กู้ชิวอี๋ได้ยินว่าพ่อกับแม่จะต้องไปประชุม จึงรีบเอ่ยขึ้น: “พ่อแม่ ทั้งสองคนอย่าเพิ่งรีบวางสิคะ หนูยังไม่ได้ให้ทั้งคู่ดูดอกไม้ที่พี่เย่เฉินให้หนูเลย!”
สิ้นเสียง ก็รีบสลับเป็นกล้องหลัง ถ่ายไปยังดอกไม้สดช่อนั้นที่วางอยู่บนขาตัวเอง
หลินหว่านชิวที่อยู่ปลายสาย ยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า: “โถๆ ดอกไม้ช่อใหญ่ขนาดนี้เลย เฉินเอ๋อใส่ใจจริงๆ เลยนะ! แม่อยู่กับพ่อลูกมาตั้งหลายปี พ่อของลูกเหมือนจะไม่เคยให้ดอกไม้แม่เลย”
กู้เย้นจงเอ่ยด้วยความเคอะเขิน: “พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้ว จะต้องมาใส่ใจเรื่องเหล่านี้ทำไมกันล่ะ”
หลินหว่านชิวกรอกตาใส่ เอ่ยว่า: “เพราะงั้นนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างคุณกับเฉินเอ๋อยังไงล่ะ คุณดูเฉินเอ๋อสิโรแมนติกขนาดไหน? ต่อให้แค่ไปรับที่สนามบินก็ยังเตรียมดอกกุหลาบช่อหนึ่งไว้ดิบดี”
เย่เฉินเองก็รู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วครู่
กู้ชิวอี๋หัวเราะคิกคักขึ้นมา เอ่ยว่า: “พ่อคะ ได้ยินไหม ต่อจากนี้ไปต้องเรียนรู้จากพี่เย่เฉินเยอะๆ หน่อนะ!”
สิ้นเสียง จึงเอ่ยด้วยความพึงพอใจ: “เอาล่ะค่ะ หนูอวดเสร็จแล้ว ทั้งสองท่านรีบไปทำธุระเถอะ วางละนะคะ!”
หลังวางสายวิดีโอคอลกับกู้ชิวอี๋ เย่เฉินจึงได้ถามเธอด้วยความสงสัย: “หนานหนาน ตอนนี้น้าหลินก็เริ่มยุ่งเรื่องที่กู้ซื่อกรุ๊ปแล้วเหมือนกันเหรอ?”
“ใช่แล้วค่ะ” กู้ชิวอี๋พยักหน้า ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า: “ตั้งแต่ที่อาการป่วยของพ่อฉันหายดี บริษัทก็พัฒนาเร็วมากเหมือนฉีดเลือดไก่เลย เรื่องหลายเรื่องไม่สามารถทำคนเดียวได้ คุณพ่อเองก็ไม่ได้เชื่อใจคุณลุงสองคนนั้นของฉันเท่าไรนัก เพราะงั้นแม่ฉันเลยไปช่วยงานเขาน่ะ”
ขณะที่เอ่ย กู้ชิวอี๋ก็ถอนหายใจ เอ่ยว่า: “แม่ฉันเป็นผู้หญิงแกร่งจริงๆ เลย ตอนทำงานทุ่มเทมากกว่าคุณพ่อซะอีก ช่วงเวลานี้หน้าตาซูบผอมกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด เห็นแล้วก็น่าสงสารมากเลยละค่ะ”
เย่เฉินยิ้มเบาๆ เอ่ยว่า: “งั้นรอให้ลุงกู้และน้าหลินมาวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวผมจัดยาให้พวกเขาด้วยเลย ต้องมีส่วนช่วยบรรเทาร่างกายพวกท่านอย่างแน่นอน”
กู้ชิวอี๋หัวเราะคิกคัก: “ถ้างั้นเยี่ยมไปเลยค่ะ! พี่เย่เฉิน พี่มีสูตรยาดีๆ ขนาดนี้ ถือโอกาสจัดให้ฉันสักชุดด้วยสิคะ ช่วงนี้ฉันก็เหนื่อยมากเลยเหมือนกัน!”
“ได้เลยสิ” เย่เฉินเอ่ยต่อ: “เรื่องแค่นี้เองจิ๊บจ๊อยน่า”
กู้ชิวอี๋พยักหน้า เหมือนจะคิดอะไรออก จึงรีบเอ่ยถาม: “จริงสิ พี่เย่เฉินจงเทียนหยู่คนนั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วคะ? พี่ทำอะไรกับเขากันแน่ ถึงทำให้เขาตัดสินใจออกจากวงการบันเทิงได้?”
“เขาน่ะเหรอ” เย่เฉินเอ่ย : “ฉันก็ให้หงห้าจัดการให้เขาออกทะเลไปหาปลาน่ะ”
“หา?” กู้ชิวอี๋เอ่ยถามต่อด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ: “อะไรนะ?! ออกทะเลหาปลา? บริษัทนายหน้าของเขาไม่ใช่ประกาศต่อสาธารณะว่าเขาจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศหรอกเหรอ?”
เย่เฉินยิ้ม เอ่ยว่า: “ไปเรียนต่อต่างประเทศอะไรกัน? เพ้อฝันจริงๆ ! ฉันจัดงานลูกเรือฝึกงานระยะเวลาสามปีให้กับเขาต่างหาก ภายในสามปีห้ามลงจากเรือ นี่ก็เลยไม่ได้ดำเนินกิจการของหยวนหยางขนส่งกรุ๊ปต่อเป็นการชั่วคราวยังไงล่ะ จัดการให้เขาไปฝึกงานบนเรือประมงสักหน่อย ตอนนี้น่าจะถึงทะเลใต้ เริ่มหาปลาแล้วละ”
กู้ชิวอี๋หัวเราะเปล่งเสียงออกมาคิกคัก จากนั้นเอ่ยว่า: “พี่เย่เฉิน พี่นี่ร้ายจริงๆ นะ ทำไมให้เขาไปเป็นลูกเรือล่ะ…”
เย่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ: “หลักๆ ก็คือคนที่อาศัยอยู่ในบ้านเลี้ยงหมาเยอะเกินไปแล้วน่ะ นี่กำลังสร้างเพิ่มอยู่เลยนะ ถือว่าเจ้าหมอนั่นโชคดีแล้วนะ”
กู้ชิวอี๋อึ้งไป ถามด้วยความไม่เข้าใจ: “พี่เย่เฉิน บ้านเลี้ยงหมาอะไรเหรอคะ? คนที่อาศัยบ้านเลี้ยงหมาหมายความว่าอะไรเหรอคะ?”
เย่เฉินโบกไม้โบกมือ: “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็ก เธอไม่ต้องรู้รายละเอียดมากหรอก”
กู้ชิวอี๋แลบลิ้นใส่ พร้อมเอ่ยด้วยความน่าเอ็นดู: “งั้นก็ได้ค่ะ ฉันไม่ถามแล้ว”
ขณะที่เอ่ยอยู่ กู้ชิวอี๋ก็ถามเขาอีก: “จริงสิพี่เย่เฉิน วันเชงเม้งพี่จะกลับเย่นจิงไปร่วมพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษใช่ไหมคะ?”
เย่เฉินพยักหน้า: “ใช่แล้ว ทำไมเหรอ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ” กู้ชิวอี๋เอ่ย: “วันเชงเม้งเดือนเมษานี่คะ ยังเหลืออีก 20 กว่าวัน หรือก็คือ อีก 20 วันฉันจะได้เจอพี่ที่เย้นจิงอีกแล้ว”