บทที่ 178 พาหยานเสวี่ยจากไป
ด้วยการที่คำพูดของเฉินเฉียงนั้นเป็นความจริงอย่างที่สุดจนทำให้จ้าวฮั่นไม่กล้าที่จะโต้เถียงออกมาสักคำเดียว เมื่อเห็นฉากนี้ ทั้งเฉียนฝู่และจ้าวหยางจึงทำได้เพียงเชื่อคำพูดของเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น
“หลังจากเรื่องทั้งหมดนี้ ข้าเห็นว่ามันเป็นหลานของจ้าวหยางจึงไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย แต่เป็นมัน ข้าไม่คิดว่ามันจะไม่ยอมเลิกรา ขนาดข้านั้นถูกตราหน้าว่าตกตายไปแล้ว ข้าก็เชื่อว่าไอ้ตัววายร้ายหน้าไม่อายคนนี้ก็ยังคิดจะฆ่าข้าอยู่จนถึงทุกวันนี้เลยล่ะมั้ง”
“แล้วทุกคนยังคิดจะโกรธเพื่อมันเนี่ยนะ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกท่านคงจะคิดให้ข้ายื่นหัวให้มันตัดทิ้งเสียตรงนี้เลยกระมัง”
เมื่อเฉินเฉียงพูดมาถึงจุดนี้ ทั้งเฉียนฝู่และจ้าวหยางไม่พูดอะไรออกมาแก้ตัวได้เลยสักคำ
แต่ถึงกระนั้นจ้าวฮั่นก็ยังคงไม่ยอมแพ้
“เฉินเฉียง ที่แกพูดออกมานั้นมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วทั้งนั้น ไม่ว่ายังไงแกก็ไม่ควรจะปล่อยให้หลินฟานทำร้ายข้าไม่ใช่รึไงกัน”
“ข้า…..เหรอ”
เฉินเฉียงได้มองไปยังท่าทางของเฉียนฝู่และทุกคนในตอนนี้ และด้วยท่าทางของทุกคนแล้วทำให้เขานั้นรู้สึกรังเกียจขึ้นมาจนหัวใจเย็นยะเยียบในทันที
และนี่เองทำให้เฉียนฝู่นั้นยังคิดว่ามันเป็นความผิดของเฉินเฉียงด้วยซ้ำ
“นี่แกจะพูดจนกว่าข้าจะตกตายไปตรงหน้าให้ได้เลยสินะไอ้@#X$!!!! ไอ้ตัวดักดาน ในมิติประลองนั่นน่ะมันก็เป็นเพียงมิติเสมือนไม่ใช่รึไงกัน ตราบใดที่แกไม่ได้ตกตายอยู่ในปากสัตว์ประหลาด อย่างมากแกก็แค่โดนเตะออกมาจากมิติประลองนั่นแล้วมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข”
“ก็จริงที่ตอนนั้นที่บัตรประจำตัวของเจ้าอยู่ในแหวนที่สวมไว้ในมือที่หลินฟานมันตัดขาด แล้วทำไมแกไม่ฆ่าตัวตายไปซะ”
“แถมในตอนนั้นข้ายังเห็นแกยินดีปรีดาที่ได้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ซะด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินคำด่าของเฉินเฉียงไปนี้ จ้าวฮั่นก็ราวกับจะพึ่งนึกออกว่ามีวิธีนี้อยู่
อย่างไรก็ตาม เขานั้นมีความกล้าพอที่จะฆ่าตัวตายจริงๆรึเปล่าถึงแม้ว่ารู้อยู่แล้วว่าจะกลับมามีชีวิตอยู่ได้ก็ตาม
ต่อให้ย้อนกลับไปได้ เขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะทำ
ในขณะเดียวกัน เจิ้งยี่และซุนเต๋านั้นเมื่อได้ยินก็ทำเพียงก้มหน้าลงอย่างนึกเศร้าเสียใจยิ่งกว่าเดิม
นั่นก็เพราะทั้งสองคนไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน
เฉินเฉียงได้พูดถึงเหตุผลอื่นขึ้นมาเสริมในทันที “จ้าวฮั่น แกบอกว่าข้าไม่ช่วยเจ้า ในเมื่อข้าเองก็ตกเป็นเป้าหมายของหลินฟานที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์เหมือนกัน นั่นหมายความว่าเจ้าต้องการให้ข้านั้นยอมตายเพื่อช่วยเจ้าเนี่ยนะ”
“ในตอนนั้นด้วยระดับการบ่มเพาะของข้า ข้าไม่มั่นใจว่าจะสู้กับหลินฟานได้”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือต่อให้ข้าเข้าไปช่วย ข้าจะทำอะไรได้สักแค่ไหนกัน”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ข้าจะยังคงเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่าก็ไม่รู้”
“แล้วถ้าข้าออกมาเฉยๆ แล้วข้าจะเอาอะไรไปเปิดโปงมัน”
“ช่างน่าหัวร่อนัก”
“นี่ขนาดในการประลองเป็นตายของข้ากับหลินฟานยังถูกขัดขวางได้โดยง่าย ข้าขอถามหน่อยเถอะว่าถ้าอยู่ๆข้าพูดออกมาจะมีท่านผู้ประเสริฐคนไหนเชื่อคำของข้า”
“เอาจริงๆนะ แค่ข้าพูดออกมาข้ายังคงถูกพวกสำนักเสือขาวรุมฆ่าตายนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”
หลัวเฟิงที่ได้ยินก็มองเฉินเฉียงอย่างโกรธเคียงในทันที เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงยกมือห้ามในทันใด “ผอ.หลัว ท่านไม่ต้องมาเถียงว่าข้านั้นพูดไม่ถูก นี่ท่านไม่คิดว่าสำนักเสือขาวของท่านนั้นทำตัวกร่างเกินไปแล้วน่ะ นี่ถึงขนาดแหกกฎการประลองเป็นตายเลยนะ แล้วมีเรื่องอะไรบ้างที่พวกท่านจะทำไม่ได้”
หลังจากพูดเรื่องของจ้าวฮั่นเสร็จแล้ว เฉินเฉียงได้เดินไปยังสำนักมังกรอาชูร่าและเมื่อพบว่าผอ.แผนกศึกษามองมาที่เขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขาทำได้เพียงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเพียงเท่านั้น “ดูเหมือนว่าท่านผอ.เสี่ยวจะโทษข้าที่ไม่ยอมช่วยลูกสาวของท่านเหมือนกันสินะ”
“ฮึ่มมม” ผอ.เสี่ยวได้หันหัวไปทางอื่นในทันทีและเมินเฉินเฉียงในทันใด
“เฉินเฉียง ก็มันไม่ถูกไม่ใช่รึไงกัน ไม่ว่าจะยังไง เจ้าเองก็อยู่ที่สำนักมังกรอาชูร่ามาร่วมเดือน เจ้าไม่รู้สึกละอายหรือสำนึกผิดเลยรึไงกัน”
ซุนไคแม้จะพูดมาแบบนี้ แม้เขาจะนึกคับข้องใจอยู่บ้าง แต่เขาเองก็ไม่ได้โทษเฉินเฉียงแต่อย่างใด
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผอ.ซุนท่านก็พูดเกินไป ท่านก็เห็นแล้วนี่ว่าชุนเต๋านั้นปฏิบัติกับเพื่อนสนิทของเธอยังไงบ้าง ”
“หลังจากนั้นทั้งสองคนนี้ยังร่วมมือกับหลินฟานเพื่อทำร้ายผู้คนอีก ท่านก็น่าจะเห็นไปแล้ว”
“ข้าขอพูดตรงๆเลยนะว่าไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะช่วย แต่ข้านั้นไม่มีความสามารถที่จะช่วยทั้งสองคนนี้ได้จริงๆ”
“แต่เมื่อเห็นตัวตนที่ต่ำทรามของทั้งสองคนนี้แล้ว ข้ากล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าต่อให้ข้าย้อนกลับไปได้ข้าก็ไม่มีทางช่วย”
“ท่านคงยังไม่รู้กระมังว่าเป็นฟางยี่ที่หลอกศิษย์พี่เจิ้งยี่ให้มาพบกับหลินฟานเพื่อให้เขานั้นทำตามแผนได้สะดวกยิ่งขึ้นน่ะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ด้วยระดับการบ่มเพาะของพี่เจิ้งยี่มีหรือที่จะพลาดท่าตกตายได้โดยง่าย”
“ผอ.ซุนลองถามศิษย์พี่เจิ้งดูก็ได้ว่าทำไมเขานั้นถึงได้ดูโศกเศร้าในขณะที่คุกเข่าจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะเขานั้นนึกโศกเศร้าในเรื่องนี้”
“เขาไม่คิดว่าศิษย์สำนักเดียวกันจะเข้าร่วมกับมนุษย์กลายพันธุ์แล้วมาเล่นงานเขาได้ในที่สุด นี่ทำให้เขานั้นรู้สึกหมดเรี่ยวแรงที่จะพูดเรื่องนี้ออกมา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ซุนไคก็เริ่มรับรู้ถึงสาเหตุที่ว่าทำไมเจิ้งยี่ถึงได้มองฟางยี่ด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลานับจากออกมา นี่ทำให้เขานั้นเข้าใจได้ในที่สุด
“เจิ้งยี่ เจ้าคงลำบากใจมากสินะ ” ซุนไคพูดก่อนจะถอดถอนลมหายใจออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จิตใจของเจี้งยี่ในตอนนี้ราวกับถูกปลดปล่อย เขาที่คุกเข่าอยู่แล้วก็ได้ทรุดตัวลงไปกับพื้นและเริ่มร้องไห้ออกมา
“ไม่เป็นไรนะ เจิ้งยี่ อย่าเศร้าไปเลย ข้าไม่โทษเจ้าในเรื่องนี้หรอกนะ”
ซุนไคได้ดึงเจิ้งยี่ให้ลุกขึ้นยืนในทันที
หลังจากนั้น เฉินเฉียงได้หันกลับไปพูดกับเว่ยหยวนตี้ในทันที “ท่านลุงเว่ย ขอต้องขอโทษด้วยจริงๆ ไม่ใช่ว่าข้านั้นต้องการช่วงชิงคะแนนมา แต่เป็นข้าที่ไร้ความสามารถจริงๆในตอนนั้นจึงทำได้เพียง….”
“ศิษย์พี่ใหญ่เฉินเฉียง ข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะท่าน ในตอนนั้นข้าเองก็สมควรจะถูกฝังแผ่นแก่นพลังงานไว้ในร่างแล้ว”
“ศิษย์พี่ใหญ่เฉินเฉียง เป็นความผิดของข้าเองที่อ่อนไหวเกินไปและทำให้ข้าโทษท่านในเรื่องนี้ ข้าขอโทษ”
เว่ยฉิงเชินที่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้เดินเข้ามาด้วยน้ำตาที่นองหน้า
“ฉิงเชิน” เฉินเฉียงมองไปยังฉิงเชินที่เดินเข้ามาพร้อมกับท่าทางที่เปลี่ยนไป “ฉิงเชิน แล้วองครักษ์หยานล่ะ เธอเป็นยังไงบ้าง”
“อ้ะ องครักษ์หยานนั้นเริ่มรู้สึกตัวแล้ว ข้าเลยคิดจะมาบอกท่านในเรื่องนี้ และนี่ทำให้ข้าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่ท่านพึ่งจะพูดไป”
“องครักษ์หยานตื่นแล้วเหรอ” เฉินเฉียงมีความสุขขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแจ้งและรีบวิ่งไปที่เต็นท์หนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ของแขกผู้ทรงเกียรติในทันที
“อ้อ ลุงเว่ย ท่านควรจะคืนแต้มคะแนนให้ฉิงเชินด้วยนะ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในตอนนี้ ดังนั้นท่านเองไม่ควรจะนำแต้มคะแนนไปจากลูกสาวของท่าน”
“ด้วยระดับการบ่มเพาะของเธอแล้ว ข้าเชื่อว่าไม่มีใครกล้าคัดค้านหรอก”
“ตอนนี้ข้ามีเรื่องต้องทำ เดี๋ยวพวกเราเข้ามาพูดเรื่องนี้ต่อทีหลัง”
เมื่อเห็นเฉินเฉียงจากไปจากพื้นที่ เจิ้งยี่ลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปถามซุนไค “ท่านผอ. โปรดอนุญาตให้ข้าไปพบเฉินเฉียงด้วย ข้ามีบางเรื่องที่จะต้องถามเขา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไปเลย แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นอีกล่ะ”
ในทันทีที่เฉินเฉียงได้เข้าไปในเต็นท์ก็ได้พบกับหยานเสวี่ยที่พยายามจะพยุงตัวขึ้นมา
“องครักษ์หยาน”
เฉินเฉียงรีบกดตัวหยานเสวี่ยให้นอนลงในทันที “องครักษ์หยาน ท่านบาดเจ็บหนักนะ พักซะก่อนจะดีกว่า”
“ออกไปให้ห่างจากข้านะ” หยานเสวี่ยตะคอกออกมาด้วยเสียเย็นยะเยียบแต่ไร้เรี่ยวแรง
เฉินเฉียงถึงกับต้องเกาหัวแกรกๆในทันทีก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “ท่านเองก็ช่วยข้าอย่างสุดชีวิต แล้วทำไมท่านดูเย็นชากับข้าอยู่อีกล่ะ”
“หึ ข้าแค่ทำตามคำสั่งเพียงเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
“อุ๊ก…หะหะโหดร้าย….” เฉินเฉียงใช้มือปิดปากและแสดงละครออกมาว่าเศร้าสร้อยอยากหนัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยจึงได้เลิกเล่นและนำเม็ดยาฟื้นฟูออกมาจากแหวน
“กินยานี่ซะ มันจะช่วยให้ท่านดีขึ้น”
หยานเสวี่ยรับเม็ดยาไว้ เธอมีท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุด เธอก็กลินมันลงไป
“แค่กแค่ก” หยานเสวี่ยได้ไอออกมาอย่างรุนแรง เธอมองไปรอบๆก่อนที่จะพูดออกมา “เฉินเฉียง ข้าต้องออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้ มีเพียงราชาเท่านั้นที่ช่วยข้าได้”
“ห้ะ ท่านจะไปได้ยังไง ที่นั่นมันไกลมากเลยนะ” เฉินเฉียงรู้ดีว่าหากเว่ยหยวนตี้รู้สถานะของเธอเข้าล่ะก็ ไม่เพียงเขาจะช่วยไม่ได้แถมเขาจะซวยไปด้วย
“ตราบใดที่พวกเราออกจากที่นี่ ข้ามีวิธีติดต่อกับท่านราชา”
“ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้เข้าไปช่วยพยุงหยานเสวี่ยให้ลุกขึ้นและเตรียมที่จะดำดินออกไป
เป็นตอนนี้ที่เจิ้งยี่ได้เข้ามาจากด้านหลัง