“รถม้าคันนี้มาจากที่ไหนครับ”
ตอนนี้คือทางเข้าสู่เมืองพรอนเทเรีย เมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์ เพราะเผ่านมนุษย์มีอาณาจักรเดียวด้วยล่ะนะ และนี่ก็เป็นถึงเมืองหลวง ทำให้กำแพงป้องกันตั้งสูงมาก ชักอยากจะเห็นด้านในแล้วสิ
แต่กำแพงนี่ก็ทำให้ผมนึกถึงกำแพงสามพี่น้องที่มียักษ์บุกเลยแฮะ
“คันต่อไป”
ตอนนี้ถึงคิวรถของพวกผมแล้วแฮะ
“รถม้าคันนี้มาจากที่ไหนครับ”
“มาจากพาโยเนีย หมู่บ้านเอสฮาร์เวสท์”
“ขออนุญาตถามครับ ว่าด้านในนั้นเป็นใคร มาทำอะไร”
คุณทหารยามเฝ้าประตูเมืองถามคุณคุโระหลังจากลองส่องมาเห็นผมกับคาเอลที่เป็นเด็กอยู่สองคน
“ผู้ที่อยู่ด้านในนี้คือลูกสาวคนเดียวของ ท่านอิกนัส จากตระกูลอิจิฮานะ มาฮิโระ อิจิฮานะ กับเพื่อนอีกหนึ่งคน เดินทางมาพรอนเทเรียเพื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนมหาเวทย์มาเจสตี้ นี่คือจดหมายของทั้งสองคน”
คุณคุโระพูดเสร็จก็ยื่นจดหมายที่ผมกับคาเอลได้มาให้คุณทหารยามเฝ้าประตู มิน่าล่ะถึงบอกให้ผมกับคาเอลพกเอามาด้วย
คุณทหารอ่านจดหมายของผมกับคาเอลเสร็จก็ให้พวกผมผ่านไปได้
“กลับมาแล้วเหรอ คุโระ”
“เออ ยังเข้มงวดเหมือนเดิมนะบรูค”
ทั้งสองคนต่างยิ้มให้กัน จากนั้นคุณคุโระก็บังคับม้าให้เข้าเมืองไป
“รู้จักกันเหรอคะคุณคุโระ”
ผมถามคุณคุโระในขณะที่รถค่อยๆเคลื่อนเข้าเมือง
“ครับ แค่รู้จักกันเฉยๆล่ะนะ”
แค่รู้จักกันเฉยๆสินะ แต่ก็ยังน่าสงสัยอยู่ดีแฮะ ว่าทำไมถึงบอกว่าคุณคุโระกลับมาแล้ว เขาเป็นใครกันนะ อดีตเพื่อนร่วมงานเหรอ
“คุณหนูสงสัยสินะครับ ว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงรู้จักกับตัวผมได้ และตัวเขาเป็นใคร เพราะเขาคือสี่ตระกูลไงล่ะครับ จากตระกูลยูรุส”
คุณคุโระดูจะชอบอ่านใจผมนะ ว่าแต่ทหารยามนี่เป็นถึงสี่ตระกูลเลยเหรอ สี่ตระกูลที่เป็นถึงบุคคลสำคัญของเผ่ามนุษย์เพราะสืบทอดการเรียนรู้มาจากต้นตระกูลที่เป็นวีรชนน่ะนะ เอาคนที่เก่งขนาดนี้มาเป็นทหารยามเลยเหรอเนี่ย การป้องกันของพรอนเทเรียมันจะเข้มแข็งเกินไปแล้วนะ
“คนที่อยู่ระดับนั้นมาเฝ้าประตูเมืองเลยเหรอคะ สุดยอดไปเลย”
“ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆจะได้เกิดการสูญเสียที่น้อยที่สุด และคนระดับนั้นก็ไม่ตายง่ายๆอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะครับคุณหนู”
“แสดงว่าคนจากสี่ตระกูลนี่สุดยอดไปเลยนะคะเนี่ย”
ผมพูดชื่นชมคนจากสี่ตระกูล เพราะตามที่อ่านในหนังสือ ต้นตระกูลของพวกเขาสุดยอดมากจริงๆ เพราะสิบคนที่ออกมาสู้เพื่อจบสงครามตอนนั้น กลับมาเพียงห้าคนเท่านั้นเอง
ถ้าไม่นับตอนแรกสุดที่มนุษย์จะครองโลกเลยทำสงครามล่ะนะ แต่ทั้งสิบคนก็ออกมาสู้เพื่อยุติสงคราม เรื่องนี้น่านับถือจริงๆ
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะครับมากิ ถ้านับแค่จากนามสกุล ผมเองก็เป็นสี่ตระกูลนะครับ”
คาเอลเกาหัวพร้อมหัวเราะแบบเขินๆ
ไม่น่าเชื่อ! ว่าผมมีคนใกล้ตัวเป็นคนที่มาจากตระกูลดัง! ว่าแต่ทำไมคาเอลที่มาจากตระกูลระดับนี้กลับโดนแกล้งตอนเด็กได้ล่ะเนี่ย พอรู้แบบนี้แล้วแอบประหม่านิดนึงเลยนะเนี่ย
“จริงเหรอเนี่ย…”
“สายตาที่สื่อว่ามันไม่น่าเป็นไปได้หมายความว่าไงครับเนี่ย!”
