บทที่ 88 ใส่ร้าย
ระดับการบ่มเพาะนายพลวิญญาณนั้นแบ่งระดับออกได้เป็นสามระดับขั้นต้น กลาง สูง และใช้จำนวนจุดชีพจรลับที่เปิดได้เป็นพื้นฐานในการแบ่งแยก
จำนวนที่ใช้แบ่งแยกจะแบ่งออกเป็นระดับขั้นละสิบสองจุด และนี่ทำให้สามารถแบ่งระดับย่อยๆได้อีกสามช่วง ช่วงละสี่จุดชีพจรลับ เรียกว่าช่วงต้น ช่วงกลาง และช่วงปลาย แต่บางกรณีถึงแม้จะเปิดจุดชีพจรได้แต่หากระดับพลังสายเลือดไม่ถึง ระดับขั้นการบ่มเพาะอาจจะไม่แสดงผลออกมาเท่ากับจุดชีพจรที่เปิดได้
และเป็นอย่างที่อาจารย์ของเขาได้กล่าวไว้ว่า ยามที่มีระดับการบ่มเพาะระดับทหารขั้นสูงและเปิดจุดชีพจรได้ครบทั้งสิบสองจุดแล้ว เมื่อใดก็ตามที่สามารถถ่ายเทพลังสายเลือดลงไปในจุดตันเถียนหลักได้จนเต็ม เมื่อนั้นจุดชีพจรลับจุดแรกที่เรียกกันเล่นๆว่าประตูสู่ความรุ่งโรจน์จะเปิดออก และนั่นจะถือว่าได้ก้าวสู่การเป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณ
ในทุกๆครั้งที่จะเปิดจุดชีพจรลับนี้ก็เปรียบได้ดั่งการเพิ่มบ่อกักเก็บพลังงานสายเลือดของร่างกายมากกว่าเดิมครึ่งหนึ่งของจุดหลักในแต่ละจุดย่อย นี่จึงทำให้พลังสายเลือดที่ร่างกายดึงมาใช้จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นตาม
นอกจากเรื่องการเติมเต็มจุดตันเถียนด้วยพลังสายเลือดจนเต็มแล้ว ในการที่จะบ่มเพาะเป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงได้นั้น ทุกการข้ามขั้นการบ่มเพาะจากช่วงปลายไปขั้นถัดไป ล้วนแล้วแต่มีปัญหาเดียวกันก็คือการเปิดจุดชีพจรลับให้ได้
สำหรับการข้ามระดับชั้น การบ่มเพาะระหว่างระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงไประดับราชานั้นไม่มีการบันทึกเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่เขาพบนั้นได้เรียกระดับขั้นแรกเริ่มนี่ว่าราชานักสู้
สำหรับระดับที่เหนือกว่าระดับราชานักสู้นี้ ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเขาที่ซึ่งยังไม่แม้แต่ไปถึงระดับนายพลวิญญาณย่อมไม่มีทางเข้าใจ เขาจึงไม่ได้หาข้อมูลส่วนนั้นมา
หลังจากอ่านข้อมูลเกี่ยวกับระดับขั้นการบ่มเพาะอย่างตั้งใจจนเสร็จ เขาจึงเปิดข้อมูลหมวดที่สามที่เขานำมา
ข้อมูลส่วนนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องสัพเพเหระเสียมากกว่า จะบอกว่าเป็นเรื่องที่เฉินเฉียงสนใจนอกจากเรื่องการเพิ่มระดับพลังจิตและการบ่มเพาะก็ว่าได้ แต่เรื่องเหล่านี้กลับเป็นเรื่องที่สำคัญกับเขาอย่างมากเลยทีเดียว
ในส่วนสายเลือดโกลาหลแรกกำเนิดของเขานั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ผอ.เฉียนผู้ซึ่งก้าวไปสู่ระดับราชายังไม่เข้าใจได้ นี่ทำให้เขาเชื่อว่ามันต้องเป็นสายเลือดสุดหายาก เขาจึงหวังข้อมูลของสายเลือดนี้จากหนังสือสัพเพเหระเหล่านี้
ข้อมูลที่เขานำมานี้ค่อนข้างจะแหวกแนวไปสักหน่อยเหมือนกัน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่เขาก็ยังอ่านพวกมันอย่างตั้งใจและไม่ตกไปแม้แต่รายละเอียดเดียว
