บทที่ 119 สามองค์ประกอบในการผูกสัมพันธ์
ผู้คุมเรือนจำแผดเสียงเรียกอีกสองสามครั้ง ทว่านายอำเภอจ้าวยังคงไม่ไหวติง
ใจสวี่ชีอันตกวูบ พลางกล่าว “เปิดประตู”
ผู้คุมเรือนจำจึงหยิบกุญแจเปิดประตูและเอื้อมมือไปฉุดนายอำเภอจ้าวขึ้นมา “หูหนวกหรือไง”
ร่างของนายอำเภอจ้าวพลิกกลับมาอย่างอ่อนปวกเปียก
ในตอนนั้นเองผู้คุมเรือนจำก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป และหลังจากลองตรวจลมหายใจ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด “ตะ ตายแล้ว…”
มาช้าไปแค่ก้าวเดียว…สวี่ชีอันถอนหายใจอยู่ในใจ
นายอำเภอของไท่กังถูกจับและถูกคุมขังเมื่อคืนนี้ เขาเพิ่งได้รับข่าวเมื่อเช้าจึงรีบตรงดิ่งมาที่นี่ แต่ก็ช้าไปก้าวเดียว
ฆาตกรต้องเป็นคนในที่ว่าการ หรือไม่ก็เป็นคนที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของนายอำเภอจ้าวอยู่ตลอด มิฉะนั้นคงไม่สามารถฆ่าปิดปากได้ทันเวลา… สวี่ชีอันเปิดเปลือกตาของนายอำเภอจ้าวและแง้มริมฝีปากออกเพื่อตรวจดูฝ้าที่ลิ้น[1] จากนั้นจึงถอดชุดนักโทษของนายอำเภอจ้าวออกและตรวจดูศพ
ไม่มีสัญญาณของการโดนยาพิษ ไร้ร่องรอยของการดิ้นรนก่อนตาย ศพเพิ่งจะแข็งตัวได้ไม่นาน เวลาตายไม่เกินห้าชั่วโมง ยังไม่รู้สาเหตุการตาย…สวี่ชีอันตัดสินใจ “ให้สองคนเฝ้าศพไว้ ส่วนคนอื่นๆ ตามข้าไปพบข้าหลวง”
นักโทษที่ตายในที่ว่าการ ข้าหลวงเฉินฮั่นกวางต้องตกเป็นแพะรับบาปอย่างแน่นอน
สวี่ชีอันกำลังมองหาเขาที่ห้องโถงด้านใน จึงได้รู้ว่าข้าหลวงเฉินยังคงนอนหลับอยู่ หลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้าไปแจ้งข่าว เขารออยู่ข้างนอกเป็นเวลาครึ่งก้านธูป จึงได้พบกับเฉินฮั่นกวางที่แต่งกายอย่างสุภาพเรียบร้อยออกมา
ใบหน้าของข้าหลวงเฉินดูปกติ ไม่มีท่าทางเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนเลยสักนิด เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าสวี่มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ”
เวลาเช้าตรู่เป็นจุดเริ่มต้นของยามเหมา โดยปกติเหล่าขุนนางและทหารทุกระดับต้องมารอที่ประตูใหญ่ทางเข้าพระราชวังตั้งแต่ยามหยิน ซึ่งเป็นเวลาก่อนรุ่งสางประมาณตีสี่ถึงตีห้า
ดังนั้นเมื่อเวลาเช้าตรู่สิ้นสุดลง การกลับไปยังที่ว่าการเพื่อนอนต่อจึงเป็นกิจวัตรประจำวันของราชสำนักต้าฟ่ง
“ข้ามาสอบปากคำนายอำเภอจ้าวแห่งมณฑลไท่กัง แต่กลับพบว่าเขาตายในคุกเมื่อเช้านี้” สวี่ชีอันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“อะไรนะ?!” ข้าหลวงเฉินตกตะลึงจนหน้าถอดสี
ผู้คุมเรือจำที่พาสวี่ชีอันมากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “เป็นความจริงขอรับ ใต้เท้า…”
ข้าหลวงเฉินขมวดคิ้ว ทว่าไม่คิดว่าเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะถึงอย่างไรนายอำเภอจ้าวก็ต้องโทษประหาร และจะถูกประหารชีวิตในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าอยู่แล้ว
