คำพูดของเย่โจงฉวน ทำให้จงเจิ้งทาวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ในความคิดของเขา คำพูดของเย่โจงฉวนมันคือการให้ท้ายลูกหลานของตัวเอง
ที่ตนโทรหาเขา ก็เพื่อหวังว่าเขาจะไว้หน้าเขาบ้าง ช่วยพูดกับเย่เฉินหน่อย ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเล็กๆ จากเรื่องเล็กก็ให้มันหมดไป
แต่เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่า เย่โจงฉวนจะพูดกับเขาว่าตนไม่มีปัญญาทำอะไรหลานชายคนนี้ของเขาได้?!
นี่มันรังแกกันมากเกินไปแล้ว!
เย่โจงฉวนเดาได้ในทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวอย่างจริงจังว่า“เสี่ยวจง ฉันรู้ว่านายต้องคิดว่าฉันกำลังปกป้องเย่เฉิน แต่ฉันขอพูดตรงๆเลยนะ ถึงแม้เย่เฉินจะเป็นหลานชายของฉันก็จริง แต่ฉันกับทั้งตระกูลเย่ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
แน่นอนว่าจงเจิ้งทาวไม่เชื่อ เมื่อได้ยินแบบนั้น ภายในใจของเขาอดที่จะลุกเป็นไฟไม่ได้ เขาขึ้นเสียงเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า“คนอย่างผมจงเจิ้งทาวไม่ใช่คนที่กลัวอะไร ยิ่งไม่ยอมให้ใครมาขี้บนคอผมได้!ถ้าลุงเย่กับตระกูลเย่ก้าวก่ายไม่ได้ ผมก็อยากวัดกับเย่เฉินเหมือนกัน ดูสิว่าใครมันจะแน่กว่ากัน!”
เย่โจงฉวนถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า“ถ้านายอยากงัดข้อกับเย่เฉิน ฉันไม่ห้ามหรอก อีกทั้งฉันสัญญาเลยว่าฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ถ้านายงัดข้อกับเย่เฉินแพ้ ภายในระยะเวลาหลายปีของนาย มีแนวโน้มจะไม่ได้รับอิสรภาพ พี่น้องตระกูลจงของพวกนายมีเยอะขนาดนั้น ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาย อำนาจการควบคุมบริษัทจงซื่อ จะอยู่ในมือของคนอื่นนะ”
จงเจิ้งทาวถึงกับชะงักพูดอะไรไม่ออก
เมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงของเย่โจงฉวน จู่ๆก็รู้สึกว่า เย่โจงฉวนเหมือนจะไม่ได้ให้ท้ายลูกหลานของตัวเอง
แต่ว่า จะให้ลูกชายของตัวเองถูกคนอื่นจับไปแบบนี้ เพื่อไปเป็นลูกเรือสามปี จุดจบแบบนี้เขาไม่มีทางสามารถรับได้อย่างแน่นอน
อต่ว่า เขาก็รู้สึกว่า ถ้าตนจะไปงัดข้อกับเย่เฉินจริงๆ ขืนแพ้ขึ้นมา ก็จะเหมือนกับที่เย่โจงฉวนพูด พี่น้องพ่อเดียวกันแต่คนละแม่คนอื่นๆ ก็จะรวมหัวกันแล้วเข้ามาแย่งชิงทรัพย์สมบัติของตัวเอง
ประกอบกับสิ่งที่เย่ฉางหมิ่นพูดเมื่อสักครู่ เขาก็ค่อยๆรู้สึกว่า เย่ฉางหมิ่นกับเย่โจงฉวนแทบจะไม่ได้โกหกตัวเอง
วินาทีนี้ ในใจของเขาเริ่มเกิดความรู้สึกอยากถอย
จากนั้น เขาก็โทรหาเย่ฉางหมิ่นอีกครั้ง เมื่อสายถูกรับ เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“ฉางหมิ่น คุณสารภาพกับผมมาตรงๆว่า หลายชายคนนี้ของคุณ ตกลงต่อกรยากขนาดไหน?”
เย่ฉางหมิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจ“ตอนตรุษจีน ฉันไม่อยู่ที่เย่นจิงประมาณเกือบครึ่งเดือน คุณยังจำได้ไหม?”
“จำได้ครับ”จงเจิ้วทาวกล่าวว่า“ช่วงนั้นผมยังสงสัยอยู่เลยว่าคุณมีคนอื่นรึเปล่า พอผมขอนัดเจอกับคุณ คุณก็บอกว่าไม่อยู่เย่นจิง ถามว่าคุณอยู่ไหนคุณก็ไม่บอก พอจะวิดีโอคอลกับคุณ คุณก็ไม่รับ”
เย่ฉางหมิ่นพูดอย่างทุกข์ใจ“เรื่องนี้ ฉันไม่ได้คิดอยากจะบอกกับคุณ เพราะว่ามันขายหน้าเกินไป แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันก็จะไม่ปิดบังกับคุณอีกต่อไป”
พูดถึงตรงนี้ เย่ฉางหมิ่นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา“ความจริงช่วงนี้ ฉันอยู่ที่จินหลิง”
“ตอนนั้นคุณอยู่ที่จินหลิง?”จงเจิ้งทาวรีบซักไซ้“คุณอยู่ที่หลานชายคุณงั้นหรอ?”
เย่ฉางหมิ่นค่อยๆกล่าวว่า“ฉันถูกเขาจับขังที่สลัม……”
“ว่าไงนะ?!”จงเจิ้งทาวถามอย่างหวาดกลัว“คุณถูกจับขังงั้นหรอ?!เพราะอะไร?!คุณเป็นอาของเขานะ!”
เย่ฉางหมิ่นพูดอย่างไม่พอใจ“อาอย่างฉันในสายตาของเขา คงจะไม่มีค่าอะไรหรอก”