ด้วยข้อมูลเหล่านี้ทำให้เขานั้นเข้าใจในสัตว์ประหลาดมากขึ้น แต่เขายังรู้เกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์น้อยมาก
ข้อมูลที่มีเป็นข้อมูลงานวิจัยที่เผอิญได้ค้นพบว่ามีมนุษย์บางส่วนที่กลายพันธุ์และมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ก็มีระดับการบ่มเพาะแบ่งออกเป็นนักรบกลายพันธุ์ระดับเหนือมนุษย์ ระดับนายพลทักษะพิเศษ และระดับราชาเหนือมนุษย์
ผ่านไปครึ่งคืน เฉินเฉียงได้อ่านข้อมูลที่เขานำมาจนเกือบหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้อะไรมากนัก
“ฮืม ร่างกระจ่างจิตงั้นเหรอ”
ข้อมูลเล่มสุดท้ายนี้มีชื่อที่ทำให้เขานั้นนึกคลับคล้ายคลับคลา
“….จำได้ว่าเว่ยฉิงเชินคนนั้นเหมือนจะมีร่างกายที่เรียกว่าร่างกระจ่างจิต (จิตชำระกาย)นะ”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทำให้เขาต้องอดที่จะนึกเซ็งขึ้นมาไม่ได้
“ไหนดูสิ อืมมม… ร่างกระจ่างจิตนั้นคือร่างกายชนิดพิเศษที่ล้านคนจะโผล่ออกมาให้เห็นสักคน…คนที่มีร่างกายเหล่านี้จะไม่มีปัญหาคอขวดในการบ่มเพาะ แม้แต่ในระดับนายพลวิญญาณ คนเหล่านี้จะทะลวงจุดชีพจรลับทั้งสามสิบหกจุดได้เมื่อไหร่ก็ได้ การที่จะก้าวไปสู่ระดับราชานั้นง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย”
เมื่อเห็นข้อมูลนี้ทำให้เฉินเฉียงเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเว่ยฉิงเชินนั้นถึงสามารถก้าวเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณได้ทั้งๆที่มีอายุไล่เลี่ยกัน
จากข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งบอกได้เลยว่าเธอสามารถเข้าสู่ระดับนายพลขั้นสูงได้เมื่อไหร่ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลนี้เช่นเดียวกันที่ทำให้จุดตันเถียนของเธอนั้นไม่แข็งแกร่งมากเท่าที่ควรจะเป็น ส่งผลต่อปริมาณพลังสายเลือดของเธอที่ใช้ตอนสู้กับถูหมั่นเถียนไปจนแทบจะไม่เหลือหลอแต่ก็ยังโค่นล้มไม่ได้และเกือบจะพ่ายแพ้ไป
“เป็นหญิงงามที่สวรรค์อำนวยพรให้สินะ เฮ้อออออ…” เฉินเฉียงอดไม่ได้ที่จะถอดถอนหายใจออกมา
และคนเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมจะก้าวเข้าสู่ระดับการบ่มเพาะระดับราชาได้ทุกเมื่อ จึงไม่แปลกที่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขานั้นจะประหม่าเกี่ยวกับงานประลองสี่สำนักที่เลื่อนออกไป
แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงการต่อสู้ในเขตแดนหมอกโลหิต นี่ทำให้เขานึกว่าดีเหมือนกันที่เขาเป็นเช่นนี้
นั่นก็เพราะหากว่าเปิดจุดชีพจรลับจุดแรกได้แล้ว เขานั้นจะไม่อาจทำการบ่มเพาะจุดตันเถียนหลักของเขาได้อีก เขาไม่อยากเป็นเหมือนดั่งเว่ยฉิงเชินที่มีพลังสายเลือดที่รุนแรงแต่ขาดแหล่งพลังงานที่จะใช้ และนั่นจะเป็นปัญหาต่อความแข็งแกร่งของเขาในอนาคต
หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดเฉินเฉียงก็ได้ปิดข้อมูลทั้งหมด พร้อมความรู้สึกที่ยังมีเรื่องคาใจอยู่บ้างก็ตาม
