เมื่อนึกถึงเย่ฉางอิง เหออิงซิ่วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงซูโสว่เต้า
เธออยู่ข้างซูโสว่เต้าตั้งแต่ยังสาว ดังนั้นเธอจึงรู้จักวัยหนุ่มของซูโสว่เต้าเป็นอย่างดี
เธอรู้ว่า ตอนนั้นเย่ฉางอิงเก่งแค่ไหน และเธอก็รู้ด้วยว่าซูโสว่เต้าในตอนนั้นมีชีวิตอยู่ในเงามืดของเย่ฉางอิง
ทันใดนั้น เธอรู้สึกถึงการเสียดสีเล็กน้อย
ในตอนนั้นเย่ฉางอิงเหนือกว่าซูโสว่เต้าทุกด้าน ทำให้ซูโสว่เต้ารู้สึกไม่พอใจ จนกระทั่งเย่ฉางอิงเสียชีวิต ในที่สุดซูโสว่เต้าก็รู้สึกโล่งอก
แต่ใครจะคิดว่าตอนนี้ลูกชายของเย่ฉางอิง จะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจนไม่อยากจะเชื่อ
แม้ว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่เหออิงซิ่วได้เห็นเย่เฉิน แต่เย่เฉินสามารถช่วยชีวิตลูกสาวตนเองจากกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่นอย่างเงียบ ๆ และเก็บเป็นความลับ จนทำให้ทุกคนไม่สามารถพบเบาะแสอะไรเกี่ยวกับลูกสาวตนเองได้แม้แต่น้อย ซึ่งสิ่งพวกนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า ความสามารถของเย่เฉินนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ แม้กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าน่าสะพรึงกลัว
ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่การช่วยชีวิตซูรั่วหลีเท่านั้น แต่ความเป็นจริง เขาทำให้กองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่นทั้งหมดเสียหน้าต่อหน้าเขา!
การมองเพียงมุมเดียว จะเห็นเพียงบางส่วนเท่านั้น
แค่เหตุการณ์นี้ก็เพียงพอที่จะสามารถพิสูจน์ว่าเย่เฉินทรงพลังอยู่เหนือจินตนาการ
นอกจากนั้น สิ่งที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าก็คือ เย่เฉินสามารถทำให้เส้นเริ่นของลูกสาวทะลวงได้สำเร็จได้อย่างง่ายดาย!
ซึ่งในสายตาของนักฝึกศิลปะการต่อสู้แล้วเทียบเท่ากับปาฏิหาริย์
หากบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์ ก็ไม่ถือว่าเป็นการกล่าวเกินความจริง
อย่างไรเสีย เส้นทางการฝึกศิลปะการต่อสู้ มักจะใช้ความพยายามครึ่งค่อนชีวิต
การฝึกศิลปะการต่อสู้ก็ไม่ต่างจากชายโง่ย้ายภูเขา ที่ต้องมีความพยายามมุ่งมั่นโดยไม่กลัวอุปสรรคใด ๆ
นักฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกคนต่างแสวงหาผลสำเร็จสุดท้าย แต่ไม่มีใครรู้ว่าผลสำเร็จสุดท้ายเป็นอย่างไร
พวกเขาทำได้เพียงพยายามจนสุดความสามารถในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น หากพวกเขาพยายามจนถึงที่สุดแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ งั้นก็ให้ลูกหลานของพวกเขาเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่บนพื้นฐานของพวกเขา
เช่นเดียวกับชายโง่ย้ายภูเขา ตนเองตายจากไปแล้ว ก็ยังมีลูกหลาน และเหลนไม่รู้จบ
และการกระทำของเย่เฉินหมายความว่าอย่างไร?
เพื่อใช้การเปรียบเทียบที่เหมาะสม การกระทำของเย่เฉิน คือการย้ายภูเขาขนาดใหญ่ที่ชายโง่ต้องใช้เวลาขุดอย่างน้อย 20 ปีไปในชั่วพริบตา!
ความสามารถนี้เรียกว่าพลังเหนือธรรมชาติ
นอกจากนั้นยังมียาของเย่เฉิน ซึ่งมหัศจรรย์มากกว่าที่จะสามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
เหออิงซิ่วรู้สึกว่า ถ้านำยาวิเศษนี้ออกมาขาย แม้แต่ตระกูลของนักฝึกศิลปะการต่อสู้ในโลกนี้ ต่อให้ตระกูลต้องล่มจม พวกเขาก็จะสู้ตายเพื่อแย่งชิงซื้อยานี้
หนึ่งร้อยล้านแล้วอย่างไร? แล้วสองร้อยล้านแล้วไง? อาศัยเพียงการฝึกและบำรุงด้วยยาเหล่านั้น แม้ว่าจะมีเงินหนึ่งพันล้าน แต่ก็อาจไม่สามารถซื้อประสิทธิภาพของยาเม็ดนี้ได้
สำหรับผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้แล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการพัฒนาระดับผลฝึกฝนของตนเอง
ดังนั้นจากแง่มุมเหล่านี้ เหออิงซิ่วยังรู้สึกว่า มีแนวโน้มที่เย่เฉินจะอาศัยความสามารถของตนเอง ทำให้ตระกูลซูและตระกูลเย่ หรือกระทั่งตระกูลชั้นนำในประเทศอยู่ใต้อาณัติตนเอง
ดูเหมือนว่าลูกสาวของตนเองจะมีความภักดีต่อเย่เฉิน แต่เบื้องหลังความจงรักภักดีนี้มีความรักของหนุ่มสาวอย่างชัดเจน ดังนั้นเหออิงซิ่วจึงถามซูรั่วหลีว่า “รั่วหลี ลูกบอกความจริงกับแม่ ลูกมีความรู้สึกที่ดีต่อคุณชายเย่ใช่ไหม?”
ซูรั่วหลีกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย “แม่ แม่กำลังพูดเรื่องอะไร…..คุณชายเย่เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้ และยังถือเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของฉันอีกด้วย ผลการฝึกฝนของฉันทะลวงต่อเนื่องก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากเขา ดังนั้นในใจของฉันจึงมีแต่เคารพและความซาบซึ้ง……… ”
เหออิงซิ่วยิ้มเล็กน้อย “แม่เป็นคนคลอดลูกออกมา แม่จะไม่เข้าใจลูกได้อย่างไร? สายตาที่ลูกมองคุณชายเย่ เป็นสิ่งที่แม่ไม่เคยเห็นในตัวลูกมาก่อน มองแวบเดียวแม่ก็รู้ว่าลูกหลงรักคุณชายเย่แล้ว”
“ฉันไม่ได้……” ซูรั่วหลีโต้กลับด้วยความตะขิดตะขวงใจ จากนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “เฮ้อ……ความจริงฉันขอพูดความจริงในใจ ถ้าคนที่เข้าใจผู้ชายอย่างคุณชายเย่อย่างแท้จริง จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ไม่ตกหลุมรักเขา? ไม่เพียงแค่ฉัน แม้แต่พี่ซูจือหยูก็ตกหลุมรักเขามานานแล้วเช่นกัน……”
“อะไรนะ?!” เหออิงซิ่วอุทาน “ซูจือหยู! เธอชอบคุณชายเย่ด้วยเหรอ!”
“ถูกต้อง” ซูรั่วหลียิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ฉันคิดว่าพี่จือหยูชอบคุณชายเย่ และเธอก็ชอบมากจนแทบเป็นบ้าแล้ว”