บทที่ 30 – โรสกับลัทธิหนังสือ
ชั้นเริ่มหาเล่มต่ออย่างมรสุมแต่ก็ไม่เจอชั้นถอนหายใจอย่างหน่ายใจมันตัดจบแบบนี้ได้น่ากระทืบจริงๆ
ชั้นจึงตัดสินใจไปถามบรรณารักษ์
“เอ่อ.. พอจะมีเล่มต่อไหม?”
“…”
บรรณารักษ์เงยหน้ามามองชั้นแล้วส่ายหน้าตอบทำให้ชั้นถอนหายใจออกเบาๆ พึมพำเงียบๆ ว่า “ให้ตายสิถ้าให้เดานี่คงเป็นเพราะพวกศาสนจักรบัดซบนั่นลบทิ้งแน่ๆ ”
ก็มีบ่อยใช่ไหมที่คนใหญ่คนโตจะลบเรื่องราวในอดีตให้หายออกจากประวัติศาสตร์เมื่อเวลาผ่านไปความจริงก็จะถูกซ่อนไว้ตลอดกาล
เป็นเผด็จการที่น่ากลัวจริงๆ นะยุคสมัยที่ใช้เวทมนตร์ได้แล้วแท้ๆ บรรณารักษ์เงยหน้ามามองชั้นด้วยสายตาแปลกๆ
“อุบ..”
แย่ล่ะ.. ลืมไปเลยว่าศาสนจักรมันเหมือนลัทธิอัลอะไรสักอย่างในโลกเดิมหากใครทำผิดตัดหัวเสียบโชว์กลางเมืองโดยใส่ร้ายป้ายสีว่าผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า
แย่ล่ะสิ.. ชั้นไม่โดนอุ้มหรอกมั้งเธอบรรณารักษ์พิจารณาชั้นอยู่เพราะเธอมองตรวจสอบอย่างมากชั้นยังรู้สึกได้เลยเธอถามชั้นว่า
“รักหนังสือไหม..?”
“อืม..” ชั้นพยักหน้า
“คิดยังไงกับคนที่ทำลายหนังสือ” เธอถาม
ชั้นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า “โง่เขลาทำลายภูมิปัญญาทั้งๆ ที่มนุษย์มีดีแค่สมองยังคิดจะทำลายอาวุธตัวเองโง่ยิ่งกว่ามอนสเตอร์อีก”
“แล้วคิดอย่างไรถ้าหากมีคนดัดแปลงหนังสือ”
“เผาทั้งเป็น.. เอ้ย..” ชั้นเผลอพูดอะไรผิดออกไปซะแล้วเอาใหม่ๆ “หมายถึงผิดมหันต์”
ตาเธอเป็นประกายจ้องมองมาที่ชั้นราวกับเจอสหายฉันมิตรที่ดีก่อนที่เธอจะยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เปิดอกคุยกันได้!”
“ห๊า…?”
ชั้นงงอย่างชัดเจนหลังจากนั้นเธอก็เริ่มพูดคุยเรื่องหนังสือน่าแปลกจริงๆ ที่มีคนชอบหนังสือแบบนี้ถึงจะไม่ละเอียดมากก็เถอะนะ
แล้วเธอก็จ้องมาที่ขั้นก่อนจะพูด “ท่านโรเสะอาจจะทราบแล้วว่าในหนังสือที่อ่านไปเมื่อกี้มีสิ่งที่ผิดเพี้ยน”
“เธอเองก็ดูออกงั้นเหรอ!?” ชั้นตกตะลึงระคนดีใจที่เจอญาติมิตรเข้าให้แล้วเธอยิ้มและพยักหน้าให้ชั้น
“ใช่.. แต่ความจริงนั้นถูกลบให้หายไปแล้วด้วยฝีมือของศาสนจักรบัดซบทำลายหนังสือรวมไปถึงเรื่องราวเกี่ยวกับแม่มดด้วย!”
“…”
ชั้นรู้สึกเดือดขึ้นมาจริงๆ หัวกำลังจะลุกโชติด้วยไฟแล้วเนี่ยเจ้าพวกนี้ทำลายหนังสือเหรอบ้าจริงๆ บัดซบ!!!! นี่มันหนังสือเชียวนะ!
“หากจำไม่ผิด…หนังสือถูกทำลายไปในศตวรรษที่ 19 มากกว่าหนึ่งหมื่นเล่มที่เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตถูกพวกมันสร้างขึ้นใหม่และดัดแปลง”
“……ระย*เอ๊ย..”
อ๊ะ.. เผลออุทานคำหยาบออกไปแล้วสิ.. แต่พวกนี้ทำลายไปหมื่นเล่มนะ.. หมื่นเล่มก็หมื่นจักรวาลหากคิดว่าหนังสือเล่มหนึ่งคือจักรวาลที่มีความรู้เยอะมากมาย
พวกมันบาปมหันต์! นี่มันบาปบาปเกินไปแล้วชั้นรับไม่ได้! ไม่ชั้นรับไม่ได้ชั้นต้องการที่จะลบพวกบาปนี้ให้ได้!
ชั้นตัดสินใจแล้วว่าหากเจอศาสนจักรแม่จะถล่มให้ยับเลยคอยดูสิ.. (R.I.P ศาสนจักร)
“ท่านโรเสะก็เป็นคนดีสินะคะ!!”
“เธอก็เหมือนจะเป็นคนดีนะ!”
“ชั้นชื่อว่าริม เอล คาร์กเป็นขุนนางทั่วไปค่ะ”
“ชั้น.. เอ่อ.. แนะนำตัวไปแล้วนี่นะ”
“แต่ว่าไม่อยากเชื่อว่าชั้นจะเจอคนดีอย่างท่านโรเสะ!”
“ชั้นก็ไม่คิดว่าจะเจอคนดีอย่างเธอเหมือนกัน”
“เธอ/ท่านนี่มันคนดีจริงๆ เลย/ค่ะ”
เสียงของพวกเราผสานกันอย่างลงตัวก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างพอใจดีจริงๆ ที่ได้เจอคนดีกับเขาสักทีนี่ดีจริงๆ เลยนะ
ถามว่าดีตรงไหนก็คนที่อ่านหนังสือย่อมเป็นคนดีคนที่ไม่อ่านหนังสือก็เป็นผู้นำได้ก็จริงแต่ไม่เป็นคนดีหรอกนะจะบอกให้
“แต่ท่านโรเสะต้องการจะพบเจอพรรคพวกคนดีไหมคะ?”
“เอ๊ะ.. มีด้วยเหรอ?”
“แน่นอนค่ะ! แต่ท่านโรเสะห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกกับใครนะคะพรรคพวกคนดีของเราค่อนข้างน้อยคนชั่วค่อนข้างเยอะหากเอาไปพูดในที่สาธารณะอาจโดนอุ้มได้ค่ะ”
“เอ๋.. มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ..”
อืม.. คนในโลกนี้ค่อนข้างจะใจดีมากกว่ามั้งไม่สิ.. ชั้นยังเคยเจอแค่คนในเมืองนี้เท่านั้นนะบางทีผู้คนอาจจะชั่วช้ายิ่งกว่าลัทธิอัลอะไรสักอย่างในโลกเดิมอีก
“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ!”
เธอพูดแบบนั้นก็ยกหุ่นกลกระดาษขึ้นมาเขียนอักษรรูนลงบนหุ่นกลกระดาษชั้นเข้าใจมันได้มันเขียนว่า “จำแลงกาย”
โดยเขียนลงบนกลางวงเวทที่มีอยู่ก่อนแล้วก่อนที่วงเวทจะส่องแสงแพรวพราวสว่างไสวไปทั่วพื้นที่
พอสิ้นแสงก็ปรากฏร่างของริมอีกคนชั้นตะลึงไปทันทีเธอเห็นท่าทางตกใจของชั้นเธอก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“นี่เป็นเวทมนตร์ที่เรียกว่าสลักอักษรรูนที่ชั้นคิดค้นมันด้วยตัวเองเวทมนตร์นั้นหลากหลายไม่เพียงแค่ปลดปล่อยพลัง.. ยังมีการสร้างวงเวทอื่นๆ อีกมากมาย!”
ชั้นตาเป็นประกายเวทมนตร์ชั้นก็อ่านมาเยอะมากแต่ไม่ได้อ่านตัวแปรของเวทมนตร์เลยเพราะมันไม่มีก็แน่ล่ะหนังสือจากสองพันปีก่อนทั้งหมดนี่น่า..
มันก็เหมือนโลกเดิมนั่นล่ะที่วัฒนาวิทยาการจนหลากหลายแต่โลกนี้พัฒนาเวทมนตร์ชั้นที่อยู่ในดินตลอดเลยไม่รู้เรื่อง
ว่าเวทมนตร์มันน่าสนใจมากขนาดนี้! นี่กลับไปคงต้องศึกษาสักหน่อยแล้วล่ะฮ่าๆ มีเพื่อนดีชีวิตสดใสดีขึ้นจริงๆ !
“เอาล่ะไปกันเถอะค่ะ”
“อืม!!”
ชั้นพยักหน้าเธอก็กดนั่นกดนี่ในห้องนี้ไม่นานก็มีประตูลับเปิดออกบันไดลงไปชั้นล่างเธอพูดกับชั้นว่า
“เนื่องเพราะพวกเราขัดต่อหลักศาสนจักรต้องลับตาหน่อย”
“ชั้นรู้”
เธอพาชั้นเดินลงไปโดยมีแสงไฟสลัวๆ ตามบันไดเดินลงเป็นวงชั้นมีต้านทานสถานะผิดปกติทุกชนิดนี่รวมถึงความมืดด้วยชั้นเลยเห็นข้างในได้ชัดเจน
ไม่นานก็มาถึงประตูไม้ตั้งอยู่ขนาดสูงราวๆ สองเมตรก่อนที่เธอจะผลักประตูออกไปอย่างช้าๆ เมื่อบานประตูเปิดออก
ชั้นก็เห็นคนหลายสิบคนนั่งอยู่ไม่ค่อยส่งเสียงมีหนังสือกองพะเนินเป็นภูเขาจนต้องเหวอ
“นี่มัน…”
“หนังสือเหล่านี้คือหนังสือที่พวกเราสามารถรวบรวมมาได้ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ !”
“หมายความเรื่องเกี่ยวกับแม่มดก็…” ตาชั้นเป็นประกาย
แต่ทว่าเธอส่ายหน้าพูดว่า “ไม่หรอกหนังสือเกี่ยวกับแม่มดไม่เหลือเลยแม้สักเล่ม.. ชั้นคิดว่าถ้าหากจะเป็นไปได้คงมีอยู่ในแดนปีศาจ”
“เอ๋.. ทำไมล่ะ?”
“เป็นสิ่งที่มนุษย์ที่ถูกเรียกง่าแม่มดหลบหนีไปแดนปีศาจเพื่อบันทึกไว้ดังนั้นศาสนจักรจึงไม่สามารถเข้าไปทำลายได้เนื่องเพราะแดนปีศาจมีคำสาปธิดาเทพอยู่”
ยังงี้นี่เอง…ถ้าชั้นไปดินแดนปีศาจจะได้อ่านต่อสินะไว้ค่อยไปดีกว่า.. และในตอนนั้นเอวคนที่อ่านหนังสือเหมือนพึ่งเห็นพวกชั้นทั้งสอง
“ริม.. เด็กคนนี้คือ”
“พรรคพวกคนใหม่ของเรา.. เธอมีชื่อว่าโรเสะ!”
“เอาล่ะ.. ท่านโรเสะถึงจะช้าไปหน่อยแต่ก็ยินดีต้อนรับสู่ลัทธิเล็กๆ ของพวกลัทธิหนังสือ!”
ลัทธิอะไรนี่ชื่อเชยเป็นบ้า แต่ชอบให้อภัย! จากนั้นการต้อนรับอย่างอบอุ่นและพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือก็ยืดยาว
ชั้นสนุกมากเป็นครั้งแรกที่ไม่รู้สึกเบื่อ.. แต่ตะหงิดอยู่ที่เรื่องเดียว.. เด็กๆ พวกนี้ค่อนข้างจะทันสมัยเกินไปบางทีชั้นตามไม่ทันนะ.
……….