นั่นก็เพราะเขาไม่อาจจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสายเลือดโกลาหลแรกกำเนิดของเขาได้เลย
แต่หาข้อมูลซะขนาดนี้แต่ยังไม่พบอะไร เขาก็คงทำได้เพียงปล่อยมันไปเท่านั้น ยังไงซะ ด้วยระบบอันสุดแสนมหัศจรรย์ของเขาก็สมควรจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการบ่มเพาะในเรื่องนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้นเฉินเฉียงจึงคิดว่าจะนอนหลับสักหน่อย เป็นตอนนี้ที่เขาพบว่าหม่าหลิวที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืดที่ด้านนอกนั้น ในตอนนี้ได้สัปหงกไปแล้ว นี่ทำให้เฉินเฉียงถึงกับต้องเหลือกตามองบนและค่อยๆย่องออกไปในทันที
หลังจากใช้ทักษะสะกดจิต สะกดหม่าหลิวไปแล้ว เฉินเฉียงได้ยกร่างหม่าหลิวขึ้นฟ้า เมื่อเห็นว่าคืนนี้มืดสนิท เขาจึงรีบแบกร่างของหม่าหลิวไปยังแผนกอัคคี
ที่ด้านนอกห้องพักของหลิวซวนเอ๋อ เฉินเฉียงได้โยนหม่าหลิวเข้าไปในสวนของห้องพัก ก่อนที่จะพุ่งทะยานออกไปเพื่อเฝ้าดูผลงานอย่างรวดเร็วประดุจดั่งประกายแสง
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงพลั่กได้ดังขึ้น นั้นคือเสียงของหม่าหลิวที่ตกสู่พื้น ตามมาด้วยการที่เขาถูกเสือดาวปีกระดับนายพลวิญญาณสองตัวที่คอยเฝ้าที่นี่ขย้ำจนไม่อาจจะไปไหนได้
เป็นตอนนี้ที่หลิวซวนเอ๋อที่ได้ยินเสียงก็รีบออกมาดูที่ด้านนอก
“ฮะ”
หลิวซวนเอ๋ออุทานออกมาอย่างดังทำให้เหล่าศิษย์แผนกอัคคีทุกคนต่างออกมาดูเหตุการณ์และมารุมล้อมในทันที แน่นอนว่ารวมถึงองครักษ์พิทักษ์สาวสวยทั้งสี่ที่ออกมาก่อนใคร
“หม่าหลิว”
เมื่อทุกคนได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของหม่าหลิวแล้ว ไป่ชิจิ้งและคนอื่นๆเองก็ได้รีบเข้ามาจับตัวเขาไว้ และนำตัวเขาไปยังหอพิพากษาของสำนักในทันที
การที่หลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่โดนใครบางคนติดตามหรือแอบมองนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะให้อภัย
เมื่อเฉินเฉียงที่เห็นฉากนี้ก็ได้ยิ้มสะใจออกมาก่อนที่จะหลบลี้หนีหายกลับที่พักของตน
อย่างไรก็ตาม เขานั้นไม่รู้ว่าก่อนที่เขาจะจากไป ได้มีชายแก่หนวดขาวได้ปรากฏตรงที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ เขาส่ายหัวไปมาก่อนที่จะหัวเราะออกมาเล็กน้อย “หึหึหึ….ช่างแปลกคนเสียจริง….เอาเถอะ ยังไงซะเรื่องนี้คงทำให้ข้าได้ตักเตือนจ้าวหยางและหลานของเขาได้ล่ะนะ”
ในตอนเช้า เมื่อเหล่าศิษย์สำนักได้ตื่นนอน ข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ได้แพร่กระจายออกไปจนทั่วสำนักผ่านกำไลสื่อสาร
ศิษย์แผนกบ่มเพาะหม่าหลิวถูกตัดสิน(ตราหน้า)ว่าแอบย่องเข้าไปดูบ้านพักของศิษย์แผนกอัคคีเมื่อคืนนี้ เขาโดนจับได้โดยสัตว์ประหลาดที่มีหน้าที่เฝ้าบ้านพักหลังนั้น
หากนับตามกฎของสำนักแล้ว นี่จะทำให้หม่าหลิวถูกเฉดหัวออกจากสำนักเต่าดำในทันที