“ตายได้อย่างไร” ข้าหลวงเฉินยกถ้วยชาขึ้นมา
“ถูกฆ่าปิดปาก” สวี่ชีอันกล่าว
มือของข้าหลวงเฉินสั่นจนทำน้ำชาร้อนหก ทว่าเขากลับเพิกเฉยพร้อมกับเบิกตากว้าง “ฆ่าปิดปากงั้นหรือ”
เห็นได้ชัดเลยว่าเฒ่าเฉินไม่ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์นี้เลย…สวี่ชีอันอธิบาย “ท่านผู้อาวุโสคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจค้นพบเหมืองดินประสิวได้อย่างไร สถานที่ธรรมดาอย่างภูเขาต้าหวง แม้แต่ตระกูลฮุยที่อยู่ใกล้เคียงก็ยังไม่รู้ว่ามีเหมืองดินประสิวอยู่ เผ่าพันธุ์ปีศาจค้นพบมันได้อย่างไรล่ะขอรับ”
ข้าหลวงเฉินยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่า…”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับมณฑลไท่กัง จึงมาที่นี่เพื่อสอบปากคำในวันนี้ แต่ไม่คิดว่าจะมาช้าไปก้าวเดียวจนทำให้เขาถูกฆ่าปิดปากไปเสียก่อน เบาะแสคดีนี้ขาดหายไปอีกแล้ว เฮ้อ ไหนจะฝ่าบาทที่มีรับสั่งให้ค้นหาความจริงภายในครึ่งเดือนอีก ข้าล่ะกลุ้มใจจนจะบ้าตายอยู่แล้ว มิหนำซ้ำวันนี้ขันทีจากสำนักโหราจารย์ก็จะมาหาข้าและขอให้รายงานความคืบหน้าของคดีอย่างตรงเวลาด้วย”
ใบหน้าของข้าหลวงเฉินเปลี่ยนไป จากนั้นจึงประสานมือด้วยความเคารพและกล่าว “ใต้เท้าสวี่ ที่ว่าการของเรายินดีช่วยเหลือเต็มที่ ไม่ว่าจะกรมใดหน่วยใดในที่ทำการแห่งนี้ ขอให้ใต้เท้าสั่งการได้เลย”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเฉินช่างใจกว้างยิ่งนัก การที่นายอำเภอจ้าวต้องมาตายในคุกโดยไร้สาเหตุมันเป็นเหตุสุดวิสัย”
ไม่มีผู้ใดสนใจผู้ต้องโทษประหารว่าจะอยู่หรือตาย แต่หากผู้ต้องโทษประหารเกี่ยวข้องกับคดีซังผอล่ะ? ยิ่งช่วงเวลาการตรวจสอบข้าราชสำนักกำลังคืบคลานเข้ามาแล้วด้วย
หากความประมาทเลินเล่อครั้งใหญ่เช่นนี้ถูกป่าวประกาศออกไป ข้าหลวงเฉินอาจถูกลดตำแหน่งลงได้ ทว่าสำหรับสวี่ชีอัน คนก็ตายไปแล้ว ป่วยการจะให้ไปไล่บี้กับข้าหลวงเฉิน จะพูดหรือไม่ย่อมไม่ต่างกัน
ด้วยเหตุนี้ หลี่ว์ชิงที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้ามือปราบจึงถูกเรียกตัวเข้ามา ข้าหลวงเฉินกล่าวอย่างจริงจัง “จากนี้ไปเจ้าจงติดตามใต้เท้าสวี่และเตรียมพร้อมรับคำสั่ง”
‘ติดตามใต้เท้าสวี่และเตรียมพร้อมรับคำสั่ง…ท่านข้าหลวงพูดไว้เมื่อสองสามวันก่อนว่านี่คือโอกาส และหากคลี่คลายคดีได้ เขาก็สามารถเข้าร่วมสำนักราชเลขาธิการได้…อยากให้ข้าเป็นสายลับ ‘แอบซุ่ม’ อยู่ข้างๆ สวี่ชีอันอย่างนั้นหรือ’
หลี่ว์ชิงครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ต้องคิดอะไรเหลวไหล ตั้งใจช่วยเหลือใต้เท้าสวี่ก็พอ” ข้าหลวงเฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึม
‘เรื่องจริงงั้นหรือ เขาสามารถทำให้ท่านข้าหลวงยอมรับข้อผิดพลาดได้จริงๆ หรือ!’
