ปลายเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิของเมืองหลวงหนาวที่สุดน่าจะต่ำกว่าศูนย์องศา สวี่ชีอันตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเห็นถังเก็บน้ำในลานบ้านมีชั้นน้ำแข็งบางๆ จึงตัดสินออกมาเยี่ยงนั้น
ราชวงศ์ต้าฟ่งครอบครองที่ราบตอนกลางของจิ่วโจวโดยอ้างสิทธิ์ความเป็นดั้งเดิมในใต้หล้า ภูมิอากาศของเมืองหลวงควรเป็นแบบมรสุมภาคพื้นทวีปที่มีที่มีอากาศอบอุ่น
ในเขตภูมิอากาศเช่นนี้ เมื่อถึงฤดูหนาวหากไม่มีเครื่องทำความร้อนจะลำบากมาก
“ในยุคสมัยนี้การหนาวตายเกิดขึ้นในฤดูหนาวก็เป็นเรื่องปกติและเป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้” สวี่ชีอันถอนหายใจ
น่าเสียดายที่เขาไม่เก่งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์และเคมีมากพอ จึงไม่อาจพัฒนาการทำเกษตรกรรมในยุคที่โครงสร้างพื้นฐานล้าหลังและวัสดุขาดแคลนนี้ได้ มิเช่นนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมาก
ดวงตะวันทอแสงอบอุ่นบนท้องฟ้า สาวน้อยแสนสวยจูงน้องสาววัยห้าขวบเดินเล่นไปบนถนนใจกลางเมืองอย่างร่าเริง ดวงตากระจ่างใสมองไปรอบๆ รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปากงามราวกับรูปสลัก
วันนี้น้องสาวสวมชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อน เถาดอกไม้ที่พันรอบชายแขนเสื้อและปกเสื้อของนางบานสะพรั่งสีสันสดใส
ชายแขนเสื้อที่หลวมโคร่งปลิวไสวทำให้นางดูเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ตัวน้อย
สวี่ชีอันอดนึกถึงสาวงามที่สวมเสื้อผ้ายุคโบราณในชาติก่อนไม่ได้ แล้วเปรียบเทียบในใจ หญิงสาวในยุคนี้เอนเอียงไปทางอนุรักษนิยม ไม่น่าหลงใหลเหมือนสาวงามที่สวมเสื้อผ้ายุคโบราณในชาติก่อน
ข้านึกเส้นทางทำเงินออกแล้ว ข้าจะปรับปรุงเสื้อผ้าเพื่อให้เสื้อผ้าของหญิงสาวงดงามและน่าดึงดูดยิ่งขึ้นได้หรือไม่… สวี่ชีอันคิดขึ้นมาได้
ชั่วขณะหนึ่ง เสื้อผ้าสตรีจากหลายยุคหลายสมัยผุดขึ้นในห้วงความคิดของเขา ทั้งงานฉลุ ผ้าไหมสีดำและถุงน่องแบบมีสายรัด…
หยุด หยุดเลย…ข้าคงถูกลากไปตัดหัวที่ประตูอู่เหมิน[1]!
รถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ คนหาบเร่ที่แบกสินค้า คนสัญจรที่เดินไปมาอย่างเร่งรีบ ร้านค้าที่เรียงรายแน่นขนัด…กลายเป็นภาพตลาดยุคโบราณที่ครึกครื้น
หลังจากอยู่ด้วยกันมาหนึ่งเดือน ความประทับใจที่สวี่หลิงเยวี่ยมีต่อญาติผู้พี่ของนางก็เปลี่ยนไปมาก ไม่ได้เต็มไปด้วยความเหินห่างเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อก่อนเพราะอาสะใภ้ นอกจากเสี่ยวโต้วติงที่คล้ายกับอารองแล้ว เจ้าของร่างเดิมไม่ชอบน้องชายกับน้องสาวอีกสองคนเลย
แรกเริ่มเดิมทีสวี่หลิงเยวี่ยก็ยังเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ๆ แต่หลังจากถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาหลายครั้ง เมื่อเจอหน้ากันนางจึงเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
เวลานี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมาก แต่ก็ยังมีความเหินห่างอยู่บ้าง น้องสาวคนโตแสนสวยจูงน้องสาวคนเล็กเดินไปด้านข้างโดยจงใจขนาบสองข้างสวี่ชีอัน
เสี่ยวโต้วติงถูกสิ่งของมากมายบนถนนดึงดูด นางอยากสลัดพี่สาวออกหลายครั้ง แต่ถูกดึงไว้
“ถังหูลู่ๆ[2]…” เสี่ยวโต้วติงชี้ไปที่พ่อค้าข้างถนนและตะโกนเสียงดัง
“เจ้าไม่อยากมีฟันแล้วหรือ” พี่สาวตำหนิและจูงน้องสาวเดินไปข้างหน้า
บ้านสกุลสวี่ประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่จึงไม่มีเงิน เดือนนี้ค่อนข้างขัดสน สวี่หลิงเยวี่ยจึงไม่มีเงินซื้อถังหูลู่ให้น้องสาว
สวี่ชีอันเดินมองน้องสาวอยู่ข้างหลัง น้องสาวคนโตมีรูปร่างสูงเพรียว แสดงให้เห็นถึงความอ่อนเยาว์กับความแช่มช้อยของสาวน้อย แผ่นหลังราวกับต้นหลิวที่เพิ่งบานสะพรั่ง อาจจะไม่อวบอิ่มเหมือนหญิงสาวที่โตเต็มวัย แต่เสน่ห์ของความอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวาเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในสาวน้อยช่วงวัยนี้
“พี่ใหญ่ๆ…” เสี่ยวโต้วติงร้อนใจ ยื่นก้นไปข้างหลัง ขาทั้งสองข้างไถพื้นเพื่อต้านการดึงของพี่สาว
สวี่หลิงเยวี่ยกัดริมฝีปากท่าทางกังวลและกรุ่นโกรธ
“พี่ใหญ่ก็ไม่ได้พกเงินมาเช่นกัน แต่ในไม่ช้าจะมี…” สวี่ชีอันโบกมือให้น้องสาวสงบสติอารมณ์ ขณะที่พูดคุยกันฝ่าเท้าของเขาก็เหยียบบนวัตถุแข็งๆ เขาก้มลงมอง มันคือเศษเงินสีหมองคล้ำ
เขาโน้มตัวลงไปหยิบขึ้นมาและชั่งน้ำหนักดู เป็นเงินจริงๆ
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาเก็บตำลึงเงินได้บ่อยเกินไป
สวี่หลิงเยวี่ยเบิกตากว้าง
‘เก็บตำลึงเงินได้หรือ!’
