ผมเกิดใหม่เป็นจิ้งจอกสาวเก้าหาง – ตอนที่ 16: มุ่งหน้าสู่พรอนเทเรีย

                ในที่สุดเวลาก็ผ่านไปจนกระทั่งผมและคาเอลเจ็ดขวบด้วยกัน ที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นหลังจากที่ผมได้ฝึกการสู้กับมอนส์เตอร์กับคุณชิโระ ผมรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นจริงๆนะ ผมค่อนข้างมั่นใจเลยล่ะว่าผมสามารถสู้กับมอนส์เตอร์แถบนี้ด้วยตัวคนเดียวต่อสามได้อย่างไม่ตึงมือเลย

                ซึ่งผมก็ได้ลองมาแล้วล่ะ แน่นอนว่าไม่ยากเลย ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากๆ แต่ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าถ้าเกิดผมได้ฝึกกับพ่อขึ้นมาจริงๆผลลัพธ์จะต่างออกไปหรือเปล่า เพราะว่าพ่อของผมดูเหมือนจะสอนไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ฝีมือนั่นคือของจริง ก็เป็นถึงราชาดาบเลยนะ พอคิดถึงว่าพ่อเป็นราชาดาบเหมือนกันกับคุณคุโระ แต่ทำไมถึงดูต่างกันขนาดนั้นก็ไม่รู้

                คุณคุโระเคยเล่าให้ฟังตอนนั่งดื่มกับพ่อว่าเคยทะเลาะกันหนักจนถึงขั้นเอาจริงชนิดที่จะฆ่ากันให้ตาย คุณคุโระแพ้ภายในครู่เดียวเท่านั้น ถ้าแม่กับคุณชิโระไม่ห้ามไว้ ก็อาจจะตายเพราะพ่อก่อนจะตายเพราะคำสาปไปแล้ว

                ทั้งที่เก่งขนาดนั้นแท้ๆ แต่ดูไม่ให้เลยสักนิด ขนาดคุณแม่บอกว่า ตอนนี้พ่อเวลาสู้เอาแต่ติดเล่นตลอด ก็ยังดูเก่งอยู่นะ แต่ความน่าเคารพระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องน่าจะเป็นศูนย์เลย

                พูดถึงตอนนี้ดีกว่า

                “อืม คาเอล ลูกพร้อมแล้วใช่ไหม เตรียมของอะไรเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

                “ครับ เรียบร้อยพร้อมทุกอย่างครับครับ”

                “ดูแลตัวเอง ตั้งใจเรียนเข้านะลูกรักของแม่”

                “ครับแม่”

                แล้วทั้งสามก็กอดกัน ช่างเป็นภาพที่อบอุ่นจริงๆ

                เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังจะเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อไปเรียนที่โรงเรียนมหาเวทย์มาเจสตี้แล้วล่ะนะ น่าตื่นเต้นสุดๆไปเลยล่ะ แต่ก็แอบเศร้าที่จะไม่ได้อยู่กับพวกท่านสักพักนึง อีกอย่าง เพราะว่าพวกท่านคงจะไม่ได้ไปเยี่ยมเท่าไหร่ ทำเอาผมนึกถึงรู้ดี้คุงเหมือนกันเลยนะ แต่ผมก็ไม่ได้จากอีกฝ่ายเพราะพึ่งพามากเกินไป และยังอยู่ด้วยกันตลอดล่ะนะ

                “ลูกเตรียมของแล้วเนอะ”

                “พร้อมแล้วค่ะแม่”

                “ไม่นะ ลูกสาวของพ่อ จริงๆแล้วลูกอยู่บ้านอย่างเดียวก็ได้น—อั๊ก!”

                ส่วนทางผมก็เป็นอย่างนี้ ไม่ได้ซึ้งเหมือนทางนั้นเลย แถมแม่ยังต่อยท้องพ่ออีก แต่ก็สมเป็นพวกท่านดีล่ะนะ ซึ่งผมก็ได้แต่ขำแห้งออกมา

                “ถ้ามีโอกาส ก็มาเยี่ยมหนูบ้างนะคะ เพราะหนูเองก็คงจะเหงาน่าดูเลย”

                ผมพูดพร้อมทำหน้าเศร้าเล็กน้อย จะว่ายังไงดี ผมค่อนข้างติดแม่น่ะ ถึงจะโดนแกล้งบ่อยๆก็เถอะ แต่ก็สนุกดี

