ดังนั้น เธอจึงอาศัยจังหวะที่แม่คุยเรื่องงานกับเซียวชูรัน รีบเดินออกจากบ้านเก่า ไปที่ด้านในของสวน จากนั้นล้วงมือถือออกมา ส่งข้อความเสียงหาเย่เฉิน“ผู้มีพระคุณคะ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของคุณจะแต่งงานกับคุณอย่างคลุมถุงชน!”
ทางด้าน เย่เฉินที่ขับออกมาจากเขตเหล่าเฉิงไกลแล้ว กำลังมุ่งหน้าไปยังสนามบิน
ระหว่างทาง เขายังนึกถึงเรื่องของตู้ไห่ชิง และซูจือหยูที่พบเจอกันเมื่อสักครู่ เขาอดที่คิดในใจไม่ได้ว่า“จินหลิงตอนนี้ยังดูเล็กไปหน่อย ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป จากนี้ไปโอกาสที่จะพบเจอคนรู้จักในจินหลิงก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้ง คนที่รู้ตัวตนของตัวเองก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว ในไม่ช้าเรื่องก็จะถูกเปิดเผย”
นอกจากความรู้สึกที่ว่าจินหลิงสถานที่เล็กไปหน่อย เย่เฉินยังรู้สึกว่า มีคนหลั่งไหลเข้ามาในจินหลิงมากขึ้นเรื่อยๆ จากคนทุกหนทุกแห่ง
ซูจือหยูก็มา อิโตะ นานาโกะก็มา อีกเดี๋ยวกู้ชิวอี๋ก็จะตามมา
เพียงแต่ไม่รู้ว่า หลังจากกู้ชิวอี๋แสดงคอนเสิร์ตจบ คนพวกนี้จะทำอย่างไรต่อไป
ในตอนที่เย่เฉินรู้สึกสะท้อนใจ จู่ๆเขาก็ได้รับข้อความวีแชทจากซูจือหยู เมื่อเปิดมาดู เขาก็ตกตะลึงกับเนื้อความในวีแชท
เขามองดูเวลาครู่หนึ่ง ตนพึ่งออกมาไม่ถึงห้านาที ทำไมซูจือหยูถึงแอบล้วงความลับจากปากของเซียวชูหรันออกมาได้เร็วขนาดนี้?!
เขารู้สึกสะท้อนใจถึงความฉลาดของซูจือหยู เขาตอบกลับโดยข้อความเสียงว่า“คลุมถุงชนแล้วยังไงครับ?ผมกับภรรยาถึงแม้จะแต่งงานกันแบบคลุมถุงชน แต่เราก็รักกันดี”
เมื่อซูจือหยูเห็นเย่เฉินตอบกลับข้อความเสียงกลับมา เธอก็วางมือถือแนบกับหูอยางระมัดระวัง ฟังข้อความเสียงของเย่เฉินจบ
จากนั้น เธอก็ตอบกลับเสียงเบาว่า“ผู้มีพระคุณคะ คุณอย่าโกหกฉันเลย ฉันเดาว่าคุณกับภรรยาของคุณไม่ใช่แค่คลุมถุงชน อีกทั้งพวกคุณยังไม่ได้เป็นสามีภรรยาที่แท้จริงกันด้วยซ้ำมั้ง?”
เย่เฉินคิดไม่ถึงว่าสายตาของซูจือหยูจะแหลมคมขนาดนี้ จึงพูดอย่างเลี่ยงๆว่า“เรื่องระหว่างเราสองคน คงไม่จำเป็นต้องพูดกับคุณหรอกมั้งครับ?”
ซูจือหยูตอบกลับอย่างจริงจัง“การเลี่ยงตอบมันคือการแสดงความคุณกลัว อีกทั้ง ถ้าพวกคุณสองคนรักกันดีทำไมหลังแต่งงานถึงไม่ใช่ชีวิตสามีภรรยาที่แท้จริงกันล่ะ คุณแต่งงานมาตั้งสี่ปี ไม่มีทางที่จะไม่มีลูกแบบนี้ ดังนั้นฉันกล้ารับประกันเลยว่า พวกคุณสองคนแต่งงานกันแค่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น!”
เย่เฉินไม่รู้จะทำอย่างไรกับการคาดเดาของเธอ เขาไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพียงแต่พูดอย่างใจเย็นว่า“คุณจะเดาจะทายยังไงมันคืออิสระของคุณ”
พอซูจือหยูเห็นแบบนั้นก็รีบพูดว่า“ผู้มีพระคุณไม่อยากให้ฉันเดา งั้นฉันไม่เดาก็ได้ค่ะ ผู้มีพระคุณอย่าโกรธฉันนะคะ”
พูดจบ เธอก็ไม่รอให้เย่เฉินพูดอะไร แล้วรีบกล่าวว่า“จริงด้วยค่ะผู้มีพระคุณ ฉันนัดกับคุณเฮ่อแล้วนะคะ วันนี้เราจะไปพบกันที่ตี้เหากรุ๊ปค่ะ เพื่อคุยรายละเอียดการร่วมงานกัน ไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณจะมาไหมคะ?”
เย่เฉินตอบกลับ“วันนี้ผมมีธุระ ผมไม่ไปแล้ว แต่ผมให้หงห้าติดต่อกับจือชิวแล้ว ตอนที่คุณเจอกับจือชิว ผมน่าจะไปก็ได้ ผมรับปากว่าจะจัดหาเสบียง รวมถึงงานรักษาความปลอดภัยของท่าเรือผมได้มอบหมายให้เขาจัดการแล้ว ดังนั้นเขาจะร่วมงานกับคุณในอนาคต พวกคุณต้องการอะไร สามารถพูดกับเขาได้เลยนะครับ”
ซูจือหยูจึงกล่าวว่า“ได้ค่ะผู้มีพระคุณ ฉันจะคุยรายละเอียดกับคุณเฮ่อและคุณหงค่ะ”
พูดจบ จู่ๆเธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามว่า“จริงสิคะผู้มีพระคุณ วันนี้คุณคงไม่ได้ไปรับกู้ชิวอี๋ที่สนามบินหรอกใช่ไหมคะ?!”
เมือ่เย่เฉินได้ยินอย่างนั้น จึงอดที่จะขมวดคิ้ว ถามเธอไม่ได้ว่า“ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”
ซูจือหยูกล่าวอย่างตรงไปตรงมา“ฉันรู้เรื่องที่ผู้มีพระคุณมีสัญญาหมั้นหมายกับกู้ชิวอี๋ อีกทั้งได้ยินมาว่าครอบครัวของพวกเธอไม่เคยละทิ้งความพยายามในการตามหาผู้มีพระคุณ และประกอบกับจู่ๆเธอก็เลือกจัดทัวร์คอนเสิร์ตที่จินหลิง ฉันเลยเดาได้นะคะที่เธอทำแบบนี้ก็เพื่อตามผู้มีพระคุณมา ในเมื่อคุณกู้มาไกลขนาดนี้ ผู้มีพระคุณในฐานะเจ้าบ้าน มีเหตุผลที่จะไปรับเธอที่สนามบินอยู่แล้ว”
เมื่อเย่เฉินได้ยินดังนั้น เขาจึงอดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ ซูจือหยูคนนี้ ฉลาดจริง กระทั่งฉลาดจน ทำให้หัวใจของเขาอดที่รู้สึกระแวดระวังไม่ได้!