ทันทีที่มีการเชื่อมต่อสาย ว่านพั่วจวินถามเฉินจงเหล่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณมีข่าวดีอะไรจะบอกผมไหม?” เฉินจงเหล่ยกล่าวด้วยความกระวนกระวายใจ “ประมุข……วันนี้ฮามิดหาคนกลางและแสดงความปรารถนาที่จะเจรจาสงบศึก……..” “เจรจาสงบศึก?” ว่านพั่วจวินโกรธขณะหนึ่งและกล่าวว่า “เขาและทหารใต้บังคับบัญชาของเขา จะต้องรับผิดชอบต่อทหารของสำนักว่านหลงที่เสียสละชีวิตไปมากกว่า 2,500 คน และพวกเราไม่ยอมรับผลลัพธ์ใด ๆ นอกจากการทำลายล้างพวกเขาทั้งหมด!” เฉินจงเหล่ยรวบรวมความกล้าและกล่าวว่า “ประมุข ปัญหาตอนนี้คือพวกเราไม่สามารถทำอะไรฮามิดได้เลย มีทางเดียวคือเฝ้าอยู่ที่นี่เท่านั้น แต่การทำแบบนี้ต่อไปมันก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา! พวกเราสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตต่อวันค่อนข้างมาก ถ้าเป็นแบบต่อไปเรื่อย ๆ มันจะได้ไม่คุ้มกับการสูญเสีย….. ” ว่านพั่วจวินกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “ขอเพียงแค่คุณโอบล้อมพวกเขาไว้ทั้งหมด และไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสหลบหนี ไม่นานพวกเขาจะเกิดความโกลาหล และถึงแม้จะไม่เกิดความโกลาหล พวกเขาก็ไม่สามารถยืนหยัดได้นานมาก! เป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มชนพื้นเมืองบนภูเขาตะวันออกกลาง จะสามารถสู้รบที่ยืดเยื้อกับพวกเราในเวลาเช่นนี้ได้?” เฉินจงเหล่ยถอนหายใจและกล่าวว่า “ประมุข…..แต่ปัญหาสำคัญคือฮามิดได้จัดเก็บเสบียงไว้มากมายนานแล้ว อย่างอื่นผมไม่กล้าพูด ด้วยจำนวนเสบียงที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ ทหารจำนวน10,000 คนยืนหยัดอยู่เป็นเวลาหนึ่งปีนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน แต่พวกเราอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาทั้งปีไม่ได้ และตอนนี้กองทัพของรัฐบาลจะปลดภาระแล้ว…….” หลังจากนั้นเฉินจงเหล่ยได้รายงานสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองให้ว่านพั่วจวินทราบอย่างละเอียด เมื่อว่านพั่วจวินได้ยินเรื่องเหล่านี้ เขารู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาด่าด้วยความโมโห “เฉินจงเหล่ย! ตั้งแต่ก่อตั้งสำนักว่านหลงมายังไม่เคยเสียเปรียบมากขนาดนี้มาก่อน มีนายพลมากมาย แต่ยังไม่เคยมีใครทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายตามเช่นนี้มาก่อน! คุณทำลายสถิติหลายรายการติดต่อกันจริง ๆ!” ตอนนี้เฉินจงเหล่ยเต็มไปด้วยความคับข้องใจ และกล่าวด้วยความเจ็บปวดว่า “ประมุข ก่อนหน้านั้นผมยอมรับว่าผมประเมินศัตรูต่ำเกินไป ผมไม่คิดว่าจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่เก่งในซีเรีย ผมยินดียอมรับการลงโทษจากคุณทุกเมื่อ แต่ตอนนี้ปัญหาสำคัญคือฮามิดอยู่ในแนวป้องกันที่แข็งแกร่งราวกับถังเหล็ก และเตรียมเสบียงอาหารไว้มากมาย ทำให้พวกเรา 15,000 คนอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก!” “หากกองกำลังของรัฐบาลถอนกำลังออกไป เหลือแต่คนของพวกเราโอบล้อมฮามิดอยู่ที่นี่ สถานการณ์จะยิ่งอึดอัดกว่านี้ กองทัพรัฐบาลจะให้ผลประโยชน์เฉพาะทหารรับจ้างที่ทำงานให้พวกเขาเท่านั้น หลังจากที่พวกเรามาที่นี่ไม่เพียงแต่แพ้สงคราม แต่ยังขัดต่อเจตจำนงของพวกเขาอีกด้วย สาเหตุนี้อาจจะทำให้พวกเขาแตกหักกับพวกเรา เและเมื่อถึงเวลานั้นผลที่ได้จะไม่คุ้มกับความสูญเสีย………” ว่านพั่วจวินรู้สึกโกรธมากจนอยากไปซีเรียด้วยตนเอง และสับฮามิดเป็นหมื่นชิ้น เพราะเขารู้ว่าขอเพียงแค่ฮามิดนี้ตาย กองกำลังของเขาจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง และเมื่อถึงเวลานั้นปัญหาทั้งหมดก็จะได้รับการแก้ไข อย่างไรก็ตาม เมื่อมองโลงศพราคาถูกมากมายที่อยู่ตรงหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะเตือนตนเองว่าห้ามคิดฟุ้งซ่านในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ เขาคิดอยู่ในใจ “ถึงแม้ว่าผมจะมีความมั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถฆ่าฮามิดอย่างลับ ๆ ได้ แต่อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเช็งเม้งแล้ว และเวลามันเร่งด่วนจริง ๆ! ถึงแม้ตอนนี้ผมจะออกจากหัวเซี่ยแล้วเดินทางไปที่ซีเรีย อย่างน้อยไป-กลับต้องใช้เวลา 30 ชั่วโมง!” “หากว่าผมกลับมาช้าเพราะเหตุสุดวิสัย ผมก็ไม่สามารถไปภูเขาเย่หลิงซานในวันเช็งเม้งด้วยตัวเองได้!”
ทันทีที่มีการเชื่อมต่อสาย ว่านพั่วจวินถามเฉินจงเหล่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณมีข่าวดีอะไรจะบอกผมไหม?”
เฉินจงเหล่ยกล่าวด้วยความกระวนกระวายใจ “ประมุข……วันนี้ฮามิดหาคนกลางและแสดงความปรารถนาที่จะเจรจาสงบศึก……..”
“เจรจาสงบศึก?” ว่านพั่วจวินโกรธขณะหนึ่งและกล่าวว่า “เขาและทหารใต้บังคับบัญชาของเขา จะต้องรับผิดชอบต่อทหารของสำนักว่านหลงที่เสียสละชีวิตไปมากกว่า 2,500 คน และพวกเราไม่ยอมรับผลลัพธ์ใด ๆ นอกจากการทำลายล้างพวกเขาทั้งหมด!”
เฉินจงเหล่ยรวบรวมความกล้าและกล่าวว่า “ประมุข ปัญหาตอนนี้คือพวกเราไม่สามารถทำอะไรฮามิดได้เลย มีทางเดียวคือเฝ้าอยู่ที่นี่เท่านั้น แต่การทำแบบนี้ต่อไปมันก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา! พวกเราสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตต่อวันค่อนข้างมาก ถ้าเป็นแบบต่อไปเรื่อย ๆ มันจะได้ไม่คุ้มกับการสูญเสีย….. ”
ว่านพั่วจวินกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “ขอเพียงแค่คุณโอบล้อมพวกเขาไว้ทั้งหมด และไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสหลบหนี ไม่นานพวกเขาจะเกิดความโกลาหล และถึงแม้จะไม่เกิดความโกลาหล พวกเขาก็ไม่สามารถยืนหยัดได้นานมาก! เป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มชนพื้นเมืองบนภูเขาตะวันออกกลาง จะสามารถสู้รบที่ยืดเยื้อกับพวกเราในเวลาเช่นนี้ได้?”
เฉินจงเหล่ยถอนหายใจและกล่าวว่า “ประมุข…..แต่ปัญหาสำคัญคือฮามิดได้จัดเก็บเสบียงไว้มากมายนานแล้ว อย่างอื่นผมไม่กล้าพูด ด้วยจำนวนเสบียงที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ ทหารจำนวน10,000 คนยืนหยัดอยู่เป็นเวลาหนึ่งปีนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน แต่พวกเราอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาทั้งปีไม่ได้ และตอนนี้กองทัพของรัฐบาลจะปลดภาระแล้ว…….”
หลังจากนั้นเฉินจงเหล่ยได้รายงานสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองให้ว่านพั่วจวินทราบอย่างละเอียด
เมื่อว่านพั่วจวินได้ยินเรื่องเหล่านี้ เขารู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เขาด่าด้วยความโมโห “เฉินจงเหล่ย! ตั้งแต่ก่อตั้งสำนักว่านหลงมายังไม่เคยเสียเปรียบมากขนาดนี้มาก่อน มีนายพลมากมาย แต่ยังไม่เคยมีใครทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายตามเช่นนี้มาก่อน! คุณทำลายสถิติหลายรายการติดต่อกันจริง ๆ!”
ตอนนี้เฉินจงเหล่ยเต็มไปด้วยความคับข้องใจ และกล่าวด้วยความเจ็บปวดว่า “ประมุข ก่อนหน้านั้นผมยอมรับว่าผมประเมินศัตรูต่ำเกินไป ผมไม่คิดว่าจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่เก่งในซีเรีย ผมยินดียอมรับการลงโทษจากคุณทุกเมื่อ แต่ตอนนี้ปัญหาสำคัญคือฮามิดอยู่ในแนวป้องกันที่แข็งแกร่งราวกับถังเหล็ก และเตรียมเสบียงอาหารไว้มากมาย ทำให้พวกเรา 15,000 คนอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก!”
“หากกองกำลังของรัฐบาลถอนกำลังออกไป เหลือแต่คนของพวกเราโอบล้อมฮามิดอยู่ที่นี่ สถานการณ์จะยิ่งอึดอัดกว่านี้ กองทัพรัฐบาลจะให้ผลประโยชน์เฉพาะทหารรับจ้างที่ทำงานให้พวกเขาเท่านั้น หลังจากที่พวกเรามาที่นี่ไม่เพียงแต่แพ้สงคราม แต่ยังขัดต่อเจตจำนงของพวกเขาอีกด้วย สาเหตุนี้อาจจะทำให้พวกเขาแตกหักกับพวกเรา เและเมื่อถึงเวลานั้นผลที่ได้จะไม่คุ้มกับความสูญเสีย………”
ว่านพั่วจวินรู้สึกโกรธมากจนอยากไปซีเรียด้วยตนเอง และสับฮามิดเป็นหมื่นชิ้น เพราะเขารู้ว่าขอเพียงแค่ฮามิดนี้ตาย กองกำลังของเขาจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง และเมื่อถึงเวลานั้นปัญหาทั้งหมดก็จะได้รับการแก้ไข
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองโลงศพราคาถูกมากมายที่อยู่ตรงหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะเตือนตนเองว่าห้ามคิดฟุ้งซ่านในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้
เขาคิดอยู่ในใจ “ถึงแม้ว่าผมจะมีความมั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถฆ่าฮามิดอย่างลับ ๆ ได้ แต่อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเช็งเม้งแล้ว และเวลามันเร่งด่วนจริง ๆ! ถึงแม้ตอนนี้ผมจะออกจากหัวเซี่ยแล้วเดินทางไปที่ซีเรีย อย่างน้อยไป-กลับต้องใช้เวลา 30 ชั่วโมง!”
“หากว่าผมกลับมาช้าเพราะเหตุสุดวิสัย ผมก็ไม่สามารถไปภูเขาเย่หลิงซานในวันเช็งเม้งด้วยตัวเองได้!”