“หม่าหลิวมันเป็นผู้ติดตามของจ้าวฮั่นไม่ใช่เหรอ ข้าล่ะไม่นึกเลยจริงๆว่ามันจะกล้าแอบย่องไปส่องหลิวซวนเอ๋อได้ ช่างกล้านัก”
“ไม่ใช่ม้าง หม่าหลิวนั้นถึงแม้จะมีสายสัมพันธ์อันดีกับจ้าวฮั่นแต่ก็ไม่เคยทำอะไรที่เกินเลยจริงจัง อย่างมากก็ใช้อำนาจของจ้าวฮั่นข่มขู่ศิษย์คนอื่น.. ก็ดีแล้วนี่หว่า ไอ้เวรนี่ถึงกับกล้าไปล่วงเกินหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่แบบนี้ มันช่างกล้าที่จะหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ”
“เจ้าว่าจ้าวฮั่นจะออกหน้าช่วยเหลือรึเปล่า”
“จ้าวฮั่นอะนะ ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าช่วยก็เท่ากับมีเรื่องกับผู้อาวุโสใหญ่น่ะสิ ข้าว่าดีไม่ดีตอนนี้หมอนั่นทำได้เพียงซุกตัวหลบซ่อนกลัวเรื่องลามมาถึงตัวจะมากกว่า”
ในห้องพักของจ้าวฮั่น
“นายน้อยจ้าว หม่าหลิวในตอนนี้ยังคงตะโกนอยู่หน้าสำนัก หวังว่าเขาจะได้พบเจอท่านให้จงได้”
“ไอ้เวรหม่าหลิว มันนี่ก่อปัญหาให้ข้าได้ไม่หมดไม่สิ้นจริงๆ” จ้าวฮั่นบ่นกระปอดกระแปดด้วยใบหน้าที่มู่ทู่ เขาเดินวนไปมารอบห้องก่อนที่จะพูดออกมา โฮวจี้ ส่งคนไปจัดการให้มันไปซะให้พ้นๆ หากมันยังโวยวายอยู่แบบนั้น ชื่อเสียงของข้าคงไม่เหลือชิ้นดีแน่
โฮ่วจี้รู้สึกตกใจจนใจเต้นขึ้นมาเมื่อได้ยิน เขาตอบรับและรีบไปจัดการเรื่องนี้ในทันที
“ฮั่น เจ้าสั่งบ้าอะไรกับหม่าหลิว มันถึงได้เข้าไปแอบดูหลิวซวนเอ๋อแบบนั้น นี่เจ้าไม่รู้จริงๆรึไงว่าเธอเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่น่ะ”
ในทันทีที่โฮ่วจี้ออกไป จ้าวหยางก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าจ้าวฮั่น พร้อมสีหน้าที่โกรธสุดๆ
“ท่านปู่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ข้าแค่ให้มันไปเฝ้าดูเฉินเฉียง ใครจะไปคิดว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ได้กัน”
จ้าวหยางได้ถอดถอนลมหายใจออกมาในทันที “ฮั่น ปล่อยวางมันซะ ในตอนนี้ผอ.เองก็อยู่ทางฝั่งเฉินเฉียงแล้ว นี่เจ้ายังคิดที่จะหาเรื่องเขาอีกรึ”
“ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่เฉินเฉียงยังอยู่ในสำนัก เจ้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แม้แต่ข้าก็ปกป้องเจ้าไว้ไม่ได้”
“ท่านปู่อย่าได้เป็นกังวล ตราบใดที่ข้าฆ่าไอ้คนแล่เนื้อนั่นไม่ได้ ข้าจะไม่ยอมตายเป็นอันขาด”
สายตาที่จ้าวฮั่นพูดออกมาในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดอย่างโหดร้ายออกมา “ข้าไม่เชื่อว่าไอ้คนแล่เนื้อนั่นจะไม่ออกจากสำนักเลยสักวัน ทันทีที่มันออกจากสำนักเมื่อไหร่ เข้าจะหาทางฆ่ามันเพื่อระบายความเจ็บปวดของข้าให้ได้”
เมื่อเห็นท่าทางแน่วแน่ที่จะแก้แค้นของหลานชายตนแล้ว จ้าวหยางทำได้เพียงถอดถอนลมหายใจออกมา เขารู้แล้วว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจหลานชายของเขาได้อีก หลังจากนั้นเขาก็ได้ส่ายหัวและจากไปอย่างสำนึกเสียใจ
Related