ผมทำหน้าแบบนั้นออกไปหรอกเหรอ
คาเอลกระแอมหนึ่งทีก่อนจะพูดต่อ
“แต่ยังไงก็ตาม ตัวมากิเองก็เป็นสี่ตระกูลไม่ใช่เหรอครับ”
“เอ๋…?”
“อ้าว…”
หืม? หมายความว่ายังไงกันนะ ผมเป็นสี่ตระกูลด้วยหรอกเหรอ เรื่องนี้จริงเหรอ ไม่เห็นมีใครบอกผมมาก่อนเลย ผมนึกว่าผมเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองเฉยๆเสียอีก
“คุณหนูไม่รู้หรอกเหรอครับ ผมก็นึกว่าคุณหนูรู้อยู่แล้ว เห็นคลุกตัวอยู่ในห้องหนังสือทั้งวัน”
ใครก็ได้เอาเจ้าคุณพ่อบ้านนี่ไปเก็บที ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่มันไม่มีเรื่องนี้ในหนังสือเลยนะ หรือว่าหน้ามันขาดไป
“ถ้ามันมีในหนังสือหนูก็ต้องรู้แล้วสิคะคุณคุโระ ไม่เชื่อก็กลับไปเช็คเลย ว่าแต่นายด้วยเถอะคาเอล ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วทำไมไม่เคยบอกกันเลยล่ะ”
“ก็เพราะผมก็คิดว่ามากิรู้อยู่แล้ว เลยไม่ได้พูดอะไรน่ะครับ”
“แต่ถึงจะบอกอย่างนั้นก็เถอะ ทำไมชื่อตระกูลมันไม่ตรงกับชื่อของวีรบุรุษที่เป็นต้นตระกูลล่ะ”
“นี่คุณหนูไม่รู้จริงๆสินะครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะเล่าให้ฟังเอง ในตอนนั้นวีรชนทั้งห้าที่รอดกลับมานั้น ท่านเคียวแยกตัวออกไป แต่ท่านยูรุส ท่านซึรุ ท่านทาเรีย และท่านไซออน ท่านยูรุสกับท่านซึรุ ทั้งสองก่อนหน้านั้นมีครอบครัวอยู่แล้ว ก็เลยใช้ชื่อเดิม ส่วนท่านทาเรียและท่านไซออนต่างก็พบกับชายที่คนรัก จะว่ายังไงดี คือท่านทาเรียคลั่งรักสามีมากก็เลยใช้ชื่อสามีของท่าน ก็คือเอลเวนเทียร์ เลยใช้เป็นชื่อตระกูลเป็นต้นมา ส่วนของคุณหนูนั้น สาเหตุที่ชื่อว่าอิจิฮานะ เพราะสามีของท่านไซออนเป็นนักเดินทางจากดินแดนอันแสนไกลที่มีภาษาเป็นของตัวเอง ในตอนที่สามีของท่านไซออนได้สารภาพรักนั้น ได้กล่าวเอาไว้ว่า ต่อให้เวลาจะล่มสลาย ต่อให้ดวงดาวหายไป ต่อให้ความตายจะแยกเราออกจากกัน ฉันก็จะรักเธอตลอดไป ดอกไม้เพียงหนึ่งเดียวของฉัน ซึ่งพอท่านไซออนได้ยินก็ประทับใจมาก เลยถามสามีของท่านกลับไปว่าดอกไม้เพียงหนึ่งเดียวที่บ้านเกิดของเขาเรียกว่าอะไรจากนั้นก็ถามไปถามมาเลยเอาชื่อนี้ที่เรียกง่าย สั้น และเพราะที่สุดน่ะครับ ทีนี้ก็เข้าใจแล้วใช่ไหมครับคุณหนู”
“ค่ะ เข้าใจแล้ว”
นามสกุลผมเนี่ยมันภาษาญี่ปุ่นชัดๆ บรรพบุรุษผมเป็นคนต่างโลกจริงๆใช่ไหมเนี่ย
“ผมไม่อยากจะพูดไอ้บทสารภาพรักที่ฟังแล้วมันจั๊กจี้อย่างนั้นอีก เพราะอย่างนั้นต้องเข้าใจจริงๆนะคุณหนู”
“ค่าๆ เข้าใจแล้ว แต่คำสารภาพรักนี้น่ารักดีออกนะคะ พอได้ยินแล้วรู้สึกจริงใจดี ถึงแม้มันจะทำให้รู้สึกจั๊กจี้แต่มันก็ทำให้ผู้หญิงที่ได้ยินคนที่ตัวเองรักพูดแบบนี้ดีใจมากแน่ๆเลยค่ะ”
คาเอลฟังที่ผมพูดอย่างสนอกสนใจ
ถึงมันอาจจะไม่ใช่กับผู้หญิงทุกคน แต่ถ้าผมเป็นผู้หญิงคนนั้น แล้วถ้าคนที่พูดเนี่ยเป็นคนที่ผมรักพูด จากเดิมที่รักอยู่แล้วก็คงจะหลงจนโงหัวไม่ขึ้นเลยล่ะ
“งั้นหรือครับ ไว้ผมลองบอกชิโระบ้างดีกว่า”
“โอ๊ะ ได้ยินไหมคาเอล คุณคุโระหลุดปากออกมาตรงๆแล้ว!”
“เต็มสองรูหูเลยครับ ทำดีมากครับมากิ เยส!”
“เยส!”
ผมกับคาเอลแปะมือกัน เพราะผมก็นั่งคุยกับคาเอลเรื่องสองคนนี้มานานแล้ว พอถามคุณคุโระเรื่องคุณชิโระทีไรก็จะทำหน้าตึงตอบปัดแล้วก็เดินหนีผมกับคาเอลไปเลย แถมเอาคืนตอนซ้อมด้วยนะ ทำให้นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คุณคุโระพูดออกมาตรงๆครั้งแรก
“ผม ผมไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นแหละ ทั้งสองคนน่ะลงไปได้แล้ว ยื่นจดหมาย ลงทะเบียนห้องหอให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็มาหาผมตรงนี้ จะยกของให้”
คุณคุโระพูดพร้อมเอามือซ้ายเท้าคางเพื่อปิดใบหน้าเขิน แถมการพูดยังแปลกไปอีก พอได้เห็นแบบนี้ก็แปลกดีเหมือนกันแฮะ
“ไปกันเถอะครับมากิ”
ผมกับคาเอลเข้าไปในตัวอาคารที่คุณคุโระมาจอดใกล้ๆ เหมือนจะเป็นอาคารนี้แหละ เพราะผมปล่อยให้คาเอลนำ
ว่าแต่เมื่อกี้ผมไม่ได้มองข้างทางเลย เพราะมัวแต่ฟังคุณคุโระเล่าเรื่องจนเข้ามาในเขตของโรงเรียนตอนไหนก็ไม่รู้ซะงั้น โรงเรียนนี้กว้างมากๆเลย นี่ขนาดผมเห็นแค่ส่วนหน้าและยังไม่ได้เข้าไปเห็นพื้นที่ส่วนอื่นของโรงเรียนเลยนะ ผมไม่รู้ว่าถ้าแปลงเป็นตัวเลขมันจะเท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้เทียบก็เกือบใหญ่เท่าหมู่บ้านเล็กๆในพาโยเนียแล้วล่ะ
ผมกับคาเอลยื่นจดหมายให้กับพี่เสมียนพออ่านจดหมายของผมกับคาเอลเสร็จก็นำทางให้ผมและคาเอลไปห้องผู้อำนวยการเพื่อไปรับกุญแจห้องหอ
แอบตื่นเต้นจัง ผมจะได้นอนกับคนอื่นเป็นครั้งแรกแล้วแฮะ ผมจะเข้าได้กับคนอื่นหรือเปล่านะ ผมต้องคู่กับผู้หญิงสินะเนี่ย แต่ตอนอาบน้ำก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้งเพราะผมก็ชินที่เห็นตัวเองทุกวันแล้ว
คุณเสมียนเปิดประตูห้องผู้อำนวยการโดยไม่เคาะแล้วก็บอกให้ผมกับคาเอลเข้าไปด้านในเลย พอเข้าไปก็ปิดประตูทันทีโดยที่ไม่ตามเข้ามา
“ผู้อำนวยการคะ รีบทำเอกสารเดี๋ยวนี้ค่ะ เพราะอีกสักพักพวกเด็กนักเรียนที่จะมาสมัครจะแห่กันมาแล้วนะคะ ยิ่งคนที่ได้จดหมายมา ตอนนี้มาหาเราแล้วสองคนแล้วนะคะ”
“อาาา ชั้นเห็นแล้วล่ะ แต่ชั้นไม่ชอบงานเอกสารนี่นา! ชั้นเซ็นงบประมาณกับประสานงานหลายๆเรื่องมาสองวันแล้วยังไม่เสร็จสักที เพราะงั้น ฟิวรี่ทำแทนชั้นทีเถอะ!”
“ไม่ได้ค่ะ เพราะฉันไม่ชอบการเป็นตัวแทนของใครทั้งนั้น”
ผู้หญิงตัวเล็กที่กำลังวิ่งหนีผู้หญิงอีกคนในชุดเมด ซึ่งก็น่าจะเป็นผู้อำนวยการกับเลขาของเธอ
ผมกับคาเอลต่างยืนนิ่งไม่พูดอะไรดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบๆ
“อ่า! โถ่ ก็ได้ๆ ชั้นยอมทำแล้ว แต่เธอต้องมาเป็นหมอนข้างให้ชั้นหนึ่งวันตกลงไหม”
“ไม่ได้ค่ะ เพราะฉันเกลียดการทำเรื่องไร้สาระ”
ควรจะสลับตำแหน่งกันนะระหว่างคุณเมดหรือเลขาที่ชื่อว่าฟิวรี่กับผู้อำนวยการเนี่ย
“ก็ได้ ช่างเรื่องนั้นก่อน พวกเธอสองคนคือเด็กที่ได้รับจดหมายจากชั้นสินะ แนะนำตัวสิ เริ่มจากคนที่ใส่แว่นแล้วกัน”
ผู้อำนวยการหยุดวิ่งยืนกอดอกพร้อมชี้มาทางผม
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อมาฮิโระ อิจิฮานะ ค่ะ”
ผมพูดเสร็จก็โค้งตัวหนึ่งที อยากยกมือไหว้เหมือนกันแฮะหลังไม่ได้ทำนาน
“สวัสดีครับ ผมชื่อ คาเอเรี่ยน เอลเวนเทียร์ ครับ”
“อืม ปีนี้มีเด็กจากสี่ตระกูลสองคนเลยสินะ ถ้าอย่างนั้นนอนห้องเดียวกันไปเลยก็แล้วกัน”
ผมกับคาเอลที่ได้ยินก็ตกใจถึงขั้นถอยหลังคนละก้าว แปลกๆแฮะลองถามเหตุผลหน่อยดีกว่า
“ทำไมถึงให้ผู้ชายผู้หญิงนอนห้องเดียวกันล่ะคะ แล้วทำไมเราสองคนถึงได้นอนห้องเดียวกันด้วย”
“เพราะตามกฎ เด็กที่ได้รับจดหมายต้องนอนห้องเดียวกัน ซึ่งมันจะได้ผลดีกว่าเพราะเป็นเด็กที่ได้ทุนเรียน และพวกเธอสองคนก็เป็นกลุ่มคนแรกที่มาในวันนี้เลย เพราะอย่างนั้นก็เลยให้เป็นเพื่อนร่วมห้องกัน”
“ละ..แล้วเวลาอาบน้ำล่ะคะ”
ผมไม่ได้รู้สึกอะไรที่จะเห็นของผู้ชายหรอก เพราะผมก็เคยมีมันอยู่ เพราะอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก มั้ง
แต่ผมก็ไม่อยากถูกเห็นเข้าตอนโป๊อยู่ดีนั่นแหละ
“มีห้องน้ำในตัว ผลัดกันใช้ซะ เธอคงจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องทำยังไงให้ถูกใจ”
ผมพยักหน้ารับ แน่นอนว่าผมที่ไม่อยากถูกเห็นก็พอจะรู้ว่าต้องทำยังไง
“ฟิวรี่ กุญแจ บนนั้นมีเลขตึก เลขชั้น เลขห้อง เดี๋ยวพวกเธอก็จะเห็นเอง พวกเธอมีอะไรสงสัยอีกไหม”
คุณฟิวรี่หยิบกุญแจในลิ้นชักมาให้ผมกับคาเอลคนละดอกตามคำสั่งของผู้อำนวยการ
ผมกับคาเอลไม่ได้ตอบอะไรเพราะยังไงซะก็คงจะเปลี่ยนเรื่องห้องไม่ได้ก็เลยขอตัวออกจากห้องไป
“เอ๊ะ ชั้นลืมบอกอะไรเด็กพวกนั้นหรือเปล่านะฟิวรี่”
“เรื่องกฎเกี่ยวกับการนอนพักในหอเฉพาะของพวกเด็กที่ได้รับจดหมายค่ะ”
“อ๋อ โอ้ นั่นคุโระคุงนี่นา เดี๋ยวหมอนั่นก็บอกเองแหละ”
ผมกับคาเอลไปหาคุณคุโระเพื่อให้คุณคุโระขนของให้กับผมและคาเอลและก็ให้นำทางไปที่ตึกหอของผมกับคาเอลด้วยเลย และก็เล่าระหว่างทางว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผมก็เดาไว้แล้วล่ะ เอาเถอะ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ปกติเลยครับคุณหนูแม้แต่กับเด็กที่สมัครเรียนเอง แต่ปกติแล้วพวกเด็กที่สมัครเรียนเอง จะค้างห้องตัวเองแค่ประมาณอาทิตย์แรก พอสนิทกับเพื่อนแล้วก็จะย้ายไปนอนกับคนอื่นแทน แต่เด็กที่ได้รับจดหมายอย่างคุณหนูมีกฎห้ามเปลี่ยนเพื่อนร่วมห้องอยู่ แต่ก็นอนค้างห้องเพื่อนได้บ้าง เพราะเป็นอาคารเฉพาะของพวกเด็กที่ได้จดหมาย กฏไร้สาระสุดๆ”
ขนาดคุณคุโระยังบอกว่ากฎไร้สาระ ซึ่งก็จริงนั่นแหละ
พอคุณคุโระขนของให้เรียบร้อย ก็บอกลากันเล็กน้อย แล้วคุณคุโระก็เดินทางกลับ
อันที่จริงผมอัญเชิญคุณคุโระเมื่อไหร่ก็ได้ เลยไม่ได้รู้สึกว่าต้องเป็นพิธีขนาดนั้น
จะว่าไป ทำไมตอนโดนหมาป่ารุมครั้งแรกทำไมผมถึงไม่เรียกคุณคุโระมากันนะ
ตอนนี้ผมกับคาเอลกำลังเดินสำรวจในห้องด้วยกันอยู่ มันกว้างพอๆกับบ้านผมเลย แต่มีชั้นเดียว ในห้องก็ยังมีแบ่งโซนห้องอีกที มีทั้ง ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว แต่ห้องนอนมีห้องเดียวเองหรอกเหรอ…
แถมมีเตียงเดียวด้วย! อะไรกันเนี่ย!
แล้วก็ห้องครัว ผมไม่มีวัตถุดิบในการทำอาหารเลย น่าจะได้ใช้เร็วๆนี้แหละ เพราะผมเองก็ต้องพยายามเก็บตังไว้ใช้ด้วยกันกับคาเอลเวลาฉุกเฉิน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พ่อให้ผมมาตั้งสองเหรียญทองใช้ได้ยันจบชั้นต้นเลยล่ะมั้งเนี่ย เผลอๆใช้ได้จนเกือบจบชั้นปลายด้วย ถ้าไม่ไปซื้ออะไรไร้สาระล่ะนะ แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าที่พรอนเทเรียอะไรราคาพื้นฐานเท่าไหร่ ไว้จะลองไปดูก็แล้วกัน
“อืม…มากินอนเตียงนะครับผมนอนพื้นไม่ก็โซฟาดีกว่า”
“ไม่ได้ เราต้องอยู่ด้วยกันเก้าปีเลยนะคาเอล ถ้านายนอนพื้นหรือโซฟาตลอดเก้าปีนายสุขภาพเสียกันพอดี เพราะอย่างนั้น นอนบนเตียงด้วยกันกับชั้นนี่แหละ”
“มันจะดีเหรอครับ…”
“อือ ชั้นเป็นห่วงขนาดนี้ก็อย่าปฏิเสธล่ะ”
“ขะ..เข้าใจแล้วครับ”
“คาเอล นายอยากให้ชั้นจัดห้องให้หรือนายจะจัดเองเหรอ ชั้นยังไงก็ได้นะ”
“มากิจัดเลยครับ ของผมค่อนข้างน้อยก็เลยใช้พื้นที่น้อย แต่ของมากิเยอะ จัดห้องตามใจมากิเลยครับ”
“ได้เลย งั้นนายอาบน้ำก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวชั้นจัดห้องเสร็จเรากินข้าวกัน อาหารที่เตรียมไว้จากบ้านจะได้หมดพอดี”
คาเอลพยักหน้ารับแล้วก็เดินหลบผมไปถอดชุด
“อะไรกันคาเอล ไม่เห็นต้องเดินหลบเลยนี่นา ชั้นไม่เขินเวลาเห็นนายหรอกนะ”
“ไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมล่ะ ชั้นไม่เขินหรอกน่า”
จากนั้นเสียงฝีเท้าของคาเอลก็ค่อยๆเข้ามาใกล้ผมจนกระทั่ง
“ก็ถ้ามากิไม่เขิน ทำไมตอนนี้ถึงหลับตาล่ะครับ”
คาเอลกระซิบข้างหูผมทำให้ผมตกใจจนร้องเสียงหลง
“เหวอ! นายรีบเข้าห้องน้ำไปเลยนะ”
ผมดันให้คาเอลเข้าห้องน้ำจากนั้นก็เริ่มจัดห้อง
คืนนั้น
“ทำไมชั้นกับนายถึงได้ลืมผ้าห่มได้เนี่ย แล้วทำไมอากาศมันถึงได้เย็นขนาดนี้กันล่ะ”
“มากิสนใจเปลี่ยนเป็นเก้าหางแล้วเอาหางมาห่มแทนไหมครับ”
“ตะ..แต่ถ้าทำอย่างนั้นชั้นก็ต้องหันหน้าไปทางนายไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าอย่างนั้นผมหันหลังให้”
“มะ..ไม่ต้องหรอก หันหน้ามาทางนี้ก็ได้ ปลดผนึก เท่านี้ก็ดีขึ้นแล้วเนอะ อย่าทำอะไรแปลกๆล่ะ”
“ลูบหางได้ไหมครับ”
“มันจั๊กจี้นะ เพราะงั้นห้ามค่ะ นอนได้แล้วพรุ่งนี้จะได้สำรวจโรงเรียนกับไปซื้อของเพิ่มกัน”
“เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากหลับไปสักพักทั้งคู่ก็กอดกันกลม