย่างใด

ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เขาจึงทำได้เพียงหาทางไปยังสำนักงานของสำนักเพียงเท่านั้น

เป็นตอนนี้ที่กลุ่มศิษย์สำนักมังกรอาชูร่าสิบกว่าคนได้ตรงเข้ามาหาเขา

มีหญิงสาวในชุดสีชมพูที่รายล้อมไปด้วยผู้คน เธอผู้นี้เมื่อเห็นเฉินเฉียงก็มองอย่างนิ่งอึ้งไม่วางตา นี่ทำให้เฉินเฉียงต้องหันไปสบตาเสียมิได้

“ตงเจี๋ยน…..เหรอ ไอ้บ้า ผ่านไปตั้งปีกว่าแล้วพึ่งจะโผล่หน้ามาเนี่ยนะ”

เด็กสาวตรงหน้าเฉินเฉียงได้พุ่งเข้ามาหาเฉินเฉียงอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวได้อย่างชัดถนัดถนี่ เขาก็ได้เผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ออกมา “สาวน้อยของข้า ชุนเต๋าน้อยของข้า ข้าคิดถึงเรือนร่างของเจ้านัก”

หลังจากสิ้นคำพูดที่ฟังแล้วดูขยาดหูนี้ สาวน้อยกลับพุ่งเข้าไปกอดเฉินเฉียงอย่างแนบแน่นสนิทติดทนนาน

เฉินเฉียงนั้นตกตะลึงจนเผลอผลักเธอออกไปพร้อมกับใบหน้าของตนที่แดงระเรื่อ

เป็นตอนนี้ที่ซุนเต๋าน้อยผู้ซึ่งถูกผลักจนก้นจ้ำเบ้ากับพื้นนั้นได้มองเฉินเฉียงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะชี้ไปที่เฉินเฉียงด้วยความโกรธเกรี้ยวและพูดออกมา เจ้า เจ้าไม่ใช่ตงเจี๋ยน บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าเป็นใคร ทำไมเจ้าถึงได้ปลอมมาเป็นตงเจี๋ยนของข้า

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset