บทที่ 169 ท้าประลอง
ที่บนเวทีนั้น หลู่ฟางที่ยังคงส่งคำท้าออกไปอยู่อย่างห้าวหาญ คิดไม่ถึงว่าเฉินเฉียงจะก้าวขึ้นมา
“ศิษย์น้อง นี่เจ้าจะทำอะไรกัน”
หลู่ฟางได้มองไปยังเฉินเฉียงราวกับจะไล่ให้ลงไป แต่เฉินเฉียงนั้นกลับปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม เว่ยหยวนตี้ที่คิดจะให้มีการประลองให้ได้ก็รีบหยุดเฉินเฉียงเอาไว้
“เฉินเฉียง เจ้าอย่าได้มาก่อเรื่องจะดีกว่า ตัวเจ้านั้นอยู่อันดับสอง เจ้าไม่อาจจะท้าประลองกับอันดับห้าได้”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้านั้นปฏิเสธทุกคนที่ท้าเจ้าไม่ใช่รึ แล้วเจ้าจะขึ้นมาอีกทำไม”
เฉินเฉียงยิ้มก่อนที่จะโค้งคารวะในทันที “เรียนท่านเว่ย ตัวข้านั้นไม่ได้ขึ้นมาเพื่อท้าประลองกับศิษย์พี่ใหญ่ของข้าอยู่แล้ว และข้าก็ยังไม่คิดจะรับคำท้าของใครอยู่ดี”
“แล้วเจ้าจะขึ้นมาทำไม”
“ท่านเว่ย ข้านั้นคือศิษย์สำนักเต่าดำ ทั้งยังเป็นนายพลเว่ยหวู่แห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรา ข้าต้องการท้าประลองกับผู้ได้อันดับหนึ่ง สุดยอดศิษย์ผู้อัจฉริยะแห่งสำนักเสือขาว หลินฟาน”
หลังจากพูดออกมา เฉินเฉียงก็ได้ชี้ไปที่หลินฟานด้วยรอยยิ้ม
คำพูดของเฉินเฉียงนี้ทำให้ศิษย์ที่กำลังรับชมต่างก็พูดคุยกันในทันที
“ว้าวววว กลายเป็นว่าเขาไม่ได้อ่อนแอ เพียงแต่ไม่เห็นคนอื่นในสายตาเพียงเท่านั้น เขานั้นต้องการประลองกับหลินฟานที่แข็งแกร่งกว่างั้นเหรอ”
“หรือว่าเราจะเข้าใจหมอนี่ผิดไป แต่เขาเองก็เป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นต้นเพียงเท่านั้น แล้วเขากล้าไปหาเรื่องกับหลินฟานที่แข็งแกร่งกว่าเนี่ยนะ นี่เขาไม่รู้รึไงว่าพวกเขานั้นต้องลงนามในสัญญาเป็นตายด้วยน่ะ”
“ศิษย์น้อง เจ้าลงไปเดี๋ยวนี้ ข้าขอร้องล่ะ”
“ข้าล่ะสับสนไปหมดแล้ว เจ้าไม่ได้กล่าวคำพูดออกมาเล่นๆใช่หรือไม่”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้ข้าสู้แทนเจ้าและตายแทนเจ้าจะยังดีซะกว่าอีก”
เฉียนฝู่ในตอนนี้ที่ยืนอยู่ข้างๆเว่ยหยวนตี้นั้นเก็บอาการไว้ไม่ได้อีกต่อไป
ต่อให้เขาไม่ค่อยปลื้มกับเฉินเฉียงนัก แต่ผลลัพธ์ในตอนนี้ก็ถือว่าเฉินเฉียงสร้างผลงานให้กับสำนักอย่างมากอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือเฉินเฉียงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศที่พึ่งจะได้รับการบ่มเพาะเท่านั้น แล้วเขาจะปล่อยให้เฉินเฉียงตกตายไปทั้งแบบนี้ได้ยังไง
“เฉินเฉียง ในฐานะที่เจ้าเป็นคนของสำนักเต่าดำของข้า ข้าขอสั่งให้เจ้าลงมาเดี๋ยวนี้”
“ข้อต้องขออภัยผอ.เฉียนจริงๆ แต่ด้วยนี่คือการประลอง ข้าไม่อาจจะขัดกฎได้ และท่านก็ไม่อาจจะไล่ข้าลงไปได้เช่นกัน”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้โค้งขอโทษเฉียนฝู่ชนิดตั้งฉากไปกับพื้น
ในตอนนี้ เว่ยฉิงเชินที่เกลียดชังเฉินเฉียงตั้งแต่ตอนออกมาจากมิติประลองนั้นก็ยังต้องหน้าถอดสีและลนลานเมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงนั้นต้องการที่จะท้าประลองหลินฟาน
เธอนั้นได้สู้กับหลินฟานมาก่อนหน้านี้แล้วและรู้ตัวดีว่าตนเองไม่ใช่คู่มือ แล้วเฉินเฉียงจะไม่เท่ากับไปรนหาที่ตายได้ยังไงกัน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เว่ยฉิงเชินก็รีบวิ่งขึ้นไปบนเวทีและรีบจับแขนเสื้อของเฉินเฉียงไว้และพูดออกมา “พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่านจะทำอะไรกันแน่”
“นั่นมันสนามประลองเป็นตายเลยนะ หากท่านตายในสนามท่านอาจจะตายจริงๆก็ได้”
“ท่านก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าหลินฟานนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน แล้วท่านจะไปรนหาที่ทำไมกัน”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินแบบนี้ก็ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม “ฉิงเชิน นี่เจ้าไม่โทษข้าแล้วสินะ”
“ข้า….”
เมื่อเห็นท่าทางของเว่ยฉิงเชินในตอนนี้แล้ว หลินฉิน ผอ.แห่งสำนักวิหคอสนีบาตก็ได้พูดออกมาอย่างเดียดฉันท์ “ฉิงเชิน กลับมานี่ ในเมื่อเขาจะรนหาที่ตายเจ้าก็สมควรปล่อยคนแบบนั้นไป”
อย่างไรก็ตาม เว่ยฉิงเชินยังคงไม่ยอมปล่อยมือ แถมมองไปยังพ่อของตนด้วยสายตาที่วิงวอนขอร้อง
นี่ทำให้เว่ยหยวนตี้นิ่งอึ้งไป
เขานั้นไม่เข้าใจจริงๆว่าเฉินเฉียงจะเล่นตลกอะไรกัน
ก่อนหน้านี้เขานั้นไม่สบอารมณ์ที่เฉินเฉียงแย่งชิงแต้มคะแนนของลูกสาวตนไป แถมมาในตอนหลังเขายังปฏิเสธคำท้าทั้งหมด นี่จึงทำให้ความนิยมชมชอบในตัวเฉินเฉียงในใจของเขานั้นดิ่งราวกับโยนหินลงเหว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าเด็กนี่จะมากล้าทำเรื่องแบบนี้
นี่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่
“เฉินเฉียง นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ เลิกก่อเรื่องได้แล้ว ถือซะว่าข้าขอก็แล้วกัน เจ้าลงไปกับฉิงเชินซะเถอะ”
ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นยังไงก็ตาม เมื่อเห็นสองพ่อลูกตระกูลเว่ยนั้นห่วงใยเขา เฉินเฉียงก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
——ลุงเว่ย เชื่อข้าเถอะ ข้ามีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้——-
เฉินเฉียงได้ถ่ายทอดคำพูดผ่านจิตสำนึกออกไป เขานั้นไม่ต้องการให้ผู้คนได้ยินคำพูดของเขา
เฉินเฉียงได้หันไปมองหลินฟาน เขาได้ผายมือตรงหน้าไปยังหลินฟานก่อนจะกวักเข้ามาและพูดออกไป “หลินฟาน ศิษย์สุดรักแห่งสำนักเสือขาว มาสิ พวกเรามาลงชื่อในสัญญาเป็นตายฉบับนี้กันก่อนมะ”
หลินฟานได้มองไปที่เฉินเฉียงด้วยท่าทีที่ยากจะบอกได้ก่อน หลังจากผ่านไปพักใหญ่เขาก็ได้พูดออกมา “เฉินเฉียง เจ้าคิดว่าข้านั้นจะรับคำท้าของเจ้ารึไงกัน เจ้ามั่นใจได้ยังไงว่าข้าจะรับน่ะ ฮะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลินฟาน นี่เจ้าต้องให้ข้าพูดดังกว่านี้รึไงกันเนี่ย ข้าบอกเลยว่าถ้าเจ้ารู้เหตุผลแล้ว เจ้าจะรีบวิ่งเข้าไปในลานประลองก่อนข้าซะอีก”
“ไม่เอาน่า…”
“ข้ารับรองได้เลยว่ายังไงซะเจ้านั้นก็อยากประลองกับข้ามากกว่าใครอยู่แล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็ได้เดินไปยังลานพิธีก่อนที่จะลงชื่อในสัญญาเป็นตายและเดินเข้าไปในมิติประลองที่เว่ยหยวนตี้ได้เปิดมิติเอาไว้โดยไม่หันมามองแม้แต่น้อย
เฉินเฉียงนั้นเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเลในทุกย่างก้าวและการเคลื่อนไหว เป็นไปดังคำที่เขาว่าไว้ เขามั่นใจอย่างมากว่าหลินฟานนั้นจะยอมรับประลอง
อย่างที่คิด หลังเฉินเฉียงเข้าไปในสนามแล้ว หลินฟานกลัวเฉินเฉียงจะกลับคำจึงได้รีบลงนามและพุ่งตามเข้าไป
หลังจากหลินฟานเข้าไปในสนามประลองเป็นตายแล้ว เฉินเฉียงก็ได้หันกลับมองหลินฟานด้วยรอยยิ้ม
“เฉินเฉียง ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงว่าทำไมเจ้าถึงมั่นใจนักว่าข้าจะรับคำท้าของเจ้า”
เมื่อเห็นว่าฟลินฟางถามออกมา เฉินเฉียงจิงได้นำกำไลสื่อสารที่เขาก็อบข้อมูลเอาไว้และโยนไปให้หลินฟาน
“ดูเอาเองก็แล้วกัน”
หลินฟานนั้นไม่รู้จริงๆว่าเฉินเฉียงหมายถึงอะไรกันแน่ แต่เมื่อเขาได้เปิดกำไลสื่อสารออกดู ภาพแรกที่เขาเห็นนั้นก็คือตอนที่เขานั้นกำลังใส่แก่นแผ่นพลังงานลงบนร่างของชุนเต๋า ท่าทางของเขานั้นเปลี่ยนไปในทันที
หลินฟานได้กำกำไลสื่อสารของเฉินเฉียงที่โยนให้จนแหลกละเอียดยิบ
เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้นำกำไลสื่อสารออกมาอีกอันหนึ่งและพูดออกมา “หลินฟาน นั่นก็แค่ตัวก๊อบปี้ล่ะนะ ของจริงนั้นอยู่นี่”
หลินฟานได้นิ่งอึ้งไป เขามองไปยังเหล่าศิษย์สี่สำนักที่อยู่นอกมิติประลองแห่งนี้ พร้อมทั้งเว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า หลินฟาน ข้ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครเกี่ยวกับความลับของเจ้า และยังไม่มีใครที่อยู่นอกมิตินี้รับรู้เรื่องของเจ้าเลยสักคนเดียว”
“และนี่เองก็หมายความว่า ตราบใดที่เจ้าล้มข้า ไม่สิ ฆ่าข้าได้ ความลับของเจ้าก็จะคงอยู่ไปตลอดกาล”
หลินฟานถอดถอนลมหายใจอย่างหนักเมื่อได้ยิน
“เฉินเฉียง ข้านั้นยอมรับในความกล้าของเจ้าจริงๆ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านั้นไม่ยอมบอกเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ข้างนอกกัน”
“นี่เจ้ามั่นใจว่าจะฆ่าข้าได้จริงๆงั้นเหรอ”
“แล้วก็ในเมื่อเจ้ารับรู้ความลับของข้าแล้ว ทำไมเจ้าไม่เข้าร่วมกับข้าและกลายเป็นสายลับภายในเผ่าพันธุ์มนุษย์และคอยรับใช้มนุษย์หลายพันธุ์ซะล่ะ”
“บรืออออออ” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินฟานแล้วเฉินเฉียงก็นึกถึงฉากฆ่าล้างผู้บริสุทธิ์ของพวกมนุษย์กลายพันธ์เสียทุกครั้ง
“หลินฟาน ยังไงซะข้าก็ต้องรายงานเรื่องของเจ้าอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ในตอนนี้”
“หากพูดถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของข้ากับเจ้านั้น ข้าบอกได้เลยว่าข้าไม่ได้มั่นใจที่จะชนะ”
“แต่ข้านั้นก็ทำได้เพียงพนันดูเท่านั้น”
หลังจากพูดจบ ธนูดำก็ได้ปรากฏในมือของเฉินเฉียง
เมื่อเห็นธนูดำของเฉินเฉียงนี้ หลินฟานจึงได้เข้าใจ
“เป็นเจ้า”
“ใช่แล้ว หลิวหลางยังไงล่ะ แต่นั่นก็เป็นเพียงทักษะเปลี่ยนรูปลักษณ์ที่ข้าได้มาจากพวกแกเพียงเท่านั้นล่ะนะ”
“ไม่มีทาง เฉินเฉียง ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดเจ้าเองก็ควรจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เหมือนกัน”
อย่าบอกข้าว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีเทคนิควิธีการเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ระดับนี้