เย่เฉินกล่าวว่า “เอาล่ะ ผมจะปล่อยให้เฉินจงเหล่ยอยู่กับพวกคุณก่อน คุณรีบสอบปากคำเขาทันที ผมจะให้เขาร่วมมืออย่างเต็มที่ และเขาจะพูดทุกอย่างที่รู้ หลังจากคุณเก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดแล้ว จัดเฮลิคอปเตอร์ส่งเขาไปที่ฐานทัพของฮามิด และคุณก็มาด้วย ให้คุณนำข้อตกลงสงบศึก และลงนามในข้อตกลงกับฮามิดให้เรียบร้อย” ซัยยิตถามด้วยความสงสัย “อาจารย์เย่ คุณต้องการนำตัวเฉินจงเหล่ยไปที่ฮามิดหรือ?” “ไม่” เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เขายังมีประโยชน์กับผม และผมจะพาเขากลับไป” ซัยยิตรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คนมีความสามารถอย่างเย่เฉินจะเป็นกุนซือของฮามิด คิดว่าเขาต้องเป็นบุคคลสำคัญที่ฮามิดเชิญมาจากภายนอก ดังนั้นเขาจึงรีบตกลงและกล่าวว่า “คุณวางใจเถอะ พวกเราจะสอบสวนเขาทันที และหลังจากรวบรวมหลักฐานครบแล้ว ผมจะส่งเขาไปหาคุณที่ฐานทัพฮามิดด้วยตนเอง!” “โอเค” เย่เฉินพยักหน้าและกล่าวอีกว่า “คุณไปเรียกเฉินจงเหล่ยมา ผมจะถามเขาสักสองสามประโยค” “ได้ครับอาจารย์เย่ โปรดรอสักครู่!” …… ขณะนี้ เฉินจงเหล่ยกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดและการทรมานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เห็นพี่น้องของตนเองถูกตนเองทรยศกับตา ถูกศัตรูมัดไว้ และถูกรถบรรทุกลากออกไปทีล่ะคัน และอนาคตที่ไม่สามารถคาดเดาได้ สำหรับเขาแล้วเป็นสิ่งที่ทรมานมาก ทหารสำนักว่านหลงทุกคนต่างเหยียดหยามและสาปแช่งเขาอย่างโหดเหี้ยม ดวงตาที่โกรธแค้นทุกคู่แทงทะลุหัวใจของเขา เขาอยากจะหลับตาและไม่มองสายตาที่โกรธแค้นของพวกเขา แต่เขาทำไม่ได้ เพราะว่าแม้แต่เปลือกตาของเขาก็ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป จิตสำนึกของเขานั้นเหมือนปรสิตในร่างกาย เขาสามารถรับรู้ได้ทุกอย่าง แต่ควบคุมอะไรไม่ได้ ร่างกายของตนเองกลายเป็นกรงเหล็กแข็งแกร่งที่กักขังเขาไว้ ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เจ็บปวดไปกว่านี้อีกแล้ว และขณะนี้เอง ซัยยิตเดินมาอยู่ตรงหน้า และกล่าวว่า “เฉินจงเหล่ย อาจารย์เย่เรียกคุณ รีบไปเถอะ!” เมื่อได้ยินคำว่าอาจารย์เย่ เฉินจงเหล่ยรู้สึกหวาดกลัว แต่ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวโดยไม่สมัครใจ และไม่ลังเลเลยแม้แต่สักครึ่งวินาที เขารีบวิ่งไปที่ห้องประชุมทันที เมื่อมาถึงห้องประชุม ร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้ของเฉินจงเหล่ยโค้งคำนับเย่เฉิน และกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “อาจารย์เย่ คุณต้องการพบผมมีอะไรจะสั่งหรือเปล่าครับ?” เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “อีกสักครู่ซัยยิตจะพาคุณไปสารภาพและบันทึกวิดีโอ คุณต้องร่วมมือกับเขาอย่างเต็มที่ และบอกการกระทำที่น่าละอายของสำนักว่านหลงให้พวกเขาทั้งหมด เข้าใจไหม?” แม้ว่าจิตสำนึกตนเองของฉินจงเหล่ยจะปฏิเสธไปหมื่นครั้ง แต่ร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้กล่าวว่า “ได้ครับ อาจารย์เย่ ผมจะร่วมมืออย่างดีแน่นอน…..” เย่เฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับซัยยิตว่า “ซัยยิต คุณต้องจำไว้ว่าต้องหาคนที่มีความเชี่ยวชาญภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษจากกองทัพของพวกคุณ และบันทึกทุกอย่างไว้อย่างละเอียด แล้วทำเป็นเอกสาร และตอนที่คุณส่งเขามาที่ฐานทัพฮามิด ส่งสำเนาบันทึกมาให้ผมหนึ่งชุด ผมจะตรวจดู” ซัยยิตกล่าวว่าตกลงโดยไม่ลังเลและกล่าวว่า “อาจารย์เย่ คุณวางใจเถอะ พวกเราจะพยายามทำทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นผมจะพาเขาไปพบคุณ!” “โอเค” เย่เฉินยืนขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณไปจัดเฮลิคอปเตอร์ส่งผมไปสถานที่นัดหมายก่อนหน้านั้น ผมจะกลับไปรอคุณ”
เย่เฉินกล่าวว่า “เอาล่ะ ผมจะปล่อยให้เฉินจงเหล่ยอยู่กับพวกคุณก่อน คุณรีบสอบปากคำเขาทันที ผมจะให้เขาร่วมมืออย่างเต็มที่ และเขาจะพูดทุกอย่างที่รู้ หลังจากคุณเก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดแล้ว จัดเฮลิคอปเตอร์ส่งเขาไปที่ฐานทัพของฮามิด และคุณก็มาด้วย ให้คุณนำข้อตกลงสงบศึก และลงนามในข้อตกลงกับฮามิดให้เรียบร้อย”
ซัยยิตถามด้วยความสงสัย “อาจารย์เย่ คุณต้องการนำตัวเฉินจงเหล่ยไปที่ฮามิดหรือ?”
“ไม่” เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เขายังมีประโยชน์กับผม และผมจะพาเขากลับไป”
ซัยยิตรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คนมีความสามารถอย่างเย่เฉินจะเป็นกุนซือของฮามิด คิดว่าเขาต้องเป็นบุคคลสำคัญที่ฮามิดเชิญมาจากภายนอก ดังนั้นเขาจึงรีบตกลงและกล่าวว่า “คุณวางใจเถอะ พวกเราจะสอบสวนเขาทันที และหลังจากรวบรวมหลักฐานครบแล้ว ผมจะส่งเขาไปหาคุณที่ฐานทัพฮามิดด้วยตนเอง!”
“โอเค” เย่เฉินพยักหน้าและกล่าวอีกว่า “คุณไปเรียกเฉินจงเหล่ยมา ผมจะถามเขาสักสองสามประโยค”
“ได้ครับอาจารย์เย่ โปรดรอสักครู่!”
……
ขณะนี้ เฉินจงเหล่ยกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดและการทรมานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
เห็นพี่น้องของตนเองถูกตนเองทรยศกับตา ถูกศัตรูมัดไว้ และถูกรถบรรทุกลากออกไปทีล่ะคัน และอนาคตที่ไม่สามารถคาดเดาได้ สำหรับเขาแล้วเป็นสิ่งที่ทรมานมาก
ทหารสำนักว่านหลงทุกคนต่างเหยียดหยามและสาปแช่งเขาอย่างโหดเหี้ยม ดวงตาที่โกรธแค้นทุกคู่แทงทะลุหัวใจของเขา
เขาอยากจะหลับตาและไม่มองสายตาที่โกรธแค้นของพวกเขา แต่เขาทำไม่ได้
เพราะว่าแม้แต่เปลือกตาของเขาก็ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป
จิตสำนึกของเขานั้นเหมือนปรสิตในร่างกาย เขาสามารถรับรู้ได้ทุกอย่าง แต่ควบคุมอะไรไม่ได้
ร่างกายของตนเองกลายเป็นกรงเหล็กแข็งแกร่งที่กักขังเขาไว้
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เจ็บปวดไปกว่านี้อีกแล้ว
และขณะนี้เอง ซัยยิตเดินมาอยู่ตรงหน้า และกล่าวว่า “เฉินจงเหล่ย อาจารย์เย่เรียกคุณ รีบไปเถอะ!”
เมื่อได้ยินคำว่าอาจารย์เย่ เฉินจงเหล่ยรู้สึกหวาดกลัว แต่ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวโดยไม่สมัครใจ และไม่ลังเลเลยแม้แต่สักครึ่งวินาที เขารีบวิ่งไปที่ห้องประชุมทันที
เมื่อมาถึงห้องประชุม ร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้ของเฉินจงเหล่ยโค้งคำนับเย่เฉิน และกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “อาจารย์เย่ คุณต้องการพบผมมีอะไรจะสั่งหรือเปล่าครับ?”
เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “อีกสักครู่ซัยยิตจะพาคุณไปสารภาพและบันทึกวิดีโอ คุณต้องร่วมมือกับเขาอย่างเต็มที่ และบอกการกระทำที่น่าละอายของสำนักว่านหลงให้พวกเขาทั้งหมด เข้าใจไหม?”
แม้ว่าจิตสำนึกตนเองของฉินจงเหล่ยจะปฏิเสธไปหมื่นครั้ง แต่ร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้กล่าวว่า “ได้ครับ อาจารย์เย่ ผมจะร่วมมืออย่างดีแน่นอน…..”
เย่เฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับซัยยิตว่า “ซัยยิต คุณต้องจำไว้ว่าต้องหาคนที่มีความเชี่ยวชาญภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษจากกองทัพของพวกคุณ และบันทึกทุกอย่างไว้อย่างละเอียด แล้วทำเป็นเอกสาร และตอนที่คุณส่งเขามาที่ฐานทัพฮามิด ส่งสำเนาบันทึกมาให้ผมหนึ่งชุด ผมจะตรวจดู”
ซัยยิตกล่าวว่าตกลงโดยไม่ลังเลและกล่าวว่า “อาจารย์เย่ คุณวางใจเถอะ พวกเราจะพยายามทำทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นผมจะพาเขาไปพบคุณ!”
“โอเค” เย่เฉินยืนขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณไปจัดเฮลิคอปเตอร์ส่งผมไปสถานที่นัดหมายก่อนหน้านั้น ผมจะกลับไปรอคุณ”