“ใช่ค่ะ”ซูจืออยูกล่าว“คุณอิโตะบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่เขาเข้าใจดี ตอนนี้เราคุยกันได้ไม่เลวเลย เนื่องจากตอนนี้ไม่สามารถเอาเรื่องในอดีตมาเปรียบเทียบได้ หนูได้ลดตัวลงมาเล็กน้อย วางแผนว่าจะเอาบริษัทขนส่งทางทะเลกับตระกูลอิโตะก่อตั้งบริษัทใหม่ ถึงเวลานั้นตระกูลอิโตะถือหุ้น51% หนูถือหุ้น49% เมื่อเป็นแบบนี้ เอาสินทรัพย์ถาวรมาอยู่ภายใต้ชื่อของบริษัทใหม่ แล้วค่อยยกเลิกชื่อของบริษัทขนส่งทางทะเลของตระกูลซู น่าจะสามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดและความเสี่ยงก่อนหน้านี้ได้”
เมื่อซูเฉิงเฟิงได้ยิน ถึงแม้ในใจของเขาจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านมากนัก
เขาคิดไม่ถึงว่า ซูจือหยูจะสามารถเชื่อมความสัมพันธ์กับนางาฮิโกะ อิโตะใหม่ได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าการร่วมงานนี้จะฟังดูเหมือนกับหุ้นที่อยู่ในการครอบครองได้รับผลกระทบ แต่เนื่องจากตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษ จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นจึงต้องเสียสละออกไปบ้าง
ในระยะยาว สินทรัพย์และธุรกิจสามารถเกิดมาได้ใหม่ ถึงจะต้องเสียผลประโยชน์ไปบ้างก็ตาม แต่มันก็สามารถทำให้กิจการฟื้นฟูกลับมาได้ ดีกว่าการสูญเสียมากขึ้นเรื่อย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงย้ำเตือนกับซูจือหยูว่า“จือหยู การร่วมก่อตั้งบริษัทใหม่กับตระกูลอิโตะไม่มีปัญหาอะไร แต่แกจะต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้ด้วย ในสัญญาแกจะต้องระบุให้ชัดเจนว่า มีสิทธิ์ที่จะถอน ทรัพย์สินและทรัพยากรที่นำไปลงทุนออกมาได้ ด้วยวิธีนี้ เมื่อยกเลิกข้อจำกัดของเราข้างต้น เราสามารถเอาทรัพย์สินพวกนี้ออกมาได้ แล้วค่อยเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทขนส่งทางทะเลของเราขึ้นมาใหม่”
เย่เฉินที่ฟังอยู่ข้างๆ เขาอดที่จะแอบคิดในใจไม่ได้ว่าตาแก่คนนี้คำนวณทิศทางเก่งจริงๆ เวลาแบบนี้ยังไม่ลืมที่จะอยากเก็บทางหนีทีไล่ไว้
ซูจือหยูคิดในใจว่า ในเมื่อตนตัดสินใจจะร่วมงานกับเย่เฉิน แน่นอนว่าไม่มีทางเล่นตุกติกกับเย่เฉินอย่างแน่นอน
วิธีการเล่นตุกติกแบบนี้ มันเหมือนกับการที่ตนเองรับรองสินสอดทองหมั้น ก่อนที่ตนจะแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย
แบบนี้ เมื่อชีวิตคู่ล้มเหลว หรือตนไม่อยากอยู่ต่อไปกับสามีอีกแล้ว ก็สามารถเอาสินสอดทองหมั้นจากไปได้เลย
ถึงแม้ในทางกฎหมายจะไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น แต่เรื่องแบบนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความรักของทั้งสองไม่อาจจะมั่นคงได้ตลอดไป การกระทำแบบนี้จะกลายเป็นช่องว่างระหว่างคนสองคนไปโดยปริยาย
ดังนั้น เธอจึงพูดกับซูเฉิงเฟิงว่า“เรื่องนี้ หนูจะต้องเอาความจริงใจไปร่วมงานกับอีกฝ่ายร้อยเปอร์เซ็นต์ มีแค่การทำแบบนี้เท่านั้น ทุกคนถึงจะสามารถร่วมงานกันได้อย่างสมบูรณ์ ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาให้กิจการใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าต่างฝ่ายต่างเล่นแง่หรือเล่นตุกติกกัน การร่วมงานแบบนี้จะต้องไม่ยาวนานแน่”
ซูเฉิงเฟิงกล่าวอย่างจริงจังว่า“จือหยู ตระกูลซูของเราไม่เคยร่วมทุนกับใครมาก่อน แต่ก่อนที่จะร่วมทุนเราต้องถือหุ้นของเราอย่างสมบูรณ์ทั้งหมด จุดนี้มันสำคัญมาก เราจะต้องถือสิทธิ์ในการครอบครองไว้ในมือเอง ตอนนี้นางาฮิโกะ อิโตะอยากควบคุมทั้งหมด งั้นเราก็ต้องเก็บทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเอง ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดถูกอีกฝ่ายจูงจมูกเดิน เราจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ!”
เมื่อซูจือหยูได้ยินแบบนั้น เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า“จุดนี้หนูเห็นต่างจากคุณค่ะ ถ้าตอนนี้หนูเก็บทางหนีทีไล่โดยการเตรียมถอนทุนทั้งหมด ตระกูลอิโตะจะต้องตั้งเงื่อนไขเหมือนกันแน่ ถ้าอีกฝ่ายไม่ลงมือยังพอพูดกันได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายไล่เราออกไป โดยที่เรายังไม่ได้แก้ไขปัญหา เราจะทำอย่างไร?ไม่ใช่คนทุกคนต้องทำตามความคิดความอ่านของเรานะคะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูจือหยูก็พูดขึ้นมาอีกว่า“อีกอย่าง ในเมื่อคุณยกบริษัทขนส่งทางทะเลให้หนูเป็นค่าชดใช้แล้ว หนูก็หวังว่าคุณจะรักษาสัญญา เคารพการตัดสินใจในการบริหารงานของหนู”
จากนั้น ซูจือหยูก็เปลี่ยนบทสนทนา พูดขึ้นมาอีกว่า“แน่นอนว่า หนูก็จะรักษาสัญญาเหมือนกัน หลังจากที่คุยงานกับคุณอิโตะเสร็จ หนูจะติดต่อกับผู้มีพระคุณ พยายามเกลี้ยกล่อมเขา”
ซูเฉิงเฟิงทำได้เพียงแค่พูดอย่างโกรธเคืองว่า“ได้!ในเมื่อเป็นแบบนี้ อนาคตข้างหน้าปู่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านการบริหารงานของแกอีก!”
ก่อนที่ซูจือหยูจะวางสายไปก็ได้พูดย้ำเตือนอีกว่า“จริงสิ เรื่องมัลดีฟส์น่ะจัดการง่ายมากเลยนะคะ เราไปกันพรุ่งนี้เลยไหมคะ บินไปน่าจะใช้เวลาแค่เจ็ดชั่วโมง ถ้าการทำงานราบรื่น ใช้เวลาหนึ่งวันน่าจะโอนย้ายสำเร็จ”
ซูเฉิงเฟิงที่อยู่ปลายสายถึงกับนวดคลึงหน้าแก แล้วพูดอย่างท้อใจว่า“ได้ พรุ่งนี้ปู่จะให้อานสุ้นบินไปที่มัลดีฟส์!”