หลี่ว์ชิงจ้องไปยังสวี่ชีอันอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง”
…
ในไม่ช้ารายงานการชันสูตรศพของนายอำเภอจ้าวก็ออกมา ผลคือเขาเสียชีวิตเองโดยธรรมชาติ
ยิ่งไร้ร่องรอย ยิ่งผิดปกติ…ก่อนอื่นก็ตัดเรื่องถูกทหารฆ่าปิดปากออกไปได้…สวี่ชีอันขมวดคิ้วครุ่นคิด
ความรุนแรงเป็นดั่งภาพจำของทหาร การบีบนายอำเภอจ้าวให้ตายนั้นง่ายดายพอๆ กับการบี้มดตัวหนึ่ง แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลงมืออย่างเงียบเชียบ โดยไม่ทิ้งช่องโหว่ใดๆ ไว้
สวี่ชีอันนึกถึงเทพเจ้าหยิน[2] แห่งลัทธิเต๋าก่อนเป็นอันดับแรก เพราะในสมัยโบราณเทพเจ้าหยินแห่งลัทธิเต๋าถูกเรียกว่ายมทูต สามารถเอาชีวิตคนในยามหลับใหลได้
ก่อนอื่นก็ตัดตาเฒ่าเหรียญปากผีจินเหลียนออกไปก่อน เขาไม่เกี่ยวข้องกับคดีซังผอ งั้นก็เหลือแต่นิกายมนุษย์…
สวี่ชีอันเกาศีรษะด้วยความวิตกกังวล และรู้สึกว่าแนวผมของตนค่อยๆ ร่นไปด้านหลัง
เหตุใดถึงเกี่ยวข้องกับนิกายมนุษย์ล่ะ ข้าสอบสวนนิกายมนุษย์ได้หรือไม่ ยังไม่ต้องคิดไปถึงฐานะของหัวหน้านิกายมนุษย์ที่เป็นถึงราชครู หน้านิกายปฐพีที่เป็นถึงขุนนางระดับสอง หัวหน้านิกายมนุษย์ก็คงไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไร
โดนบีบขนาดนี้ มีหวังข้าได้ตายแหงๆ!
อืม ยังไม่แน่ว่าจะเป็นลัทธิเต๋า ข้ายังไม่รู้จักระบบฝึกตนอื่นๆ ดีเท่าไร ตอนนี้ยังไม่อาจด่วนสรุป… เอ้อ ใช้โอกาสตอนที่ยังมีตราทองคำอยู่กับตัว หาเวลาไปศึกษาความลับเบื้องลึกเบื้องหลังของระบบหลักดีกว่า
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นและพบว่าหลี่ว์ชิงกำลังจ้องมองตนเงียบๆ ใบหน้าอันงดงามของหัวหน้ามือปราบหญิงดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“หัวหน้ามือปราบหลี่ว์ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อนหรือ”
หลี่ว์ชิงยิ้มให้ “ช่วงนี้งานยุ่งน่ะ”
นางรู้สาเหตุที่ข้าหลวงเฉินยอมประนีประนอม เพราะถึงแม้ว่าสวี่ชีอันจะคอยเสาะหาช่องโหว่ ทว่าช่องโหว่นี้ไม่ได้หาเจอง่ายนัก หากเขาไม่สะกิดใจว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนายอำเภอไท่กังทันท่วงที ไม่แน่เรื่องนี้อาจถูกท่านข้าหลวงซุกซ่อนไว้ก็ได้
“หัวหน้ามือปราบหลี่ว์ สตรีผู้ไม่เป็นรองบุรุษ” สวี่ชีอันกล่าวคำชมเชย
นางอายุประมาณยี่สิบห้าถึงสามสิบปี ได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยสืบสวนคดีอาญาของกรมสันติบาลตั้งแต่อายุยังน้อย มีอนาคตที่สดใส
แถมยังโสดอีกด้วย!
