เมื่อกู้ชิวอี๋ได้ยินคำพูดนี้ คนทั้งคนก็วิตกกังวลขึ้นมาในทันที และอ้าปากพูดว่า: “พ่อค่ะ! หนู…..หนูคงจะไม่ใช่ว่าสร้างปัญหาให้กับพี่เย่เฉินนะ?!”
ในเวลานี้หลินหว่านชิวก็เอ่ยปากพูดว่า: “แม่คิดว่าตระกูลอานรู้ว่าเย่เฉินยังมีชีวิตอยู่ น่าจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร คุณตาคุณยายของเฉินเอ๋อก็ยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลอานก็มีพวกเขาเป็นใหญ่ ถ้าหากพวกเขารู้ว่าเฉินเอ๋อยังมีชีวิตอยู่ มีแต่จะความสุข ไม่มีทางคุกคามอะไรเฉินเอ๋อ ไม่แน่หลังจากที่พวกเขาเจอกับเฉินเอ๋อ ในทางตรงกันข้ามสามารถที่จะนำทรัพยากรและโอกาสมาให้เฉินเอ๋อมากยิ่งขึ้น”
จากนั้น หลินหว่านชิวก็พูดอีกว่า: “ถอยหนึ่งหมื่นก้าวมาพูด ต่อให้ตระกูลอานไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเฉินเอ๋อ แต่เนื่องจากว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด อย่างมากก็ต่างคนต่างก็ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน พวกเขาคงจะไม่มีทางเป็นคนที่มาหาเรื่องเฉินเอ๋อเองอย่างแน่นอน”
กู้เย้นจงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพยักหน้าพูดว่า: “นั่นก็ใช่อยู่ ภัยคุกคามของเฉินเอ๋อคือตระกูลซู แต่ว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าตระกูลซูไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว”
หลินหว่านชิวรีบถาม: “งั้นคุณว่า ฆาตกรที่ฆ่าพี่เย่และพี่อานถ้าหากรู้ว่าเฉินเอ๋อยังมีชีวิตอยู่ จะลงมือกับเขาหรือเปล่า?”
กู้เย้นจงส่ายหน้า: “น่าจะไม่มีทาง ถ้าหากพวกเขาต้องการชีวิตของเฉินเอ๋อ ปีนั้นอยู่ที่เมืองจินหลิง ก็ฆ่าเฉินเอ๋อไปพร้อมกันแล้ว เนื่องจากว่า ขนาดพี่เย่ก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากความโหดร้ายของพวกเขาไปได้ ถ้าหากพวกเขาอยากจะฆ่าเฉินเอ๋อ เฉินเอ๋อจะรอดมาได้ยังไง”
หลินหว่านชิวพยักหน้าเล็กน้อย กู้ชิวอี๋ที่อยู่ข้างๆก็โล่งใจเล็กน้อย เธอจับหัวใจของตัวเองไปด้วย และพูดด้วยความหวาดกลัวไปด้วยว่า: “หนูเป็นห่วงจริงๆว่าจะสร้างปัญหาอะไรให้กับพี่เย่เฉิน…..เนื่องจากว่าเรื่องนี้หนูไม่ได้ปรึกษากับเขาก่อน…..”
กู้เย้นจงยิ้มเล็กน้อย และพูดว่า: “อันที่จริงยังดี รู้ว่าการหมั้นของพวกลูกสองคน ก็เพียงแต่ตระกูลเย่เท่านั้น ตระกูลอาน และหลายตระกูลใหญ่นี้ของในเย่นจิง ต่อให้ลูกไม่ได้พูดสิ่งนี้ในคอนเสิร์ต ตระกูลเย่ก็รู้เรื่องของเฉินเอ๋อตั้งนานแล้ว ซูจือหยูของตระกูลซูและตู้ไห่ชิงสองแม่ลูกก็คงจะรู้อย่างแน่นอน สำหรับอีกสองหรือสามตระกูลที่เหลือ ต่อให้ตอนนี้รู้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“ใช่”หลินหว่านชิวเอ่ยปากพูดว่า: “ต่อให้พวกเขารู้ว่าเฉินเอ๋อยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเฉินเอ๋อเป็นใครกันแน่ ดูแล้วก็ไม่มีผลกระทบอะไร”
“งั้นก็ดี”กู้ชิวอี๋ทอดถอนหายใจแล้วพูดว่า: “เมื่อกี้นี้จู่ๆพ่อบอกว่าแย่แล้ว หนูยังคิดว่าตัวเองทำให้เกิดเรื่องใหญ่โต……”
หลินหว่านชิวจับมือของเธอ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ลูกอย่าได้มีภาระทางจิตใจมากขนาดนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
จากนั้น เธอก็พูดว่า: “ในเมื่อหวางเวยเวยมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับคุณน้าอานของลูก และคุณยายของเฉินเอ๋อ งั้นช่วงเวลาที่ลูกไปทัวร์คอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกา สามารถที่จะไปเยี่ยมเยียนเธอได้ ถ้าหากเธอรู้สถานการณ์คอนเสิร์ตในวันนี้ของลูก คงจะรู้ว่าพวกเราตามหาเฉินเอ๋อเจอแล้วอย่างแน่นอน บางทีเธออาจจะบอกเรื่องนี้กับคุณยายของเฉินเอ๋อ ถึงเวลานั้นลูกค่อยไปเยี่ยมเยียนหวางเวยเวย ไม่แน่อาจจะได้พบเจอกับคนของตระกูลอาน”
“พบเจอกับคนของตระกูลอานงั้นเหรอคะ?”กู้ชิวอี๋รีบถามว่า: “ถ้าพี่เย่เฉินรู้ จะโกรธหนูหรือเปล่าคะ?”
หลินหว่านชิวพูดอย่างจริงจัง: “ดังนั้นลูกต้องวางตัวให้พอดี ลูกไปสหรัฐอเมริกา ทำได้เพียงไปเยี่ยมเยียนหวางเวยเวย สำหรับคนของตระกูลอานจะเจอลูกหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับว่าหวางเวยเวยจะบอกข่าวนี้ไปหรือเปล่า ถ้าหากหวางเวยเวยบอกเรื่องราวนี้ไป งั้นคนของตระกูลอานพบเจอกับลูกก็เป็นพวกเขาเองที่จะเจอลูก ไม่ใช่ว่าลูกเป็นคนจะเจอพวกเขาเอง”
กู้ชิวอี๋ถามอย่างไม่เข้าใจว่า: “แต่หนูไปเจอคนของตระกูลอานทำไมค่ะ……”
หลินหว่านชิวพูด: “ก็ย่อมช่วยเฉินเอ๋อเชื่อมสายสัมพันธ์กับตระกูลอาน ถ้าหากเฉินเอ๋อสามารถที่จะรับความช่วยเหลือจากตระกูลอานได้ การพัฒนาในอนาคตจะได้รับการสนับสนุนอย่างมาก ดังนั้นลงทุนลงแรงน้อยแต่ผลตอบแทนที่ได้มากเป็นทวีคูณ ถ้าหากเฉินเอ๋อนิสัยดื้อรั้น ไม่ยอมติดต่อกับตระกูลอานโดยตรง มีลูกสร้างสายสัมพันธ์ ก็ถือว่าช่วยเหลือเฉินเอ๋อเชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลอาน นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีต่อเฉินเอ๋อ ไม่ได้เลวร้าย”