ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 167 เว่ยฉิงเชินท้าประลองเฉินเฉียง

บทที่ 167 เว่ยฉิงเชินท้าประลองเฉินเฉียง

ไม่นาน หลินฟานก็ไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง ในที่สุดเขาก็ก้าวขึ้นนำเฉินเฉียงด้วยแต้มคะแนนกว่าสามพันแต้มและกลายเป็นอันดับหนึ่ง

และนี่เองก็ถึงเวลาที่งานประลองสี่สำนักเข้าสู่ช่วงสุดท้าย

“ทุกคน”

เว่ยหยวนตี้ได้ยินขึ้นมาและพูดด้วยเสียงดังลั่น “ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่สามวันแล้ว ข้าคิดว่าพวกเราควรจะบอกศิษย์ในมิติประลองให้ได้รับรู้ไว้”

ทุกคนพยักหน้าในทันทีเมื่อได้ยิน

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน เว่ยหยวนตี้ก็ได้ใส่กำไลสื่อสารและพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น “นักเรียนทุกคนในมิติประลองจงฟัง”

“นับแต่นี้ไปขอให้ทุกคนนั้นเลิกสู้กันได้แล้ว”

“หากมีคนขัดคำสั่งจะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการประลองในครั้งนี้ทันที”

“ตอนนี้ขอให้ทุกคนไปยังทางออกของมิติประลองที่เป็นช่องแสงที่ใกล้ที่สุดและรออยู่ที่นั่น”

กำไลสื่อสารของเว่ยหยวนตี้นี้สามารถติดต่อไปยังในมิติประลองได้เป็นตอนนี้ที่ศิษย์ทุกคนที่ยังเหลือรอดได้ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น

นั่นก็เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว เขาอยู่ในนี้มาเกือบจะหนึ่งปีเต็มแล้ว

มันไม่ง่ายเลยที่พวกเขานั้นจะเหลือรอดมาจนถึงด่านสุดท้ายนี้

ไม่นาน นักเรียนทั่วทั้งมิติประลองก็ได้พุ่งตรงไปยังช่องแสงที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุดที่เปิดอยู่

ในที่สุด หลังจากทุกคนได้ไปอยู่ในตำแหน่งแล้ว ช่องแสงก็ได้ถูกเปิดออก และทุกคนก็ได้เดินออกมาทีละคนสองคน

เมื่อพวกเขาออกมาแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือมองอันดับของตนเอง

เมื่อพวกเขาได้เห็นชื่อของตนติดอันดับ หลายๆคนได้หัวเราะออกมาอย่างบ้าครั้ง นั่นก็เพราะในที่สุดพวกเขาก็อยู่ในอันดับห้าร้อยคนได้สำเร็จ

หลังจากเกิดฉากนี้ไปได้เกือบสี่ชั่วโมง ในที่สุดเหตุการณ์ก็ค่อยๆสงบลง

“หลินฟาน ข้าจะฆ่าเจ้า”

ทุกคนนั้นหยุดเท้าลงในทันทีเมื่อได้เห็นเจิ้งยี่แห่งสำนักมังกรอาชูร่าอยู่ในสภาพที่เดือดดาลและดวงตาแดงก่ำพร้อมถือดาบพุ่งเข้าใส่หลินฟานที่ยังไม่แม้แต่ก้าวออกจากช่องแสงเลยด้วยซ้ำ

“เจิ้งยี่ อย่าได้ก่อเรื่อง”

พลังงานที่มองไม่เห็นได้เข้ามาพันธนาการเจิ้งยี่เอาไว้

ซุนไคได้มองไปที่เจิ้งยี่และพูดออกมา “เจิ้งยี่ ถึงแม้สำนักเราจะต้องพ่ายแพ้ แต่เราก็ไม่อาจทำตัวใหญ่โต และก่อเรื่องอย่างไม่มีเหตุผลได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่มีหน้าที่จะเข้าร่วมประลองได้อีก ถอยออกมาซะ”

เจิ้งยี่ที่ถูกพันธนาการอยู่นั้นพยายามดิ้นรนอีกเล็กน้อยแต่ก็ไม่เป็นผล ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงถอนลมหายใจออกมาอย่างหนัก ดวงตาของเขานั้นจับจ้องไปที่หลินฟานอย่างไม่วางตา แสดงออกมาว่าต้องฆ่าให้ได้เมื่อมีโอกาส

อีกฟากฝั่งหนึ่ง ซุนไคได้โค้งให้กับเว่ยหยวนตี้เล็กน้อยและพูดออกมา “ท่านเว่ย ข้าต้องขอโทษแทนเจิ้งยี่จริงๆ ข้าผิดเองที่อบรมเขาไม่ได้ และให้ท้ายเขาตอนอยู่สำนักมากเกินไป”

เว่ยหยวนตี้ได้ยกมือขึ้นห้ามปรามก่อนที่จะพูดต่อ “ไม่เป็นไรน่า เป็นคนหนุ่มนั่นและเลือดร้อนนั้นย่อมเป็นของคู่กัน”

หลังจากพูดจบ เว่ยหยวนตี้ได้ชี้ไปที่รายชื่อบนหน้าจอแสดงอันดับและพูดต่อทุกคน

“อันดับคะแนนชั่วคราวในตอนนี้ อันดับหนึ่ง หลินฟาน สำนักเสือขาว 67,400 คะแนน”

“อันดับสอง เฉินเฉียง สำนักเต่าดำ 64,128 คะแนน”

“อันดับสาม เจิ้งยี่ สำนักมังกรอาชูร่า 46,120 คะแนน”

“อันดับสี่ เฉียวกัง สำนักเสือขาว 33,200 คะแนน”

“อันดับห้า หลูฟาง สำนักเต่าดำ 33,100 คะแนน”

รายชื่อที่แสดงบนหน้าจอในตอนนี้มีเพียงสิบคนเท่านั้น

“เหล่าลูกศิษย์แห่งสี่สำนัก อย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้ว่าอันดับบนหน้าจอนี้เป็นเพียงอันดับชั่วคราวเพียงเท่านั้น”

“จนกว่าจะถึงการแข่งรอบสุดท้าย ผลคะแนนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก”

“ดังนั้น คนที่ได้คะแนนอันดับต้นๆก็อย่าได้รีบด่วนดีใจไป”

“ส่วนคนที่มีคะแนนอันดับท้ายๆก็ไม่ต้องกังวลไป”

“นั่นก็เพราะการประลองรอบต่อไปนั้นเป็นการประลองแบบตัวต่อตัว”

“หากใครก็ตามที่มั่นใจว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าคนที่ได้แต้มคะแนนที่สูงกว่า พวกเจ้ามีสิทธิ์ประลองได้ทุกคน”

“อย่างไรก็ตาม ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้ก่อนว่าการประลองรอบสุดท้ายนี้อันตรายอย่างมาก”

“นั่นก็เพราะ ศิษย์ที่เข้าร่วมประลองนั้นไม่รับประกันว่าจะมีชีวิตรอดออกมา”

“หากพวกเจ้าพลาด เจ้าอาจจะตกตายอยู่ในนั้น และนั่นหมายถึงว่าเจ้าจะต้องตายจริงๆ”

“ดังนั้น เมื่อใครก็ตามคิดที่จะลงประลอง พวกเขาต้องคิดให้ดี ไม่อย่างนั้น พวกเจ้า นอกจากจะเสียแต้มคะแนนแล้ว พวกเจ้าอาจจะต้องเสียชีวิตไปด้วย”

การแข่งขันแบบท้าประลองเหรอ

ถึงแม้ว่าศิษย์ส่วนมากจะไม่ได้แปลกใจในเรื่องนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฉียงได้ยินเลยก็ว่าได้

นี่ทำให้เขานั้นรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

นั่นก็เพราะตอนที่เขาออกมาจากมิติประลองนั้น เขาพบว่าทุกคนนั้นได้จับจ้องมาที่ร่างกายของเขาทุกสัดส่วนเลยก็ว่าได้

และเมื่อเห็นว่าหนึ่งในนั้นเป็นใครแล้วทำให้เขานั้นปวดหัวอย่างช่วยไม่ได้

เป็นเว่ยฉิงเชิน

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะพอรู้ว่าเธอจะรู้สึกยังไงกับเขาก็ตาม และเขาก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำว่ายังไงซะเว่ยฉิงเชินก็ต้องเข้าใจเขาผิด

แต่เขาก็ไม่นึกว่าความเข้าใจผิดนี้จะถึงขั้นกลายเป็นความเกลียดชังจนแค่มองก็สัมผัสได้แบบนี้

อย่างที่คาดเอาไว้ หลังจากที่เว่ยหยวนตี้พูดจบลง เว่ยฉิงเชินได้ก้าวเท้าขึ้นมาและชี้ไปที่เฉินเฉียงและพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ขุ่นเคืองแบบหมดหัวใจ “ข้า เว่ยฉิงเชิน ศิษย์สำนักวิหคอสนีบาต ขอท้าประลองเฉินเฉียงแห่งสำนักเต่าดำ”

“เยี่ยม” เว่ยหยวนตี้ตบมือดังลั่นและพูดออกมาประหนึ่งดังการยุยงส่งเสริม “ในเมื่อมีคนที่คิดจะเริ่มท้าประลอง ขอให้ทั้งสองคนนั้นมาลงชื่อในสัญญาเป็นตายก่อนที่จะเข้าประลองในสนามนะ”

