สองแม่ลูกมองเห็นเซียวชูหรันจากด้านหลัง ดังนั้นตู้ไห่ชิงจึงเรียกเธอด้วยความแปลกใจ“ผู้จัดการเซียวคะ!”
เซียวชูหรันรีบหันกลับไป พอเห็นว่าเป็นตู้ไห่ชิง เธอก็พูดตอบกลับไปอย่างยิ้มๆว่า“สวัสดีค่ะน้าตู้!”
ตู้ไห่ชิงกล่าวอย่างยิ้มๆว่า“ทำไมผู้จัดการเซียวถึงมาเช้าขนาดนี้คะ”
เซียวชูหรันรีบกล่าวอย่างสุภาพว่า“น้าตู้คะ เนื้อหารายละเอียดในการต่อเติมของเราในครั้งนี้ค่อนข้างเยอะเลยค่ะ ฉันเลยอยากมายืนยันให้แน่ใจเกี่ยวกับรายละเอียดทั้งหมดเช้าหน่อยน่ะค่ะ”
ตู้ไห่ชิงพยักหน้า แล้วชี้ไปที่ยังซูจือหยูที่อยู่ข้างๆ พลางพูดกับเซียวชูหรันว่า“ผู้จัดการเซียวคะ ฉันขอแนะนำให้คุณรู้จักหน่อยนะคะ คนนี้คือลูกสาวของฉันค่ะ ซูจือหยู”
พูดจบ เธอก็พูดกับซูจือหยูว่า“จือหยู นี่คือเซียวชูหรัน เจ้าของสำนักงานออกแบบที่แม่เลยพูดกับลูกไง”
ซูจือหยูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเกรงใจ“สวัสดีค่ะผู้จัดการเซียว!”
เซียวชูหรันรีบตอบ“อย่าเรียกฉันว่าผู้จัดการเซียวเลยค่ะ เรียกฉันว่าซูหรันก็พอแล้วค่ะ”
พูดจบ เธอเห็นว่าตู้ไห่ชิงแนะนำลูกสาวของตนแล้ว ตามมารยาท เธอก็ต้องแนะนำสามีของเธอด้วย ดังนั้น เธอจึงรีบเบี่ยงตัว แล้วพูดกับเย่เฉินที่อยู่ในรถว่า“คุณคะ ลงมาทักทายกับน้าตู้และคุณซูหน่อยค่ะ”
อันที่จริง เย่เฉินที่นั่งอยู่ในรถได้เห็นตู้ไห่ชิงกับซูจือหยู ผ่านกระจกมองหลังของรถแล้ว
ในตอนที่เขากำลังจะรีบขับรถออกไปนั้น คิดไม่ถึงว่าเซียวชูหรันภรรยาของเธอจะให้ตนลงจากรถไปทักทายพวกเธอ
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ตนคงไม่สามารถเหยียบคันเร่งแล้วขับรถออกไปได้
ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงแค่ฝืนลงจากรถ
เย่เฉินพึ่งลงจากรถ ก็ถูกซูจือหยูที่สายตาดีจำได้
ในตอนที่ซูจือหยูเบิกตากว้างนั้น คำว่าผู้มีพระคุณแทบหลุดจากปากของเธอ ตู้ไห่ชิงรู้สึกแปลกใจมาก คิดไม่ถึงว่ามัณฑนากรที่เธอร่วมงานด้วย จะเป็นภรรยาของเย่เฉิน
ในตอนที่สองแม่ลูกตกใจไม่หาย เย่เฉินก็รีบกล่าวว่า“สวัสดีครับทั้งสองท่าน เจอกันครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
คำพูดของเย่เฉินที่ว่าเจอกันครั้งแรก ทำให้ซูจือหยูกับตู้ไห่ชิงเข้าใจได้ในทันที
เย่เฉินจะต้องไม่อยากให้พวกเธอทั้งสองคนหลุดปากบอกว่ารู้จักเขา ต่อหน้าภรรยาของเขาแน่ๆ
ดังนั้น ตู้ไห่ชิงจึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน“พวกคุณสองคนเหมาะกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก”
ซูจือหยูที่อยู่ข้างๆไม่พูดอะไร เธอรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ ในขณะเดียวกันก็อดที่จะมองไปที่บังเซียวชูหรันไม่ได้ เธอแอบเปรียบเทียบตัวเองกับเซียวชูหรันในใจอย่างเงียบๆ
แน่นอนว่าเซียวชูหรันสวยจนไม่มีที่ติ แต่ซูจือหยูก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยไปกว่าเธอตรงไหน ถ้านับจากชาติตระกูล ตนชนะเธอเป็นไหนๆ
เซียวชูหรันไม่รู้ว่าในใจของซูจือหยูคิดอะไรอยู่ เธอเห็นว่าเย่เฉินลงจากรถมาทักทายตู้ไห่ชิงทั้งสองแม่ลูกแล้ว จึงมองไปยังเย่เฉิน แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า“คุณคะคุณมีธุระต้องรีบไปทำไม่ใช่หรอคะ?งั้นคุณไปก่อนเถอะค่ะ ฉันจะตรวจเช็กรูปแบบงานกับน้าตู้หน่อยน่ะค่ะ”
เย่เฉินพยักหน้า แล้วกล่าวอย่างพายเรือไม่ตามน้ำ“ได้ครับ งั้นผมไม่รบกวนเวลาของพวกคุณแล้วกัน”
พูดจบ เขาก็มองไปที่ตู้ไห่ชิงและซูจือหยู พลางกล่าวอย่างยิ้มๆว่า“น้าตู้ครับ คุณซูครับ ลาก่อนนะครับ”
ตู้ไห่ชิงกับซูจือหยูกล่าวลากับเขาอย่างมีมารยาทเช่นกัน จากนั้นก็ใช้สายตาส่งเย่เฉินขับรถจากไป
เมื่อเห็นว่าเย่เฉินไปแล้ว เซียวชูหรันก็พูดกับตู้ไห่ชิงว่า“น้าตู้คะ เราเข้าไปกันเถอะค่ะ”
“ได้ค่ะ”ตู้ไห่ชิงยิ้มเบาๆ แล้วพาเซียวชูหรันเดินเข้าไปในสวนของบ้านเก่า
ทั้งสามคนเดินไปด้วย ตู้ไห่ชิงก็ถามอย่างสนใจว่า“ชูหรัน เธอกับสามีของเธอรู้จักกันได้ยังไงหรอ?”
เซียวชูหรันยิ้มเบาๆ แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา“ฉันกับสามีของฉันน่ะหรอคะ คุณปู่ของฉันแนะนำให้เรารู้จักกันค่ะ”
“คุณปู่แนะนำงั้นหรอ?”ตู้ไห่ชิงอดถาม อย่างแปลกใจไม่ได้“แล้วพวกเธอคบกันได้ยังไงล่ะ?”
เซียวชูหรันกล่าวอย่างเขินๆ“เอ่อเรื่องนี้จะพูดกับคุณยังไงดี……เราสองคนอันที่จริงแต่งงานกันภายใต้คำขอร้องจากคุณปู่ของฉันน่ะค่ะ……”
ซูจือหยูอดที่จะถามอย่างอยากรู้อยากเห็นไม่ได้“ห้ะ?หรือพวกคุณสองคนไม่ได้คบกันอย่างอิสระ?”
เซียวชูหรันเม้มปาก แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา“ก่อนหน้าที่จะแต่งงาน เราสองคนไม่ได้ทำความเข้าใจหรือรู้จักกันก่อน……”
จู่ๆซูจือหยูก็รู้สึกตื่นเต้น จนโพล่งออกไปว่า“นี่มันก็เท่ากับคลุมถุงชนน่ะสิคะ?”