บทที่ 232 สถานการณ์
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ”
เฉินเฉียงรีบอธิบายออกมาในทันที “องครักษ์หยาน มันเป็นเพราะข้านั้นยังรู้สึกว่าตัวข้าที่อยู่ในระดับขั้นกลางนี้ยังไม่มีความสามารถพอเพียงเท่านั้น ด้วยทักษะของข้าในตอนนี้จะทำงานให้ราชาสวรรค์ออกมาได้ดีได้ยังไงล่ะ ท่านไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”
หยานเสวี่ยได้มองเฉินเฉียงด้วยใบหน้านิ่งเงียบอยู่นานก่อนที่จะส่ายหัวแล้วพูดออกมา “ไม่หรอก ข้านั้นรู้สึกได้ว่าตัวเจ้านั้นมีอะไรบางอย่างที่ผิดแผลกไป ยังไงก็ตาม ก่อนจะออกจากเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ เจ้าต้องมากับข้าและออกจากที่นี่ไปด้วยกัน หลังจากนั้นค่อยไปพบราชาสวรรค์กับข้า ส่วนเรื่องที่เหลือ แล้วแต่ราชาสวรรค์จะตัดสินใจ”
เพื่อเห็นแก่ความอยู่รอดของกองกำลังเทียนเว่ย เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ
ไม่นาน เหล่านายพลทักษะพิเศษก็ถูกกวาดล้างโดยจางหยวนและพวก แต่นี่เองก็ทำให้คนในกองกำลังบาดเจ็บไปกว่าครึ่งเช่นเดียวกัน
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หลังจากคนในกองกำลังรักษาตัวเสร็จแล้ว พวกเขาก็เริ่มขุดเหมืองแก่นวิญญาณเหมืองนี้กันต่อ
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง องครักษ์หยานคนนั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เหรอ หรือว่าเขาเป็นเหมือนกับท่านที่ได้เรียนพลังของพวกเหนือมนุษย์น่ะ”
ฉิงเชินลอบกระซิบถามในขณะที่กำลังขุดแก่นวิญญาณอยู่ข้างเฉินเฉียง
“ข้าจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ อาจจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆล่ะมั้ง” เฉินเฉียงตอบออกไปแบบขอไปที
“ไม่น่านะ หากเธอเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้วทำไมเธอไม่ช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาเลยล่ะ”
“แต่ถ้าไม่ใช่จริง ทำไมพวกมันถึงเรียกเธอว่านายท่านกัน”
“เรื่องนี้ช่างน่าแปลกนัก”
หลังจากที่ถามคำถามที่ไม่ได้คำตอบ และยิ่งตอบด้วยตัวเองก็ยิ่งสร้างความสับสนให้ตัวเอง นี่จึงทำให้เว่ยฉิงเชินเลิกถามไป
และยิ่งนึกถึงว่าหากหยานเสวี่ยเป็นคนลงมือเองในตอนนั้นแล้ว ด้วยความสามารถที่เหนือล้ำของเธอ จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ก่อกวนยียวนหรือตั้งตนเป็นศัตรูกับเธอจะดีซะกว่า
หยานเสวี่ยได้นั่งลงอยู่นิ่งๆคนเดียวห่างๆ เธอไม่แม้แต่จะสำรวจแก่นวิญญาณ หรือคิดที่จะพูดคุยกับคนในกองกำลังเลยสักคน
สองวันผ่านไป หลังจากที่ขุดแก่นวิญญาณในเหมืองจนหมดสิ้น หยานเสวี่ยก็ได้เดินเข้าไปหาเฉินเฉียง
“เฉินเฉียง จะคิดจะทำอะไรต่อไป”
“อย่ามาเรียกข้าว่าเฉินเฉียงสิ ตอนนี้ข้าชื่อหลิวหลาง”
เพื่อป้องกันไม่ให้สถานะของตนต้องเปิดเผย เฉินเฉียงได้ใช้รูปลักษณ์แฝงในขณะที่อยู่กับคนในกองกำลังของตน
เจิ้งยี่ได้ก้าวเดินตรงมาอย่างหยานเสวี่ยและกัดฟันแน่นเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “ฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์”
“ใช่ เจิ้งยี่นั้นพูดได้ถูกต้องแล้ว หน้าที่ของพวกเราก็คือการกวาดล้างมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดในเขตแดนแห่งนี้”
หยานเสวี่ยเหลือบตามองเจิ้งยี่และพวก ก่อนจะหันไปถามเฉินเฉียงออกมา “คนพวกนี้เชื่อใจเจ้ามากมายขนาดนี้เหลยเหรอ”
“แน่นอนสิ ทุกคนในที่นี้คือพี่ชายน้องชายที่ดีของข้าทั้งสิ้น”
หยานเสวี่ยพยักหน้ารับประหนึ่งพึงพอใจ “เอาล่ะเฉินเฉียง ไม่สิ หลิวหลาง หลังจากนี้อีกหนึ่งปีครึ่ง พวกเราจะออกจากเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้”
“ในช่วงระหว่างนั้น ภายในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ยังมีสมบัติอีกนับไม่ถ้วน แต่สมบัติที่มีค่าที่สุดนั้นก็คือบันไดสู่สรวงสวรรค์”
“หากจะให้ข้าออกความเห็นนั้น จะเป็นการดีหากว่าพวกเรารีบไปที่นั่น หากว่าพลาดโอกาสไม่ได้ไปล่ะก็ การได้เข้าในเขตแดนจักรพรรดิในครั้งนี้จะเรียกได้ว่าสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง”
“บันไดสู่สรางสวรรค์เหรอ”
เฉินเฉียงได้พูดย้ำออกมาก่อนที่จะหันไปมองยังทุกคนในกองกำลัง
เป็นตอนนี้ที่เจิ้งยี่ได้ก้มหน้าคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าแล้วพูดออกมา “กัปตัน นางพูดถูกแล้ว”
“ก่อนที่จะแยกจากมานั้น ผอ.ซุนได้พูดกับข้าเอาไว้ว่ามีสถานที่แปลกๆอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิที่ราวกับจะนำพาสู่สรวงสวรรค์ได้”
“ข้าได้ยินมาว่าถึงแม้กองกำลังของทั้งสามเผ่าพันธุ์จะฆ่าแกงกันอย่างล้มตายมาก่อนหน้านั้นขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่ออยู่ที่นั่นจะไม่อาจสู้รบกันได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกทำลายโดยพลังของพื้นที่นั้นในทันที”
“นี่จึงทำให้บันไดสู่สรวงสวรรค์นั้นเป็นพื้นที่ที่ทั้งมนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ”
“แล้วข้าได้ยินมาว่าหากใครก็ตามที่ได้ปีนขึ้นบันไดนั่น จะได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต”
นี่แสดงให้เห็นถึงว่าสำนักอันดับหนึ่งแห่งเขตภาคกลางมีข้อมูลที่ลึกล้ำเหนือกว่าสำนักเต่าดำและสำนักวิหคอสนีบาตอยู่อย่างมาก
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ดีๆแบบนี้ มีหรือที่เฉินเฉียงจะไม่แวะเวียนไป
ในช่วงเวลาหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมานั้น พวกเขาได้เก็บแก่นวิญญาณมามากมาย แถมยังฆ่าสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ไปไม่น้อย ต่อให้ต้องออกไปตอนนี้เลยก็ยังถือว่าพวกเขาได้สร้างผลงานให้กับมนุษยชาติได้อย่างมากมายแล้ว
“เมื่อเป็นอย่างนั้นล่ะก็ เป็นการดีเหมือนกัน จางหยวน องครักษ์หยานและข้าจะนำไปก่อน หากมีอะไรเกิดขึ้น พวกเราจะติดต่อเจ้าผ่านกำไลสื่อสารกลับมาแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยและเฉินเฉียงก็ได้ทะยานขึ้นฟ้าเพื่อไปลาดตระเวนให้กับกองกำลังเทียนเว่ย
หลังจากทั้งสองลับตาไป กองกำลังเทียนเว่ยทุกคนต่างก็เริ่มพูดคุยกัน
“น้องฉิงเชิน เจ้าเคยพบองครักษ์หยานมาก่อนใช่รึเปล่า เธอนั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆเหรอ”
“พี่หลัวหลัน ข้าไม่รู้ในเรื่องนี้เลยจริงๆ เท่าที่ข้าได้ยินมานั้นคือนางที่มาปรากฏตัวตอนช่วงท้ายงานประลองสี่สำนักนั่น เป็นเพราะมาช่วยเหลือพี่ใหญ่เฉินเฉียงตามคำสั่งอาจารย์ของพี่ใหญ่เฉินเฉียงเพียงเท่านั้น”
“แต่เมื่อก่อนหน้านี้นั้น นางเองทำตัวราวกับเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆเลยนะ”
“แต่ก็อีกนั่นล่ะ เธออาจจะเป็นแบบเดียวกับพี่ใหญ่เฉินเฉียงที่ได้เรียนรู้วิธีใช้พลังเหนือมนุษย์กลายพันธุ์มาเฉยๆก็ได้”
“เฮ้ออออ ด้วยข้อมูลในตอนนี้นั้นช่างน่าสับสนนัก นี่ทำให้ข้าเองไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
“รองกัปตัน ท่านคิดว่ายังไงล่ะ”
“จางหยวนส่ายหัวไปมาในทันที “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน หากว่าองครักษ์หยานไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์จริง ทำไมนางถึงได้นำพามนุษย์กลายพันธุ์มาที่นี่ได้กัน”
“แต่ในทำนองเดียวกัน หากว่านางเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริง ทำไมนางถึงไม่ยอมช่วยมนุษย์กลายพันธุ์และถือพวกเราเป็นศัตรูไปเลย นี่ช่างน่าแปลกนัก”
“นี่ยิ่งทำให้ข้ายิ่งรู้สึกว่ากัปตันของพวกเรานั้นกลายเป็นคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาวกับดำ ถูกและผิด ดีและชั่วยังไงก็ไม่รู้”
“ถึงแม้กองกำลังของเขานั้นจะมุ่งเน้นในการเข่นฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์ แต่ในตอนนี้ แม้แต่มนุษย์กลายพันธุ์เองก็ยังเป็นหนึ่งในพวกเรา”
“นี่ข้ายังนึกไม่ออกเลยนะเนี่ยว่ากัปตันจะนำพาพวกเราไปทางไหน”
จางหยวนเมื่อพูดจบก็สังเกตเห็นใบหน้าที่ครุ่นคิดของเจิ้งยี่จึงรีบพูดออกมา “เจิ้งยี่ ข้าไม่ได้คิดว่าอะไรเจ้านะ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป”
เจิ้งยี่ที่พึ่งกลับจากความคิดก็เพียงแค่หยิบเตกีลาออกมาจากแหวนของตนและกระดกไปหนึ่งทีแล้วพูดออกมา “ไม่เป็นไรหรอกน่า คำพูดของท่านนั้นมันก็แค่ตรงกับความคิดข้ามากเกินไปเพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์นั่นไม่ได้มีอะไรกับข้าอยู่แล้ว เพราะข้าเองก็คิดว่าจะฆ่าพวกมันเหมือนกัน”
ที่ผ่านมานั้น เจิ้งยี่นั้นเป็นที่รู้จักโดยหลู่ฟางและคนอื่นๆอยู่แล้ว ในฐานะคนที่ถูกสวรรค์รักใคร่
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเขานั้นต้องเปลี่ยนไปเพราะถูกหลินฟานทำให้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ นี่ทำให้แม้แต่เจิ้งยี่เองก็ยากที่จะยอมรับในเรื่องนี้
และเพื่อไม่ให้เจิ้งยี่ต้องขุ่นเคืองใจ พวกเขาจึงเลิกที่จะพูดถึงเรื่องนี้
“เดี๋ยวนะ กัปตันส่งข้อความมาบอกว่าให้พวกเรารอก่อนอย่าพึ่งออกไป”
จางหยวนได้ยกมือขึ้นมาบอกทุกคนให้หยุดอย่าพึ่งเคลื่อนไหว
“ไม่ใช่ว่าเขาไปพบเจออันตรายอะไรนะ ทำไมเราไม่รีบตามไปดูกันล่ะ”
“ไม่ได้ ศิษย์พี่หลู่ ต่อให้พวกเขาจะเจอปัญหาก็จริง แต่เชื่อข้าเถอะว่าด้วยท่าเท้าของกัปตันนั้นสามารถหลบหนีออกจากอันตรายได้อย่างแน่นอน ท่านไม่ต้องกังวล แต่รอสักหน่อยก็พอ”
อีกด้านหนึ่ง เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยผู้ซึ่งออกมาลาดตระเวนเพื่อเปิดทางของทุกคนนั้น ด้วยการที่พวกเขาบินอยู่บนฟ้าสู
จึงได้พบเห็นผู้คนกว่าสิบคนเคลื่อนไหวอยู่ถ้ำตรงหน้าพวกเขา
ก่อนที่จะรู้ถึงตัวตนของคนเหล่านี้แล้ว เฉินเฉียงจึงได้ส่งข้อความไปบอกจางหยวนเพื่อให้รอไปก่อน
“องครักษ์หยาน พวกนี้มันมนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์กันล่ะนั่น”
องครักษ์หยานได้พูดออกมาอย่างไม่แยแส “ใครจะเป็นสนว่าเป็นฝั่งไหนกัน ที่ข้าสนนั้นมันเป็นสิ่งที่อยู่ในถ้ำนั่นต่างหาก”