หลังจากพูดจบ เว่ยหยวนตี้ได้ยกมือขึ้นมาก่อนที่จะจัดแจงเปิดมิติประลองอีกอันหนึ่งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสนามประลอง

“เป็นไปได้ยังไงกัน ไม่ใช่ว่าเว่ยฉิงเชินมีสายสัมพันธ์อันดีกับศิษย์น้องไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเธอถึงได้เป็นฝ่ายท้าศิษย์น้องซะล่ะ”

ที่ฝั่งสำนักเต่าดำ ศิษย์พี่ของเฉินเฉียงเมื่อเห็นว่าฉิงเชินท้าประลองเฉินเฉียงแบบนี้แล้วต่างก็มองหน้ากันไปมาอย่างสับสน

“ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าศิษย์น้องคิดอะไรอยู่ถึงได้ชิงคะแนนทั้งหมดของเว่ยฉิงเชินมาแบบนี้”

“นี่ไม่เพียงทำให้นางไม่อยู่ในอันดับห้าร้อยคนเท่านั้น แม้แต่สำนักวิหคอสนีบาตเองก็ได้ตกไปอยู่ที่สุดท้าย”

“การที่เฉินเฉียงผู้ซึ่งเป็นนายพลวิญญาณขั้นต้นกลับสามารถได้คะแนนจนอยู่ระดับสองได้นั้น คะแนนของเขายังมากกว่าศิษย์พี่เจิ้งยี่ของพวกเราซะอีก นี่ทำให้ยากที่จะยอมรับได้จริงๆ”

“นี่จึงไม่แปลกหากเว่ยฉิงเชินจะขอท้าประลองกับเขา”

“หึ หากเว่ยฉินเชินไม่ท้าประลองไปก่อนล่ะก็ ข้าเองก็คิดจะท้าประลองกับเขาอยู่เหมือนกัน”

หลังจากเว่ยฉิงเชินท้าประลองเฉินเฉียง เสียงพูดคุยมากมายได้ดังขึ้นมา

“เฉินเฉียง เข้าไปได้แล้ว”

เว่ยฉิงเชินได้มองไปที่เฉินเฉียงด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่จะเดินนำหน้าเขาไป

เฉินเฉียงได้มองตามเว่ยฉิงเชินที่นำหน้าเขาไป ก็ได้บังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

“ท่านเว่ย ข้าขอปฏิเสธได้หรือไม่”

“ห้ะ อะไรนะ ปฏิเสธอะไร” เว่ยหยวนตี้ถามย้ำออกมาถึงสามครั้ง

เฉินเฉียงจึงได้พูดออกมาอีกครั้งอย่างชัดเจน “ข้าหมายถึงข้านั้นสามารถปฏิเสธการประลองได้หรือไม่”

เป็นตอนนี้เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงแล้วต่างก็ส่งเสียงตกตะลึงกันออกมา บางคนถึงกับด่าทอกันเลยทีเดียว

“ไอ้ฉิบหาย หน้าไม่อายอะไรขนาดนี้ นี่อ่ะนะคือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายพลเว่ยหวู่น่ะ แหวะ”

“ข้าไม่คิดเลยจริงว่าเฉินเฉียงจะเป็นคนเช่นนี้ เขาไม่กลัวที่จะลงประลองเช่นนั้นรึ”

“ถ้าข้าเป็นเขาล่ะก็ข้าก็ไม่กล้าเหมือนกันอ่ะ นั่นมันระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเลยนะเว้ย”

“แต่ในมิติประลองนั่นไม่ใช่ว่าเฉินเฉียงชนะเว่ยฉิงเชินมาแล้วหรอกเหรอ”

“เจ้าโง่รึเปล่า นั่นย่อมเป็นเพราะว่าเว่ยฉิงเชินนั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับเฉินเฉียง นี่จึงเป็นโอกาสของเฉินเฉียงที่ทำให้เธอแพ้พ่ายโดยไม่ทันรู้ตัวแน่นอนอยู่แล้ว”

“ข้ารู้เลยว่าเว่ยฉินเชิงนั้นคิดแค้นในเรื่องนี้จนอยากจะฆ่าไอ้คนไร้หัวใจคนนี้ต่อหน้าทุกคนเป็นแน่”

หลังจากที่ทุกคนได้พูดคุยกันในเรื่องนี้จนกระจายกันไปทั่ว ท้ายที่สุด ทุกคนได้มองไปที่เว่ยฉิงเชินและเฉินเฉียงด้วยท่าทางที่แตกต่างกันไป

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset