บทที่ 87 ทรัพยากรเหลือล้น
“….อาจารย์ ท่านหมายความว่าผอ.ต้องการฝึกฝนข้าอย่างนั้นรึ”
ฮู่ต้าไฮ่พยักหน้ารับ “ใช่ เฉินเฉียง เจ้าเองได้ออกไปทำภารกิจในครั้งนี้จนได้เห็นฉากที่อาณานิคมเขาอูฐถูกกวาดล้างมาแล้ว และยังมีเรื่องอย่างถูหมั่นเถียนและกองโจรของมันที่ก่อเรื่องไว้อีก ข้าเชื่อว่าเจ้าเองสมควรจะเกิดความรู้สึกบางอย่างต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่ครับ”
“เจ้าเองก็สมควรจะได้รับรู้แล้วว่าสำนักเรานั้นแม้จะเน้นในเรื่องทักษะในการต่อสู้ จนถึงกับสร้างลานประลองเป็นตาย แต่นั่นก็ช่างประสบการณ์ได้เพียงน้อยนิด”
“มีเพียงผู้ที่ก้าวเดินและผ่านประสบการณ์จริงมาแล้วเท่านั้นที่จะได้รับประสบการณ์ต่อสู้ที่มากล้น”
“และข้าขอถามอีกข้อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมสำนักไม่ขอให้เจ้าสลายความแค้นกับจ้าวฮั่น”
“เหตุผลนั้นก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับการที่ผอ.มอบแก่นโลหิตนั่นให้กับเจ้าต่อหน้าทุกคน”
“เมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เรานั้นต้องอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นภัยคุกคามได้ตลอดเวลาแบบนี้เพื่อเอาชีวิตรอด ทั้งการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดและสัตว์กลายพันธุ์ แต่พวกเรายังต้องมาเผชิญหน้าความขัดแย้งภายในระหว่างเผ่าพันธุ์ซะอีก”
หรือก็คือ การที่มนุษย์นั้นจะอยู่รอดในสิ่งแวดล้อมที่โหดร้ายแบบนี้ ไม่เพียงจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูภายนอก แต่ยังจำเป็นต้องรักษาความร่วมมือร่วมใจภายในเผ่าพันธุ์ไว้ให้ได้ นี่คือสิ่งที่เฉินเฉียงได้สัมผัสประสบการณ์นี้มาอย่างลึกสุดใจ
ยิ่งการบ่มเพาะที่เพิ่มสูงขึ้น โลกที่เขาต้องเผชิญหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้น นี่ทำให้เฉินเฉียงนั้นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันคืนอันสงบสุข ยามที่อยู่อาณานิคมเขาหมางจริงๆ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขานั้นจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในอาณานิคมเขาหมางแต่อย่างใด
ตัวอย่างเช่น ด้วยการที่สมาชิกของทีมเก็บกู้ซากศพนั้นต่ำต้อย แม้แต่เนื้อสักชิ้น ผู้อาวุโสซุนเองก็ต้องแอบกินไม่ให้ใครเห็นอยู่นาน
หรืออย่างเรื่องผู้ใหญ่ที่เป็นเพศชายที่อยู่ในอาณานิคม หากพวกเขาไม่สามารถปลุกพลังสายเลือดขึ้นมาได้ เขาเองก็ไม่มีสิทธิที่จะให้กำเนิดบุตร เมื่อเทียบกับนักรบสายเลือดระดับทหารขั้นสูงที่มีภรรยาชนิดที่แทบจะมีทิ้งมีขว้างเป็นว่าเล่น ไหนจะเรื่องอื่นอีก
แต่นั่นเองก็ยังเทียบไม่ได้กับประสบการณ์ที่เขาเคยได้รับมา
ก็คือการที่ต้องเผชิญหน้ากับถูหมั่นเถียน ขยะโสโครกแห่งเผ่าพันธุ์ที่ทำเรื่องโหดร้ายแม้กระทั่งการฆ่าคนทิ้งเป็นว่าเล่นแทนที่จะใช้ความสามารถในการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด หรืออย่างจ้าวฮั่น ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ที่แค้นเคืองกัดเขาไม่ปล่อยจนหมายจะฆ่ากันหลายครั้งหลายหนเพียงเพราะพ่ายแพ้ในการประลองเล็กๆ
“อาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินเฉียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึกก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อ “อาจารย์ ท่านคิดว่าข้าควรดูดซับแก่นโลหิตนี้เมื่อไหร่จึงจะเหมาะสมที่สุดครับ”
“ตราบใดที่เจ้าอัดพลังงานสายเลือดของเจ้าไปในจุดตันเถียนจนเต็ม(ขัดเกลาจุดตันเถียนเสร็จสิ้น) นั่นก็น่าจะเพียงพอ”
“แต่หากเจ้าอยากจะให้อาจารย์แนะนำจริงๆ ข้าแนะนำว่าเจ้าควรจะรอให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ นอกเสียจากว่าเจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว”
“นั่นก็เพราะหลังจากที่เจ้าอยู่ในระดับนายพลวิญญาณแล้ว การเปิดจุดชีพจรลับให้ได้ในแต่ละจุดนั้นจะยิ่งยากเย็นแสนเข็ญ ยกตัวอย่างเช่นจุดชีพจรลับจุดแรกที่เมื่อเปิดจุดแล้วก็จะกลายนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณได้นั้น โดยปกติแล้วจุดนี้จะเปิดขึ้นได้เอง แต่นั่นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเจ้านั้นเติมเต็มพลังสายเลือดในจุดตันเถียนหลักจนเต็มแล้วเท่านั้น”
“ถึงจะฟังดูง่ายแต่ความจริงแล้วยากมาก อย่างอาจารย์เอง ในตอนนี้จุดตันเถียนลับจุดที่สามสิบสี่ยังไม่สามารถเปิดได้เลย ทั้งๆที่ใช้เวลามากว่าสองจนเกือบสามปีแล้ว”
“และแก่นโลหิตที่อยู่ในมือเจ้านั้นจะช่วยเร่งพลังสายเลือดในตัวให้พุ่งขึ้นสูงจนสามารถทำลวงจุดชีพจรลับเหล่านั้นได้ ทำได้ถึงขนาดที่ว่าทะลวงจุดตันเถียนลับได้มากมายหลายจุดเลยด้วยซ้ำ”
“ดีถึงขนาดนั้น”
ยิ่งได้รับการฟังคำอธิบายของตัวเองเกี่ยวกับแก่นโลหิตนี้ เฉินเฉียงก็ยิ่งเข้าใจความล้ำค่าของมันมากขึ้น
“เอาล่ะ ข้าบอกเจ้าไปหมดทุกอย่างที่ข้าต้องการจะพูดแล้ว เจ้าเองก็ฝึกต่อที่นี่ไปแล้วกัน”
หลังจากฮู่ต้าไฮ่ได้จากไป เฉินเฉียงได้ใช้เวลาที่เหลือในการบ่มเพาะ เขานั้นตระหนักในคำพูดของอาจารย์ของตนและผอ.ที่บอกเขาไว้เป็นอย่างดี จนกระทั่งจางฉุนได้มาไล่เขาออกเพราะหมดเวลา
หลังจากออกมาแล้ว เฉินเฉียงได้ใช้แต้มคะแนนสองหมื่นแต้มแลกแก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นหนึ่งแสนก้อนและระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางมาหนึ่งหมื่นก้อน
หลังจากกลับจากเขตแดนหมอกโลหิตแล้วทำให้เขานั้นรู้สึกได้ว่าแก่นคริสตัลเหล่านี้สำคัญกับเขามากแค่ไหน
ด้วยแกนคริสตัลเหล่านี้ พวกมันจะมอบค่าพลังงานให้กับระบบของเขาและจะแปรเปลี่ยนเป็นค่าสถานะต่างๆของร่างกาย
และด้วยแต้มคะแนนกว่าหนึ่งแสนแต้มที่ได้มาแบบเปล่าๆนี้แน่นอนว่าเขานั้นย่อมต้องใช้มันอย่างคุ้มค่า
หากมิใช่ว่าแก่นคริสตัลที่หอภารกิจมีหมดไปล่ะก็ เขานั้นจะซื้อมากกว่านี้อีก
“ผู้คุมหลิว ท่านพอจะมีแก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณระดับสูงสักก้อนสองก้อนหรือไม่”
“แก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงอย่างนั้นเหรอ”
ผู้คุมหลิวได้มองเฉินเฉียงด้วยท่าทีประหลาดก่อนที่จะเอ่ยคำออกมา
“เจ้านั้นยังไม่ก้าวขึ้นไปสู่ระดับนายพลวิญญาณด้วยซ้ำ แล้วเจ้าจะนำมันไปทำไมกัน”
“ฮี่ฮี่ฮี่ พอดีข้าไม่เคยเห็นมาก่อนน่ะ ข้าเองชอบตรวจสอบและเก็บสะสมของพวกนี้เป็นงานอดิเรกน่ะครับ”
“ตรวจสอบ…เก็บสะสม…” ผู้คุมหลิวเบิกตากว้างในทันที “เจ้ารู้รึเปล่าเนี่ยว่าแก่นคริสตัลระดับนั้นทางสำนักมีอยู่เพียงเท่าไหร่กัน นี่เจ้าคงไม่รู้สินะว่าพวกเราต้องลงแรงลงเงินไปเท่าไหร่กว่าจะฆ่าสัตว์ประหลาดระดับนั้นได้สักตัว”
“…..เฮ้ออออ ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะได้รับมัน แต่ก้อนที่ถูกที่สุดในตอนนี้อยู่ที่หนึ่งพันแต้มคะแนน ในเมื่อเจ้าต้องการสองก้อนก็สองพันแต้มคะแนน”
“ห้ะ สองพันเหรอ” เฉินเฉียงอุทานออกมาในทันที
“ผู้คุมหลิว ไม่ใช่ว่าแก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงนั่นก้อนละหนึ่งร้อยหรอกเหรอครับ แล้วทำไมท่านถึงคิดแต้มคะแนนกับข้าถึงหนึ่งพัน”
“หนึ่งร้อยแต้มคะแนนที่เจ้าว่านั้นเป็นราคาสำหรับอาจารย์ในสำนัก หากศิษย์ต้องการที่จะซื้อพวกมัน ราคาจะอยู่ที่หนึ่งพัน เจ้ายังจะอยากได้อยู่อีกหรือไม่”
“สองพันก็สองพัน” เฉินเฉียงถึงกับต้องกัดฟันในทันที แต่เขาก็ยังยอมที่จะจ่ายแต้มคะแนนไปสองพันเพื่อที่จะให้ได้พวกมันมา
สำหรับเฉินเฉียงนั้น แก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงนี้รูปลักษณ์ของมันไม่ได้ต่างจากแก่นคริสตัลระดับอื่นเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เป็นความจริงที่เขาไม่ได้คิดที่จะดูดซับมัน แต่ต้องการจะนำมันไปมอบเป็นของขวัญจริงๆ
หลังจากที่เขาออกจากหอภารกิจแล้ว เขายังไม่ได้ดูดซับแก่นคริสตัลพวกนี้แต่อย่างใด แต่เขานั้นตรงไปยังห้องข้อมูล
ฮู่ต้าไฮ่ได้อธิบายบางอย่างเกี่ยวกับปัญหาที่เขาต้องเผชิญในระหว่างการบ่มเพาะ
แต่ในเมื่อมันเป็นเพียงปัญหาธรรมดา เขาเชื่อว่าห้องข้อมูลเองสมควรจะมีคำตอบให้กับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความจริงเขาเองก็คิดจะถามอาจารย์ของเขาผู้ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง แต่มาคิดดูอีกทีก็ไม่ใช่ว่าเขาเองจะรอบรู้ในทุกเรื่อง ดังนั้นห้องข้อมูลสมควรจะมีคำตอบให้เขาในเรื่องนี้มากกว่า
หลังจากอยู่ที่นี่เกือบทั้งวัน เฉินเฉียงก็เลือกหนังสือไปร้อยเล่มและกลับไปยังบ้านพัก
เพียงเขาเปิดประตูสวนของเขา เขาก็สัมผัสได้ในทันทีว่ามีใครบางคนติดตามและลอบดูเขาอยู่
-ไอ้เวรนี่อีกแล้ว-
หลังจากตรวจพบว่าเป็นใครที่ซ่อนอยู่ในเงามืด เฉินเฉียงได้ลอบสบถออกมาในใจแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รับรู้และเข้าห้องไป
ในทันทีที่เข้ากลับมาสำนัก จ้าวฮั่นได้ส่งหม่าหลิวลูกน้องของหมอนั้นให้คอยมาติดตามเขาว่าเขาทำอะไรไปไหนบ้าง
ดูเหมือนว่าจ้าวฮั่นยังคิดแค้นเขาอยู่ไม่เสื่อมคลาย
หากเขาไม่จัดการเรื่องนี้ เขาก็คงจะไม่มีวันอยู่อย่างเป็นสุขในสำนักเต่าดำแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ยังอยู่ในสำนัก เฉินเฉียงเชื่อว่าจ้าวฮั่นไม่กล้าทำอะไรเขาอย่างแน่นอน
มีเพียงเขาออกไปนอกสำนักเท่านั้นจ้าวฮั่นถึงจะมีเจตนาฆ่าเขา
ฮึ่ม เมื่อใดก็ตามที่หมอนั่นลงมือด้วยตัวเอง เขาจะไม่ปล่อยให้มันกลับเข้าสำนักแบบมีชีวิตอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงจึงได้เริ่มอ่านข้อมูลที่เขาได้มาอย่างสงบสุข
ข้อมูลที่เขานำกลับมานั้นสามารถแบ่งได้สามหมวด
หมวดแรกเป็นการพัฒนาพลังจิต
ด้วยการที่นับแต่เขาได้เคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรมานั้นมันยังไม่ได้พัฒนาขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย และนี่ทำให้พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นได้อย่างเชื่องช้า
สำหรับค่าพลังงานที่เขาได้มานั้น เขาเองก็คิดว่าการจะนำไปเพิ่มค่าพลังจิตของตนนั้นน่าเสียดายแบบสุด และก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้ใช้ค่าพลังงานลงไปกับค่าพลังจิตมากมายแล้ว เขาจึงคิดว่ากว่าจะใช้ค่าพลังงานเพิ่มค่าพลังจิตของเขานี้ก็คงอีกพักใหญ่
ข้อมูลหมวดที่สองนี้เขาสนใจกับการทะลวงผ่านจุดคอขวดเพื่อข้ามชั้นการบ่มเพาะ
เขานั้นต้องรีบทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ และนี่จะทำให้เขานั้นไปสู่ระดับนายพลวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว
Related