                เพื่อที่จะเรียนให้จบทั้งหมด ผมต้องเรียนอยู่ที่นั่นแปดปีครึ่ง แต่ถ้าให้พูดจริงๆก็เก้าปีนั่นแหละชั้นต้นหกปี ชั้นปลายสามปี

                ถึงจะเกินอายุสิบห้าไป แต่ก็จะมีช่วงหยุดพิเศษ ที่ทำให้ตอนวันเกิดสามารถกลับบ้านเกิดได้อยู่ หรือหยุดไปฉลองกันเองกับเพื่อนก็ได้ แต่การต้องออกจากบ้านนานถึงเก้าปีก็เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจริงๆ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

                “จ้าลูกรักของแม่ ถ้ามีโอกาส แม่จะแวะไปเยี่ยมนะ”

                แม่พูดจบก็ดึงผมเข้าไปกอดพร้อมกระซิบข้างหู

                “หวังว่าลูกจะสมหวังเรื่องความรักกับคาเอลไวๆนะจ๊ะ”

                แล้วแม่ก็ผละตัวออกจากผม

                แม่พูดเรื่องอะไรกันเนี่ย! ถึงผมจะเป็นผู้หญิงไปแล้ว แต่ด้านในผมก็เป็นผู้ชายนะ แถมใครๆก็แซวอย่างนี้ตลอดเลย ทำไมกันล่ะเนี่ย หน้าตาผมดูเป็นคนที่ชอบคาเอลขนาดนั้นเลยหรือไงกัน

                “แม่คะ! มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ!”

                ผมตะโกนบอกแม่ แต่แม่ก็เอามือปิดปากแล้วหัวเราะด้วยความสนุกสนาน เอาเถอะ ถ้าแม่มีความสุข ผมก็มีความสุขนั่นแหละ

                “มากิ ถ้าลูกเจอผู้ชายที่ไหนเข้ามาจีบ เตะเข้าไปที่หว่างขามันได้เลยนะ ตรงนี—อะเฮื๊อ!”

                พ่อไม่ทนพูดเสร็จ แม่ก็เตะเข้าไปที่หว่างขาพ่อ ทำให้พ่อต้องลงไปคุกเค่ากับพื้นด้วยความเจ็บปวด ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆล่ะนะ

                “ทะ..ทำไมล่ะที่รัก…สะ..สองครั้งแล้ว ไม่ทันตั้งตัวสองครั้งเลย…”

                “ถ้าคุณไม่หวงลูกเกินเหตุ ชั้นก็อาจจะไม่ทำอะไรคุณนะคะที่รัก”

                ตอนแรกผมก็คิดว่า ถ้าผมกลับมา ผมอาจจะได้น้องเพิ่มมาอีกสักคนก็เป็นได้ แต่ดูท่าคงจะไม่แล้วล่ะ

                ส่วนทางด้านคุณพ่อบ้านและเมดของบ้านเรานั้น

                “เดินทางดีๆนะคุโระคุง คุมรถม้าดีๆห้ามให้คุณหนูลำบากนะ”

                “ขอบคุณนะชิโระ ชั้นจะรีบกลับมาหาเธอนะ และแน่นอนว่าจะคุมรถม้าอย่างดีเลยล่ะ สัญญาเลย”

                แล้วทั้งคู่ก็เกี่ยวก้อยกัน

                ถึงผมจะเห็นอะไรประมาณนี้บ่อยแล้วก็เถอะ แต่การเห็นคนอื่นสวีทกันนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ ผมเชื่อเลยว่า อนาคตผมไม่มีทางได้สวีทอะไรกับใครแบบนี้ให้คนอื่นรำคาญแน่

                เพราะคนอย่างผมเหรอจะมีแฟนหรือไปชอบใคร และใครล่ะจะมารักมาชอบผม ไม่มี๊ไม่มีทาง

                “อืม เริ่มเดินทางเลยดีกว่า ยิ่งออกเดินทางไวเท่าไหร่ ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น คุโระ”

                “รับทราบ นายท่าน”

                พ่อยกกระเป๋าสัมภาระไปเก็บในรถม้าให้ผมส่วนคุณคุโระก็ขึ้นไปนั่งที่คนคุมบังเหียนรถม้า

                “ถ้าอย่างนั้น… ไปก่อนนะคะคุณพ่อคุณแม่ คุณชิโระ น้าคาล น้าเอลลี่”

                “ไปก่อนนะครับ พ่อ แม่ คุณลุงอิกนัส คุณป้าจิฮิโระ คุณชิโระ”

                ทุกคนยิ้มรับอย่างมีความสุข ผมกับคาเอลเข้าไปนั่งในรถม้า จากนั้นก็โบกมือลาพวกท่าน ทางด้านคุณคุโระก็คุมม้าให้เริ่มเดินทาง

                “ขอให้พวกลูกเดินทางปลอดภัยนะ”

                ““ขอให้เดินทางปลอดภัยครับ/ค่ะ!””