ในชีวิตชาติก่อนของสวี่ชีอันไม่มีเพื่อนผู้หญิงที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนี้เลย มีแต่พวกสาวแก่ที่เอาแต่กลุ้มใจกับแฟนหนุ่มที่ชอบหว่านเสน่ห์ไปเรื่อย
เมื่อสวี่ชีอันไปจากที่ว่าการ ก็มีมือปราบจากที่ว่าการตามประกบด้วยถึงหกนาย คอยรับคำสั่งจากเขา ทั้งหมดผ่านการฝึกฝนเป็นอย่างดี ประกอบด้วยระดับหลอมปราณสองนาย และระดับหลอมจิตสี่นาย
เขาควบบนหลังม้า และใคร่ครวญว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น การคลี่คลายคดีต้องสืบเสาะจากเบาะแสต่างๆ จะรีบร้อนไม่ได้
ตรงกันข้าม ท่าทีของเว่ยเยวียนต่างหากที่ทำให้เขางงเป็นไก่ตาแตก มันจะเฉยเมยเกินไปไหมนี่?
เว่ยเยวียนต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ จักรพรรดิหยวนจิ่งถึงได้มีท่าทีน่าสงสัย ไหนจะท่านโหราจารย์ที่ทำตัวแกล้งตายอีก…ไม่สมเหตุสมผลเลย ไม่ว่าเหล่าคนใหญ่คนโตจะวางหมากเดิมพันอะไร แต่การปลดผนึกท่านโหราจารย์รุ่นแรกก็เป็นความจริงอย่างไม่มีข้อกังขา ข้าไม่อาจวางใจเพราะความใจเย็นของพวกเขาได้ และเพราะคนใหญ่คนโตเหล่านั้นไม่เคยสนใจความเป็นความตายของคนธรรมดาอยู่แล้ว
ไม่ได้ ข้าต้องคิดให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านโหราจารย์รุ่นแรก ดูเหมือนเว่ยเยวียนจะไม่ต้องการให้ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าข้าจะถูกพาดพิงไปด้วย…แต่ข้าสามารถกอบกู้แผ่นดินในทางอ้อมได้ โดยการเปิดเผยความลับเรื่องนี้ต่อองค์หญิง…เปิดเผยไม่ได้ ต้องบอกใบ้ บอกใบ้เนียนๆ ปล่อยให้พระองค์เชื่อมโยงและค้นพบความจริงด้วยพระองค์เอง
เมื่อคิดได้ดังนี้ สวี่ชีอันจึงไม่ลังเลและกล่าวว่า “พวกเจ้าไปรอข้าอยู่ที่ทำการก่อน ข้าจะเข้าวัง”
ทุกคนสับสนงงงวย
สวี่ชีอันจึงอธิบายว่า “ข้าจะเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่”
‘เข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่ได้ด้วย? สวี่หนิงเยี่ยนมีความสัมพันธ์อันดีกับโหรของสำนักโหราจารย์ไม่พอ ยังผูกมิตรกับองค์หญิงใหญ่อีกด้วย’…หลี่ว์ชิงกระวนกระวายใจ
คนอื่นๆ ต่างพากันสงสัยและประหลาดใจกันถ้วนหน้า หลี่อวี้ชุนมีท่าทีสงบนิ่งที่สุด เพราะเขารู้ว่าที่สวี่ชีอันเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะองค์หญิงใหญ่แนะนำมา
สวี่ชีอันลาทุกคนและควบม้าไปยังเขตพระราชฐาน
องค์หญิงใหญ่ทรงเจริญพระชันษา และมีตำหนักของพระองค์เองในเขตพระราชฐาน สวี่ชีอันจึงรีบไปยังตำหนักฮว๋ายชิ่ง สอบถามทหารยามจึงได้รู้ว่าองค์หญิงมักประทับอยู่ที่วังหลวง ทั้งยังไม่เสด็จกลับมาพำนักที่ตำหนักนี้อีกด้วย
เขาจึงรีบไปยังเขตพระราชฐาน เพราะเขตพระราชฐานเทียบเท่ากับเมืองชั้นในขนาดย่อม ในเมืองมีทั้งวิหารบรรพบุรุษ สำนักงานราชการ ศาลประจำเมืองชั้นใน คลังสินค้า ป้อมปราการ ตลอดจนไร่สวนและทุ่งปศุสัตว์
เมืองชั้นนอกเต็มไปด้วยสามัญชน ส่วนเมืองชั้นในเต็มไปด้วยเจ้าขุนมูลนาย และในเขตพระราชฐานยังมีองค์ชายและเสนาบดีอาศัยอยู่ที่นี่
หากไม่มีตราทองคำอย่างสวี่ชีอันก็ไม่อาจเข้าไปได้
สำหรับวังหลวงหรือที่เรียกว่าพระราชวัง เป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิ พระสนม และเหล่าองค์ชายกับองค์หญิง และเมื่อองค์ชายกับองค์หญิงเติบใหญ่ขึ้นจำต้องย้ายออกวังหลวงไปประทับอยู่ที่เขตพระราชฐานแทน
เพียงแต่หลายปีที่ผ่านมานี้จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงอุทิศตนฝึกฝนตามหลักคำสอนของลัทธิเต๋าตลอด จนละเลยเหล่านางสนมมากนัก จึงทำให้กฎเกณฑ์เรื่องนี้เริ่มหละหลวม
เหล่าองค์ชายและองค์หญิงที่เติบใหญ่แล้วหลายพระองค์จึงยังคงประทับอยู่ที่วังหลวงจนถึงทุกวันนี้
ถ้าเป็นวังหลวง สวี่ชีอันไม่สามารถเข้าไปได้ แม้ว่าจะได้รับพระราชทานตราทองคำจากจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตาม ในขณะที่เขากำลังคิดจะขอให้ทหารยามช่วยส่งสารไป ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงล้อรถม้าเคลื่อนมา
เขาจึงชะโงกมองเข้าไปข้างใน และเห็นขบวนรถอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่กำลังแล่นออกมา
ไม้หนานมู่เนื้อทอง[3] และเศวตฉัตรผ้าไหมสีเหลืองทองฝังด้วยแผ่นทองคำและหยกที่ใช้กันเฉพาะในหมู่ราชวงศ์ ทำให้ดูโอ่อ่ายิ่งใหญ่
รถสปอร์ตตัวท็อปออลอินวันชัดๆ…สวี่ชีอันคิดในใจ
ทหารยามที่รับเงินสามเหรียญจากเขาเห็นเช่นนี้จึงหัวเราะออกมา “รถม้าคันที่สองเป็นขององค์หญิงใหญ่ เจ้าดูคำว่า ‘ชิ่ง’ ที่ปักลงบนผ้าไหมสีเหลืองทองตรงตัวรถสิ ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องส่งสารแล้วล่ะ”
ทหารยามหยิบเศษเงินคืนให้กับสวี่ชีอัน
“ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก…” สวี่ชีอันถอยกลับไป “วันข้างหน้าต้องรบกวนพี่ชายอีกมากขอรับ”
เขาวางแผนที่จะไล่ตามองค์หญิงใหญ่เพื่อประจบสอพลอ เผื่อในอนาคตอาจแวะมา ‘เชื่อมสัมพันธ์’ บ้างเป็นครั้งคราว จึงจำเป็นต้องผูกมิตรกับทหารยามไว้ล่วงหน้า
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘บุหรี่ง้างปากบุรุษให้เปิดออกได้ เงินดึงดูดใจบุรุษได้ และการกินอาหารทะเล[4]ร่วมกันก็ทำให้เจ้าเป็นสหายกับเขาได้เช่นกัน’
นี่แหละสามองค์ประกอบในการผูกสัมพันธ์!
ทหารยามชื่นชมสวี่ชีอันเป็นอย่างมาก พร้อมกล่าว “รถม้าคันแรกเป็นรถขององค์รัชทายาท คันที่สามเป็นรถขององค์ชายรองและคันที่สี่เป็นรถองค์หญิงรอง…น่าจะเดินทางไปงานฉลองที่ไหนสักแห่ง หากเจ้าได้เข้าร่วม จำไว้ว่าต้องปฏิบัติตนให้ดี วิถีการไต่เต้าสู่ตำแหน่งสูงก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว”
“องค์หญิงใหญ่ ข้าน้อยสวี่ชีอันมีเรื่องจะกราบทูล!” สวี่ชีอันกล่าวเสียงดัง
……………………………………
[1] ลิ้นเป็นฝ้า คือ สารเคลือบบนผิวลิ้นที่เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียหรือเชื้อรา รวมกับเซลล์ที่ตายแล้วซึ่งติดอยู่ระหว่างตุ่มเล็กๆ บนเนื้อลิ้น
[2] เทพเจ้าหยิน คือ เทพเจ้าแห่งความชั่วร้าย
[3] หนานมู่เนื้อทอง คือ ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่เนื้อไม้มีลวดลายเหมือนดิ้นทอง
[4] คำสแลงในสมัยโบราณ แปลว่าโสเภณี