วันนี้มีเงินไปฟังเพลงที่หอคณิกาแล้ว…เมื่อลองคำนวณเวลา เขาไม่ได้ไปหอคณิกามาสองวันแล้วเพราะเก็บเงินไม่ได้
สวี่ชีอันมีความสุขขึ้นมาบ้าง เขากำเศษเงินและหันไปทางพ่อค้า “ขอถังหูลู่ให้ข้าสามไม้”
“ได้ขอรับ” พ่อค้าผิวคล้ำหยิบถังหูลู่ออกมาสามไม้อย่างยิ้มแย้มแจ่มใส “หกเหรียญทองแดง”
พ่อค้าที่ขายถังหูลู่ไม่มีเศษเงินทอนจึงวิ่งไปแตกเหรียญที่ร้านข้างๆ เขาเก็บไว้เองหกเหรียญและทอนสวี่ชีอันเก้าสิบสี่เหรียญทองแดงโดยใช้เชือกมัดไว้
ระบบการเงินของต้าฟ่ง หนึ่งตำลึงเงินเท่ากับแปดชั่ง แปดชั่งเท่ากับหนึ่งพันอีแปะ[3] ทองคำเป็นของหรูหราและไม่อยู่ในระบบการเงิน คนจนจึงไม่อาจเข้าถึงทองคำได้
สวี่ชีอันรับเหรียญทองแดงกับถังหูลู่มา และกัดไม้หนึ่งเข้าปากของตัวเอง จากนั้นก็ยื่นถังหูลู่อีกสองไม้ให้น้องสาวทั้งสองคน
สวี่หลิงเยวี่ยรับมาอย่างสงวนท่าทีและกล่าวเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณพี่ใหญ่”
นางกัดไปคำหนึ่ง เพลิดเพลินกับความหวานในปาก ดวงตากลมโตที่โค้งจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยวนั้นกระทบหัวใจอ่อนๆ ของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง
สวี่ชีอันพยักหน้าและมองเสี่ยวโต้วติงที่กำลังแทะอยู่
“พี่ใหญ่ๆ ถังหูลู่ของท่านหวานหรือไม่” สวี่หลิงอินกินจนแก้มยุ้ย เอ่ยถามอย่างคลุมเครือ
“เจ้าอยากกินสินะ” สวี่ชีอันเผยความคิดของเด็กสาวออกมา
“หือ พี่ใหญ่รู้ได้เยี่ยงไร” สวี่หลิงอินตกตะลึง นางคิดไม่ถึงว่าความคิดของตัวเองจะถูกพี่ใหญ่ล่วงรู้ ‘พี่ใหญ่เก่งจริงๆ’
สวี่ชีอันร้อง ‘ฮึ’ ออกมา “หากกินถังหูลู่เยอะเกินไป จะมีแมลงงอกในปากของเจ้า”
“แมลงอะไรจะโตในปากของข้าหรือ” ใบหน้าของเสี่ยวโต้วติงแสดงความระแวดระวังออกมา
สวี่ชีอันครุ่นคิดและอธิบายให้นางฟัง “มันคือแมลงตัวสีขาวๆ อ้วนๆ ที่มีไขมันเยิ้มทั้งตัว”
เขาเพิ่งจะพูดจบก็เห็นน้องสาวของตัวเองกลืนน้ำลายแล้ว
แน่นอน…สวี่ต้าหลางยอมจำนนและยื่นถังหูลู่ให้ด้วยมือทั้งสองข้าง
สวี่ชีอันพาน้องสาวทั้งสองคนเดินไปตามถนน บรรยากาศคึกคักของเมืองหลวงส่องประกายภายในนัยน์ตาของเขา แต่ในใจกลับไม่รู้สึกรื่นเริงเท่าใดนัก
ข้าเก็บตำลึงเงินได้อีกแล้ว…
นี่ไม่ใช่หลักวิทยาศาสตร์!
เขาที่มาจากโรงเรียนตำรวจ ความรู้สึกจึงไวต่อรายละเอียดที่ไม่อาจอธิบายได้เช่นนี้มากเป็นพิเศษ
“จะเกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามเวลาของข้าหรือไม่นะ”
สวี่ชีอันจำได้ชัดเจนว่าก่อนที่เขาจะเดินทางข้ามเวลา เขาไม่ได้สัมผัสของโบราณหรือถูกปู่ทวดเยาะเย้ยเลย
“หรือนี่คือนิ้วทองคำของข้า แต่เก็บได้หนึ่งตำลึงเงินทุกวันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร และยังเป็นเงินที่ใช้ฟังเพลงในหอคณิกาได้พอดีอีก เช่นนั้นที่ข้าเข้าหอคณิกาทุกวันเป็นลิขิตสวรรค์หรือ”
“คิดหาวิธีทะลวงสู่ระดับหลอมปราณก่อนเถอะ ตอนนี้ไม่ว่าร่างกายจะมีปัญหาอะไรก็ตาม การออกไปหาเงินก็เป็นสิ่งที่ดีเสมอ รอให้ข้าเลื่อนขั้นก่อน จากนั้นค่อยสังเกตว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรตามมาทีหลังหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นเพดานค่าแรงของทหารในโลกนี้อยู่ตรงไหนข้าก็ไม่รู้ ในอนาคตหากมีความสามารถที่แข็งแกร่ง ข้าก็อาจจะรู้แน่ชัดถึงสาเหตุของความโชคดีนี้ได้”
สวี่ชีอันรักษาความระแวดระวังที่มีต่อความโชคดีแปลกๆ หากเป็นเพราะระบบ เขาจะยอมรับด้วยความยินดี เพราะอยู่ในขอบเขตความเข้าใจของเขา
…
ถนนเส้นนี้มีหอนางโลมอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่า ‘ร้านกุ้ยเยว่’ เป็นหอนางโลมชั้นสาม
ขอบคุณการสั่งสอนผ่านคำพูดและการกระทำของหัวหน้ามือปราบหวังกับคนอื่นๆ สวี่ชีอันจึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับหอนางโลมอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้รายละเอียดทางวัฒนธรรมส่วนบุคคลสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
คำต่อท้ายของหอนางโลมสามารถตัดสินมาตรฐานของสถานที่ได้ หอนางโลมชั้นหนึ่งกับสอง คำต่อท้ายจะใช้ ‘ลาน’ ‘โถง’ และ ‘ศาลา’ เป็นหลัก
หอนางโลมชั้นสามกับสี่จะใช้ ‘คณะ’ ‘ร้าน’ ‘โรงแรม’ ในการตั้งชื่อ…เพื่อเน้นจุดสำคัญ!
นี่ยังไม่ทันเที่ยง เหล่าหญิงสาวในหอนางโลมก็เปิดกิจการก่อนเวลา สาวงามในชุดสีแดงและเขียวสองสามคนที่อยู่บนชั้นสองเฝ้ามองผู้คนสัญจรไปมาบนถนนอย่างยิ้มแย้ม
เมื่อเห็นคนร่ำรวยที่ชมชอบ นางก็สะบัดผ้าเช็ดหน้าและพูดเสียงหวาน “นายท่าน ขึ้นมาดื่มสักจอกสิเจ้าคะ”
…แม้ว่าจะเป็นหอนางโลมชั้นสาม หากเข้าไปก็ต้องจ่ายค่าเหล้าสองตำลึงเงินเช่นกัน…หากต้องการนอนกับหญิงสาว ก็ตามคุณภาพ คุณภาพต่ำประมาณห้าถึงหกชั่งก็เพียงพอ คุณภาพสูงก็หนึ่งถึงสองตำลึง…สวี่ชีอันคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง สรุปได้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีกำลังในการใช้จ่าย
ไม่จำเป็นหรอก ทั้งตัวมีเพียงไม่กี่ตำลึงเงินเท่านั้น…เขามองไปยังเหล่านางบำเรอที่นั่งเกียจคร้านอยู่บนชั้นสองข้างสาวงาม และรู้สึกเศร้าเสียใจ
“…เวลานี้ชายหนุ่มสวมเสื้อบาง ขี่ม้าข้ามสะพาน เห็นหญิงสาวหลายคนบนชั้นตรงข้ามกวักมือเรียกเขา!”
นี่ต่างก็เป็นความฝันของผู้ชายทุกคน
“พรสวรรค์ด้านบทกวีของพี่ใหญ่ควรใช้ในที่ที่เหมาะสมถึงจะถูก” สวี่หลิงเยวี่ยพูดเบาๆ
นางชมเชยเงียบๆ ในใจและถอนหายใจ พ่อของนางอาจจะพูดถูก พี่ใหญ่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา
“พี่ใหญ่ พวกผู้หญิงบนตึกสวยมาก” เสี่ยวโต้วติงพูดด้วยเสียงอันคมชัด
“พวกนางจะทำธุรกิจ แน่นอนว่าก็ต้องแต่งตัวให้สมเกียรติ” สวี่ชีอันตอบ
“ธุรกิจอะไรหรือ”
“ขายหนังสือพิมพ์”
“อะไรนะ” ดวงตาของเสี่ยวโต้วติงเป็นประกาย นางเงยหน้าขึ้นมองหอนางโลมและไม่ยอมเดิน
“พี่ใหญ่!” สวี่หลิงเยวี่ยกระทืบเท้าแล้วตะโกน นางทั้งอายทั้งโกรธ และตำหนิสวี่ชีอันว่าไม่ควรพูดเรื่องเหล่านี้กับน้องสาว
สวี่ชีอันหันไปมองน้องสาว เจ้าโกรธอะไร หรือเจ้าเข้าใจมุกตลกของข้า
พวกเขาทิ้งหอนางโลมไว้ข้างหลัง เมื่อเดินผ่านร้านลูกชิ้นเนื้อปลา กลิ่นหอมฟุ้งทำให้ขาทั้งสองข้างของเสี่ยวโต้วติงถูกตรึงไว้กับที่
สวี่หลิงเยวี่ยเหลือบมองไปทางนั้นหลายครั้งและกลืนน้ำลายเงียบๆ หลังออกจากคุก บ้านสกุลสวี่ก็ขัดสนด้านการเงิน บางครั้งสามวันถึงจะได้กินเนื้อกับปลา
เมื่อนางอยู่ในช่วงกำลังโต นางจะมีความอยากอาหารอย่างมาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์
“เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้พวกเจ้า”
ร้านค้าไม่ใหญ่ คนที่ต่อแถวซื้อก็เยอะ สวี่ชีอันให้เหล่าน้องสาวรออยู่ข้างทาง ส่วนตัวเองก็เบียดเข้าไป
“พี่ใหญ่ใจดีจริงๆ” เสี่ยวโต้วติงกลืนน้ำลายพลางพูดด้วยเสียงอันคมชัดและมองพี่สาว
สวี่หลิงเยวี่ยจับมือเล็กๆ ของน้องสาวและมองไปที่แผ่นหลังของสวี่ชีอัน มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ในไม่ช้าสวี่ชีอันก็ซื้อลูกชิ้นเนื้อปลามาสามลูกซึ่งใส่ไว้ในถุงกระดาษไข เมื่อเขากลับมาเขาเห็นเด็กรับใช้สี่ถึงห้าคนล้อมสวี่หลิงเยวี่ยไว้ คนพวกนั้นไม่ได้แตะต้องนาง แต่ตั้งใจหยอกเย้านาง
เด็กสาวผู้งดงามไร้ที่ติวัยสิบหกปีราวกับลูกกวางติดกับดัก ขณะที่ปกป้องตัวเองก็พยายามพุ่งออกจากวงล้อมด้วย แต่ก็ถูกเหล่าเด็กรับใช้ต้อนกลับไปตลอด
นางร้องไห้อย่างวิตกกังวล ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เหล่าเด็กรับใช้หัวเราะเสียงดัง
ด้านข้างมีคุณชายในชุดผ้าทอขี่หลังม้ามองดูฉากนี้เหมือนกำลังดูละคร
สวี่หลิงอินเห็นพี่สาวถูกคนรังแกจึงก้าวเท้าเล็กๆ วิ่งไปตรงหน้าคุณชาย ร่างเล็กโผไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างยื่นไปข้างหลัง จากนั้นนางก็โจมตีด้วยคลื่นเสียงด้วยการร้องไห้ออกมา
“หนวกหู” คุณชายยกแส้ม้าในมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว แล้วจู่ๆ ก็หยุดกะทันหัน ดวงตาฉายแววดุร้ายออกมา เขาดึงบังเหียนม้า บังคับให้ม้ายกกีบขึ้นสูงและเหยียบลงไปที่สวี่หลิงอิน
สวี่หลิงเยวี่ยส่งเสียงร้องคร่ำครวญเศร้าโศกออกมา
…………………………………………………………
[1] ประตูอู่เหมิน เป็นสถานที่ประหารนักโทษในสมัยโบราณ
[2] ถังหูลู่ คือ ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้ เป็นอาหารทานเล่นยอดนิยมของจีนมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีต้นกำเนิดมาจากพระราชวังในเมืองปักกิ่ง โดยนิยมใช้ลูกพุทราจีน สตรอว์เบอร์รี และผลไม้อื่นๆ มาเคลือบน้ำตาล ทำให้มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน
[3] อีแปะ คือ เงินปลีกโบราณ