                ทุกคนพูดพร้อมกัน โดยที่มีพ่อเป็นคนนำ พ่อในเวลาแบบนี้ดูเท่ขึ้นตั้งเยอะเลยนี่นา

                “ขอให้พวกลูกมีความสุขในการเรียนนะ”

                ““ขอให้มีความสุขครับ/ค่ะ!””

                “แล้วเจอกันนะ”

                ““แล้วเจอกันครับ/ค่ะ!””

                ทุกคนยืนโบกมือให้กับรถม้าของพวกผม และแน่นอนว่าผมกับคาเอลนั้นคิดเหมือนกัน จึงเปิดหน้าต่างคนละฝั่ง จากนั้นก็โผล่ช่วงตัวออกไป

                ““ขอบคุณค่า/ครับ!””

                ผมกับคาเอลโบกมือตอบพวกท่านจนมองไม่เห็นอีกฝ่าย จากนั้นถึงเอาตัวกลับเข้ามาในรถม้า

                จะว่าไป รถม้าก็นิ่งกว่าที่ผมเคยจินตนาการนะเนี่ย

                จากที่คุณคุโระเคยบอก ถ้าเดินทางจากทางออกเมืองตอนเช้าสักแปดโมงแบบตอนนี้ ถ้าไม่ได้รีบร้อนอะไร จะถึงพรอนเทเรียในเที่ยงวันของวันที่สาม ถ้าหากรีบเดินทางโดยไม่พักม้าเลยยกเว้นช่วงเวลานอน ก็จะถึงได้ในคืนวันที่สอง ซึ่งมันก็น่าจะราวๆห้ามทุ่มถึงเที่ยงคืน แต่กลางคืนโรงแรมก็คงจะปิดหมดแล้ว แถมการเดินทางช่วงเวลากลางคืนก็ค่อนข้างอันตรายเพราะไม่เห็นทาง เพราะอย่างนั้นพวกผมก็คงจะถึงที่นั่นตอนเที่ยงล่ะนะ

                นั่งในรถม้ามันเบื่อ ผมกับคาเอลก็เลยนั่งคุยกันไปเรื่อยๆแก้เบื่อ

                “ถ้ามากิทำแบบนั้นจริงๆ ผมว่า…ก็เหมาะดีนะครับ”

                “แต่ถ้าต้องทำอย่างนั้นทุกวันมันเสียเวลาอยู่นะ คงไม่ดีกว่า”

                ถึงจะคุยอะไรเรื่อยเปื่อยก็จริง แต่ถ้าคุยกันนานๆเข้ามันก็ออกจะน่าเบื่อนะ ก็เลยนั่งดูป่ารอบๆผ่านหน้าต่างแทน

                แต่สุดท้ายพวกเราก็เบื่อ ก็เลยเปลี่ยนมานอนแทน

                นอนไปสักพักก็ตื่น ถึงมันจะไม่ได้โครงเครงมาก แต่ด้วยพื้นที่ที่ค่อนข้างแคบเลยทำให้นอนลำบากมาก

                ต้องเดินทางแบบนี้ประมาณสามวันเลยเหรอเนี่ย เหมือนเป็นการทรมาณเลย

                สุดท้ายผมก็ทนได้ถึงตอนเย็นได้แบบงงๆ

                คุณคุโระพักม้าและตั้งแคมป์ในตอนเย็น ถึงจะน่ากังวลว่าจะมีมอนส์เตอร์ เรามีคุณคุโระเฝ้ายามให้ตลอด เพราะฉะนั้น หายห่วงได้เลย

                ถึงตามปกติจากนิยายที่ผมเคยอ่านแล้วระหว่างทางมันน่าจะมีหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆไว้พักก่อนจะเดินทางกันต่อไปก็เถอะนะ

                แต่แบบนี้ก็ได้ความรู้สึกที่ดีอีกแบบล่ะนะ เห็นคุณคุโระบอกว่า บางครั้งถ้าบังเอิญเดินทางข้ามเมืองพร้อมกันหลายคน ก็จะตั้งแคมป์ไฟร่วมกัน และช่วยกันเฝ้าเวรกลางคืน ฟังดูน่าสนุกดี

                ถึงผมจะอยากทำอะไรอย่างนั้น แต่เหมือนว่าพอมีคุณคุโระ สุดยอดพ่อบ้านของผม ก็เลยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะบอกว่า ผมนั้นเป็นระดับคุณหนู ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวจะทำให้ เพราะเดี๋ยวถ้าผมได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนก็จะต้องฝึกทำเอง ตอนนี้จะทำให้และแนะนำไปก่อน

                ส่วนคาเอลก็ไปช่วยคุณคุโระแบกของ เช่นพวกไม้ หรือเนื้อสัตว์เล็กๆ ทำให้ผมต้องอยู่เฝ้ารถม้าคนเดียวเหงาๆ

                เพราะอย่างนั้นผมจึงเอาเวลาว่างนี้มาเล่นบางอย่างคนเดียว ถึงจะบอกว่าเล่นก็เถอะมันเหมือนเป็นการฝึกมากกว่าเสียอีก

                อีกหนึ่งสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ได้จากการใช้เวทย์มนต์แบบไม่ร่ายนั้นก็คือการควบคุมพลังเวทย์ในธรรมชาติ แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ มันเป็นอะไรที่ยากมากๆที่จะพยายามควบคุมมัน ถ้าหากผมไม่มีสมาธิตอนที่พยายามควบคุมพลังเวทย์ในธรรมชาติ ผมจะรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช๊อตทั่วตัวเลยล่ะ ไม่สิ มันจะเหมือนไฟดูดมากกว่าล่ะนะ

                ครั้งแรกที่ผมรู้ตัวว่าทำได้คือตอนที่ผมลองคิดเล่นๆว่า ถ้าโลกนี้มีเวทย์มนต์ เวทย์มนต์ก็คงจะมีอยู่ในธรรมชาติ แล้วลองทำดู สายลมก็อยู่ในมือผมแล้ว เพราะงั้นเลยต้องลองทำให้ชิน เผื่อจะได้เก่งกว่านี้ล่ะนะ แถมเวทย์มนต์จะได้ไม่มีวันหมดด้วย

                

                ผมตั้งสมาธิจากนั้นก็เริ่มควบคุมพลังเวทย์ในธรรมชาติ จากนั้นก็เปลี่ยนให้มันเป็นสายลม แล้วพยายามลองดันตัวเองขึ้น

                ผมพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่เป็นผล

                บางทีมันอาจจะไม่เหมือนกับการบินก็ได้ล่ะมั้ง แต่มันก็ไม่เหมือนกับกำแพงลมซะด้วยสิ

                พวกที่เข้าถึงพลังได้แบบในนิยาย หนังสือการ์ตูน หรือพวกอนิเมะมันเข้าถึงพลังแบบนี้กันได้ยังไงล่ะเนี่ย

                พอมีสมาธิมากๆ แล้วชักจะร้อนแล้วแฮะ ปล่อยผมแล้วร่ายเวทย์ลมให้มันพัดให้เย็นหน่อยดีกว่า

                “ฮ๊า…”

                ผมถอนหายใจออกมาเสียงดังเพราะลมที่เย็นสบายล่ะนะ ถึงมัดผมแล้วจะรู้สึกเย็นดีก็จริง แต่ปล่อยผมแล้วก็รู้สึกดีไปอีกแบบแฮะ

                ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับลมที่เย็นสบายสักพัก

                หืม?

                ผมนึกออกแล้ว ถ้าเราจะควบคุมอะไรแบบนั้นได้ เหมือนในนิยายเรื่องอื่นๆ เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้นสินะ

                มันก็น่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับเรื่องนี้จริงๆนั่นแหละ

                ผมปล่อยตัวเองให้รู้สึกสบายๆโดยที่ยังคงทำให้ลมพัดผ่านตัวผมต่อไปแล้วตั้งสมาธิอีกครั้ง จากนั้นผมก็ลองทำเหมือนเดิม

                แต่ผลลัพธ์ในครั้งนี้ต่างออกไป ตัวของผมลอยขึ้นจนสูงพอๆกับต้นไม้ที่ปกคลุมพื้นที่ตรงนี้ซึ่งมันสูงประมาณเจ็ดเมตร

                เจ๋งไปเลย ผมลอยได้จริงๆด้วยแฮะ แต่มันไม่ใช่เวทย์ที่ทำให้บินได้จริงๆเนี่ยสิ แต่ก็อยากให้คาเอลเห็นจังเลยแฮะ ตื่นเต้นชะมัดเลย

                แต่เหมือนว่าผมจะตื่นเต้นเกินไปหน่อย

                ทำให้ผมที่กำลังลอยอยู่นั้นร่วงลง แย่ล่ะสิ! ไม่สิผมใช้เวทย์ลมเป็นเบาะให้ตัวเองได้ แล้วจะมัวคิดทำไมล่ะเนี่ย!

                “มากิ!”

                ก่อนที่ผมจะได้ใช้เวทย์มนต์ คาเอลก็มารับผมเอาไว้ในท่าเจ้าสาวก่อนที่ผมจะตกลงถึงพื้น

                “เอ๋…เอ๊ะ เอ๊ะ นายมาถึงที่นี่ตอนไหนเนี่ย”

                “นั่นมันใช่ประเด็นเหรอครับ เมื่อกี้มากิกำลังจะตกจากที่สูงเลยนะครับ”

                ผม…กำลังโดนคาเอลดุ…

                “กะ..ก็เมื่อกี้ชั้นกำลังจะใช้เวทย์ลมเป็นเบาะอยู่แล้วนะ ไม่เป็นไรหรอก”

                “ถ้ามากิจะทำอะไรที่มันอันตราย มากิก็ต้องระวังตัวมากกว่านี้สิครับ”

                “ชั้นขอโทษ…แต่ช่วยปล่อยชั้นลงก่อนได้ไหม…”

                คาเอลค่อยๆปล่อยผมลง ให้ตายสิ ท่าเจ้าสาวมันน่าอายออกนะ แต่มันก็ไม่มีท่าอื่นเวลารับคนตกจากที่สูงแล้วล่ะมั้ง

                “ว่าแต่ เมื่อกี้นายเห็นใช่ไหม ว่าชั้นทำอะไรอยู่”

                “…เห็น…ครับ…”

                “เป็นไงบ้างๆๆ ชั้นดูเป็นยังไงบ้าง”

                “…งดงามมากครับ”

                คาเอลหน้าแดงตอบผม ถึงผมจะอยากให้คาเอลตอบว่า ‘สุดยอดสุดๆ’ หรือ ‘สุดยอดไปเลยครับ’ ก็เถอะ แต่ตอบแบบนี้มาผมก็โอเคเหมือนกันล่ะนะ

                “ทำไมฝืนมันร่วงแถวนี้ด้วยล่ะเนี่ย เมื่อกี้ไม่เห็นมี…เนื้อสัตว์ตรงนั้นก็ด้วย หืม…? คาเอล! ทำไมของมันตกอยู่ตรงนี้ล่ะ มาเก็บไปสิ”

                คุณคุโระตะโกนเรียกคาเอล ทำให้คาเอลสะดุ้งโหยง แล้ววิ่งไปเก็บของที่ทำตกไว้ทันที

                จะว่าคาเอลโยนของทุกอย่างเพื่อมารับตัวผมเลยเหรอเนี่ย

                

                เย็นนั้นผมร่ายเวทย์น้ำใส่ผ้าเช็ดตัวในรถม้าเพื่อเป็นการทำความสะอาดร่างกาย ส่วนคาเอลก็เช็ดตัวอยู่ที่แคมป์ไฟ แยกกันเช็ดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ ไม่รู้ทำไม แต่ผมมีความรู้สึกว่าไม่อยากถูกเห็นอยู่ล่ะ ถึงจะเป็นคาเอลก็เถอะ ผมก็ไม่ค่อยอยากให้คาเอลเหมือนกัน

                พอเช็ดตัว แต่งตัวเสร็จ ผมก็ไปนั่งร่วมวงกินเนื้อเสียบไม้ย่างกับอีกสองคนจนอิ่ม พวกเรานั่งคุยกันสักพักแล้วก็นอน

                ผมนอนในเต็นท์คนละหลังกับคาเอล ส่วนคุณคุโระบอกว่าจะเฝ้าให้ทั้งคืน เพราะเป็นวิญญาณที่ถูกผมอัญเชิญมา ไม่จำเป็นต้องนอน แต่ที่เห็นว่านอนตอนอยู่บ้านก็เพราะว่าไม่มีอะไรทำ พอได้ยินแบบนี้แล้วก็ทำให้รู้สึกสงสารแปลกๆแฮะ

                พอถึงตอนเช้าพวกผมก็เดินทางกันต่อระหว่างวันผมก็คุยกับคาเอลเรื่อยเปื่อย และพอถึงเย็นก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ว่าผมไม่ได้เล่นอะไรเหมือนเมื่อวานแล้ว แค่นั่งเฝ้าเฉยๆ จนผ่านไปอีกวัน และวันต่อมา พวกผมก็ถึงพรอนเทเรียในที่สุด

 

 

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset